ตลอดสามวันที่ผมได้เข้าร่วมงาน International Astronautical Congress 2025 ที่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย บทความนี้ตั้งใจจะหยิบยกและสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเข้าฟัง Technical Session ซึ่งถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการประชุมระดับโลกครั้งนี้มาเล่าให้ฟังครับ งาน IAC ไม่ได้มีแค่การจัดแสดงเทคโนโลยีหรือโชว์เคสจากหน่วยงานอวกาศเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกมานำเสนอผลงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล และพูดคุยถึงทิศทางของวงการอวกาศในด้านต่าง ๆ ผ่านหัวข้อย่อยมากมาย ซึ่ง Technical Session เหล่านี้เองที่ทำให้เราเห็นแนวโน้มล่าสุดของการวิจัยและพัฒนาในระดับลึก

สำหรับผม การได้เข้าไปฟัง Technical Session เป็นโอกาสที่ได้เห็นว่าขณะนี้ “วิทยาศาสตร์อวกาศ” กำลังเคลื่อนไปในทิศทางไหน และนักวิจัยทั่วโลกกำลังมองอนาคตของการสำรวจและการอยู่อาศัยในอวกาศอย่างไร หลายหัวข้อในปีนี้น่าสนใจมาก ทั้งในด้าน Space Life Sciences, Radiation Biology, ไปจนถึงเทคโนโลยี Life Support และ Biotech ที่เชื่อมโยงกับการดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว สิ่งที่น่าคิดคือ งานวิจัยจำนวนมากเริ่มหันมามุ่งเน้นเรื่อง “ความยั่งยืนของชีวิตในอวกาศ” มากกว่าการเดินทางไปถึงดาวเคราะห์ปลายทาง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแนวคิดของการสำรวจอวกาศกำลังเปลี่ยนจาก “ไปถึง” สู่ “อยู่ได้”

บทความนี้นอกจากการสรุปเนื้อหาหลัก ๆ ที่มีการเล่าไปในบทความ สรุปเนื้อหาสำคัญจากงาน International Astronautical Congress 2025 งานอวกาศที่ใหญ่ที่สุดในโลก แล้วจะเป็นการตั้งใจจะสรุปเนื้อหาและประเด็นที่น่าสนใจจาก Technical Session ที่ผมได้เข้าร่วมในแต่ละวัน โดยเรียงตามลำดับ พร้อมสอดแทรกข้อสังเกตเล็ก ๆ จากมุมมองของผู้เข้าฟัง เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพรวมของแนวโน้มงานวิจัยอวกาศในปัจจุบัน และเข้าใจว่าการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะบนวงโคจร แต่เริ่มจากการทดลอง การตั้งคำถาม และการเรียนรู้ในห้องประชุมเล็ก ๆ อย่างที่งาน IAC นี้แหละครับ
วันแรกกับหัวข้อ Space Life Sciences for Exploration
ผมมาถึงซิดนีย์ในวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่สามของงานพอดี วันแรกจึงถือเป็นการเริ่มต้นสำรวจงานจริง ๆ หลังจากได้เดินดูบูธและห้องสัมมนาต่าง ๆ เพื่อวางแผนว่าจะเลือกฟังหัวข้อไหนบ้าง ในวันนั้นผมตัดสินใจเริ่มจากห้อง Space Life Sciences for Exploration เพราะเป็นสาขาที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเตรียมความพร้อมของมนุษย์สำหรับการใช้ชีวิตในอวกาศระยะยาว และมีงานที่น่าสนใจอยู่หลายเรื่อง
งานแรกที่ผมได้ฟังคือ ISS4Mars: Using Low Earth Orbit Stations to Enable Human Exploration of Mars ซึ่งเป็นโครงการนำร่องขององค์การอวกาศแคนาดาหรือ CSA ที่มุ่งศึกษาวิธีใช้สถานีอวกาศนานาชาติเป็นสนามทดลองจำลองภารกิจดาวอังคาร จุดประสงค์คือพัฒนาแนวทางการดูแลสุขภาพของนักบินอวกาศในสภาพที่ต้องพึ่งตนเองโดยจำกัดการติดต่อกับโลก ทีมวิจัยได้พัฒนาเครื่องมือช่วยเหลือทางการแพทย์และคู่มือดิจิทัลที่ลูกเรือสามารถใช้เองได้ รวมถึงการทดลองระบบอาหารสำหรับภารกิจระยะยาว โดยใช้เฉพาะอาหารที่เก็บได้นานและทดลองปลูกพืชสดบนสถานี การศึกษานี้จะเปรียบเทียบข้อมูลสุขภาพของลูกเรือจริงบน ISS กับกลุ่มควบคุมบนโลกตลอดระยะเวลา 6 เดือน เพื่อวิเคราะห์ผลทางโภชนาการและจิตใจของการดำรงชีวิตแบบพึ่งตนเองในอวกาศ

งานต่อมาคือ Exploring the Combined Effects of Head-Down Tilt and Virtual Reality Simulation as Ground-Based Space Analogues for Food Sensory Evaluation จากทีมของ RMIT University ซึ่งมีแนวคิดน่าสนใจมากในการจำลองผลทางสรีรวิทยาที่เกิดจากภาวะไร้แรงโน้มถ่วงโดยใช้การนอนเอียงหัวลง 6 องศา (Head-Down Tilt; HDT) ร่วมกับการจำลองสภาพแวดล้อมในโลกเสมือน (VR) เพื่อศึกษาว่าการรับรู้กลิ่นและรสของมนุษย์เปลี่ยนแปลงอย่างไรเมื่อของเหลวในร่างกายไหลขึ้นช่วงบนเหมือนอยู่ในอวกาศ

การทดลองนี้ใช้ผู้เข้าร่วม 105 คน ทดสอบการรับกลิ่นทั้งแบบ Orthonasal (สูดผ่านจมูก) และ Retronasal (ผ่านปากขณะกิน) ด้วยตัวอย่างกลิ่น เช่น มะนาว อัลมอนด์ และสะระแหน่ ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบปกติ แบบ VR และแบบ VR-HDT ผลการทดสอบสอดคล้องกับสิ่งที่นักบินอวกาศรายงานจริง คือความเข้มของรสและกลิ่นบางอย่างลดลง รวมถึงระดับอารมณ์ด้านลบและความเครียดเพิ่มขึ้นในสภาพแวดล้อมจำลองที่มีข้อจำกัดสูง ซึ่งสะท้อนว่าประสบการณ์การกินอาหารในอวกาศอาจเกี่ยวข้องโดยตรงกับภาวะทางจิตใจของลูกเรือ

งานสุดท้ายของวันคือ Sensory Adaptations in Isolated, Confined, and Extreme Environments: A Longitudinal Study of Olfactory and Gustatory Functions in Antarctica ซึ่งเป็นการทดลองในสถานี Concordia ที่ขั้วโลกใต้ ทีมวิจัยได้ติดตามกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ชีวิตอยู่ในสภาพโดดเดี่ยว ความดันอากาศต่ำ และอุณหภูมิต่ำสุดถึง -80°C เป็นเวลาเก้าเดือน โดยเปรียบเทียบกลุ่มที่ได้รับโปรไบโอติก Bifidobacterium longum 1714 กับกลุ่มควบคุม เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของระบบรับกลิ่น รส สุขภาพจิต และสมรรถภาพร่างกาย ผลการทดลองพบว่าน้ำหนักตัวและความสามารถในการรับรสโดยเฉพาะรสเค็มลดลงชัดเจนในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว และกลุ่มที่ได้รับโปรไบโอติกมีแนวโน้มปรับตัวได้ดีกว่า ทั้งด้านอารมณ์และความเครียด งานนี้ชี้ให้เห็นว่าการจัดการ Microbiome ในร่างกายอาจมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพจิตและสมดุลร่างกายของนักบินอวกาศในภารกิจระยะยาว
จากสามงานนี้จะเห็นได้ว่า แนวโน้มของ Space Life Science เริ่มขยับจากการศึกษาเชิง “การแพทย์รักษา” มาสู่ “การเข้าใจร่างกายและจิตใจในระบบนิเวศอวกาศ” มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร การรับรู้ หรือ Microbiome ทั้งหมดสะท้อนแนวคิดใหม่ของวงการอวกาศที่ไม่ได้มองมนุษย์แค่ในฐานะผู้เดินทาง แต่ในฐานะ “สิ่งมีชีวิต” ที่ต้องเรียนรู้จะปรับตัวและอยู่รอดภายใต้กฎของสภาพแวดล้อมที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
วันที่สอง Radiation Biology และ Microgravity Simulation
ในวันที่สองของการเข้าร่วมงาน ผมเลือกเข้าฟัง Technical Session ที่เกี่ยวข้องกับรังสีและสิ่งมีชีวิตในอวกาศ รวมถึงการจำลองสภาพแวดล้อมไร้แรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นหัวข้อสำคัญต่อการออกแบบระบบสนับสนุนชีวิตในภารกิจระยะยาว โดยในวันนั้นมีสามงานที่น่าสนใจเป็นพิเศษ
งานแรกคือ Evaluating Aquatic Bryophytes as Radiation-Resistant Biofilters for Space Habitats: The Moss on Mars Project ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากองค์การอวกาศยุโรป (ESA) โครงการนี้ศึกษาศักยภาพของมอสส์น้ำ Taxiphyllum barbieri ในการเป็นส่วนหนึ่งของระบบ Bioregenerative Life Support Systems (BLSSs) สำหรับสภาพแวดล้อมปิดอย่างสถานีอวกาศหรือฐานถาวรบนดาวอังคาร มอสส์น้ำชนิดนี้มีความทนทานสูงต่อการขาดน้ำและการเกิดออกซิเดชัน อีกทั้งยังสามารถกรองน้ำได้ดี ทีมวิจัยได้ทำการฉายรังสี X-ray หลายระดับเพื่อดูผลต่อการเจริญเติบโต พบว่ารังสีระดับต่ำถึงปานกลางกระตุ้นการสังเคราะห์แสงและการเติบโต ในขณะที่รังสีระดับสูงเริ่มส่งผลลบแต่พืชยังสามารถฟื้นตัวได้เมื่อกลับเข้าสภาพปกติ ผลการทดลองนี้แสดงให้เห็นว่ามอสส์น้ำอาจถูกใช้เป็นทั้งตัวกรองรังสีและตัวผลิตออกซิเจนในระบบปิดของอวกาศได้ในอนาคต
งานต่อมาคือ Single Cell Heterogeneity of Slow-Growing Microbial Populations Influences Predictions of Planetary Habitability จากศูนย์วิจัย Ames ของ NASA ซึ่งนำเสนอแนวทางการศึกษาจุลินทรีย์ภายใต้สภาวะจำลองอวกาศโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ระดับเซลล์เดียว (single-cell analysis) ทีมวิจัยพบว่าเมื่อจุลินทรีย์อย่าง E. coli อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียด เช่น การได้รับรังสีหรือการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรุนแรง ความหลากหลายของพฤติกรรมในระดับเซลล์จะลดลง เพราะเซลล์ส่วนใหญ่จะเข้าสู่โหมดซ่อมแซมแทนที่จะเจริญเติบโต ซึ่งทำให้การประเมินความอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตในอวกาศจากค่าเฉลี่ยของกลุ่มอาจคลาดเคลื่อนได้ถึงสิบเท่า การใช้เทคนิค single-cell fluorescence reporter จึงช่วยให้เห็นภาพพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตได้ชัดเจนและแม่นยำมากขึ้น งานนี้ชี้ให้เห็นว่าการประเมิน “ความเป็นไปได้ของการดำรงชีวิตบนดาวเคราะห์อื่น” จำเป็นต้องมองลึกถึงระดับเซลล์ ไม่ใช่แค่ในระดับประชากรอีกต่อไป

อีกหนึ่งงานที่น่าสนใจคือ Development of a Three-DOF Random Positioning Machine for Pole-Free Microgravity Simulation in Space Medicine จากทีมวิจัยของ Seoul National University ซึ่งพัฒนาเครื่องจำลองสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงแบบสามแกน (3DOF Random Positioning Machine) สำหรับงานวิจัยด้านเวชศาสตร์อวกาศ เครื่องจำลองแบบดั้งเดิมมักเป็นแบบสองแกน (2DOF) ซึ่งมีข้อจำกัดตรงบริเวณขั้วที่แรงโน้มถ่วงไม่ถูกเฉลี่ยอย่างสมบูรณ์ ทีมวิจัยจึงออกแบบระบบที่สามารถหมุนชิ้นงานได้อย่างอิสระในสามแกน ทำให้แรงโน้มถ่วงที่ตกกระทบต่อวัตถุถูกเฉลี่ยได้ดีกว่าแบบเดิม พร้อมใช้วิธีคำนวณเชิงคณิตศาสตร์เพื่อให้การกระจายแรงมีความสม่ำเสมอ เครื่องต้นแบบนี้ถูกนำไปใช้ในการทดลองทางชีวการแพทย์ เช่น การศึกษาการเติบโตของเซลล์ในสภาวะไร้น้ำหนัก และมีแนวโน้มจะถูกพัฒนาเป็นเครื่องมือมาตรฐานในการศึกษาทางชีววิทยาอวกาศต่อไป

จากสามงานที่ได้ฟังในวันนี้ จะเห็นว่าการวิจัยด้านอวกาศกำลังเคลื่อนไปสู่ความละเอียดมากขึ้น ทั้งในระดับชีวภาพและวิศวกรรม เครื่องมือและแบบจำลองใหม่ ๆ อย่างการศึกษาระดับเซลล์เดียว หรือเครื่องจำลองแรงโน้มถ่วงสามแกน ช่วยให้เราเข้าใจผลกระทบของสภาพแวดล้อมอวกาศต่อสิ่งมีชีวิตได้อย่างแม่นยำกว่าเดิม และสะท้อนทิศทางของงานวิจัยยุคใหม่ที่ไม่ได้เน้นเพียงการทดลองเชิง “ภาพรวม” แต่เริ่มลงลึกไปถึงระดับกลไกพื้นฐานที่ทำให้ชีวิตสามารถดำรงอยู่ในอวกาศได้จริง
วันที่สาม Life Support Systems และ Biotech for Space
วันที่สามเป็นวันสุดท้ายของการเข้าร่วมงาน IAC สำหรับผม วันนี้ตั้งใจเลือกฟังหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับระบบสนับสนุนชีวิต (Life Support) และเทคโนโลยีชีวภาพในอวกาศ เพราะเป็นส่วนที่อยู่ใกล้กับการประยุกต์ใช้งานจริงมากที่สุด โดยเฉพาะในยุคที่ภารกิจอวกาศเริ่มเปลี่ยนจากการสำรวจชั่วคราวไปสู่การตั้งถิ่นฐานถาวร
งานแรกคือ Self-Sustaining Lunar Operations: ECLSS with Integrated ISRU Strategies for the DIANA Base ซึ่งนำเสนอแนวคิดของระบบ ECLSS (Environmental Control and Life Support System) แบบครบวงจรที่ออกแบบสำหรับฐานถาวรบนดวงจันทร์ ภายใต้ชื่อ “DIANA Base” ระบบนี้รวมเทคโนโลยีการใช้ทรัพยากรในพื้นที่ (In-Situ Resource Utilization: ISRU) เข้ากับระบบรีไซเคิลภายในเพื่อสร้างความยั่งยืนสูงสุด โดยตั้งเป้าหมายให้สามารถหมุนเวียนทรัพยากร เช่น น้ำ ออกซิเจน และของเสีย ได้มากกว่า 90% สำหรับลูกเรือตั้งแต่ 4 ถึง 100 คน

โครงสร้างของระบบแบ่งออกเป็น 6 โมดูลย่อย ครอบคลุมตั้งแต่การจัดการบรรยากาศ น้ำ ของเสีย การควบคุมอุณหภูมิ ไปจนถึงการผลิตอาหารด้วยเทคโนโลยีอย่าง Aeroponics และ Photobioreactors ระบบทั้งหมดออกแบบให้มีความทนทานต่อความเสียหาย (fault-tolerant) และสามารถใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ร่วมกับการสกัดน้ำแข็งในพื้นที่เงามืดของขั้วจันทร์เพื่อลดการพึ่งพาทรัพยากรจากโลก ถือเป็นแนวคิดที่เริ่มเข้าใกล้รูปแบบของ “ชุมชนอวกาศพึ่งตนเอง” อย่างเป็นรูปธรรม

อีกงานที่น่าสนใจคือ Digital Agricultural Strategies and AI for Astronaut Food Self-Sufficiency in Space Exploration จากกลุ่มวิจัย ARC Centre of Excellence in Plants for Space ที่มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น งานนี้นำเสนอการพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลโดยใช้ AI เพื่อสนับสนุนการปลูกพืชในอวกาศแบบยั่งยืน ทีมวิจัยได้พัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลทางชีวสถิติและสรีรวิทยาของพืชร่วมกับ Machine Learning เพื่อสร้างแบบจำลองการเติบโตในสภาพแวดล้อมปิด นอกจากนี้ยังมีการสร้างระบบ BioSensory ที่ใช้เซนเซอร์ตรวจวัดสัญญาณทางสรีรวิทยาของมนุษย์ เช่น การเคลื่อนไหวของดวงตา อัตราการเต้นหัวใจ และคลื่นสมอง เพื่อนำข้อมูลไปปรับการปลูกพืชและอาหารให้เหมาะกับสภาวะอารมณ์และความต้องการของนักบินอวกาศแบบรายบุคคล งานวิจัยนี้ยังนำเสนอผลการทดลองจากฟาร์มอัจฉริยะที่ใช้เทคนิค Foliar Silicon Application เพื่อลดความเครียดของพืชในสภาพแวดล้อมจำกัด และเสนอพืชที่เหมาะสมสำหรับการปลูกในอวกาศ เช่น duckweed, Brassica rapa, Arabidopsis thaliana, ผักโขม และมะเขือเทศ

ในช่วงบ่าย ผมเข้าฟังหัวข้อ Biology in Space ซึ่งมีสามงานที่น่าสนใจ เริ่มจาก Worms in Space: A Low-Cost, Compact Platform Supporting Biological Experiments โดยทีมจาก University of Nottingham งานนี้พัฒนาแพลตฟอร์ม CubeSat ขนาด 2U สำหรับการทดลองทางชีววิทยาในอวกาศ โดยใช้หนอน Caenorhabditis elegans เป็นแบบจำลองสิ่งมีชีวิต ระบบภายในประกอบด้วยกล้องถ่ายภาพความละเอียดสูงและเซนเซอร์ที่ควบคุมด้วย Raspberry Pi เพื่อสังเกตพฤติกรรมของหนอนในสภาพ microgravity แบบเรียลไทม์ แม้จะยังมีข้อจำกัดเรื่องการควบคุมอุณหภูมิและการให้อาหาร แต่โครงการนี้แสดงให้เห็นแนวทางใหม่ของการทำชีววิทยาอวกาศแบบต้นทุนต่ำและสามารถทำซ้ำได้ง่ายในวงการศึกษา

ถัดมาคือโครงการ SENTINEL (Science ENterprise to INform Exploration Limits): The Value of Tissue Chips in Spaceflight ซึ่งมุ่งศึกษาผลกระทบของรังสีอวกาศต่อมนุษย์โดยใช้เทคโนโลยี human tissue chips ที่สร้างจากเซลล์ต้นกำเนิด (iPSC) เพื่อจำลองอวัยวะต่าง ๆ เช่น หัวใจ สมอง และหลอดเลือด จากนั้นนำไปทดสอบในศูนย์รังสีของ NASA (NSRL) เพื่อดูการตอบสนองระดับโมเลกุลและประเมินมาตรการป้องกัน เช่น การใช้อนุภาคนาโน เทคนิค CRISPR หรือโปรตีนไซโตไคน์ งานนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาแนวทาง personalized medicine สำหรับนักบินอวกาศในอนาคต

งานสุดท้ายของวันคือ Algae as a Feedstock for Space Crop Cultivation ซึ่งศึกษาการใช้สาหร่าย Spirulina เป็นแหล่งอาหารและปุ๋ยชีวภาพในระบบเกษตรอวกาศแบบปิด โดยวิเคราะห์ทั้งอัตราการเจริญเติบโต ปริมาณสารอาหาร และผลต่อสุขภาพของพืช ผลการทดลองชี้ว่า Spirulina สามารถช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหารและกระตุ้นการเจริญของพืชได้ดี จึงมีศักยภาพสูงในการนำมาใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตอาหารและออกซิเจนในภารกิจระยะยาว
เมื่อมองภาพรวมของวันสุดท้ายนี้ จะเห็นได้ชัดว่าแนวโน้มของงานวิจัยอวกาศเริ่มขยับจาก “การสำรวจ” ไปสู่ “การออกแบบระบบนิเวศของชีวิต” (Space Ecosystem Engineering) อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นระบบสนับสนุนชีวิตแบบพึ่งตนเอง เทคโนโลยี AI สำหรับควบคุมพืช หรือการใช้สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในภารกิจอวกาศ ทั้งหมดสะท้อนการเปลี่ยนผ่านของวงการอวกาศจากยุคของการเดินทาง สู่ยุคของการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืนในสภาพแวดล้อมนอกโลก

ทั้งหมดที่เล่ามานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานวิจัยที่ผมได้มีโอกาสเข้าฟังและอยากนำมาแบ่งปันจากงาน IAC 2025 เท่านั้น จริง ๆ แล้วในงานยังมีอีกหลายหัวข้อที่น่าสนใจมาก ทั้งในด้านเทคโนโลยี วิศวกรรม ระบบขนส่ง และนโยบายอวกาศระดับโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทุกวันนี้ “อวกาศ” ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอย่างที่หลายคนคิดอีกต่อไป
สิ่งที่น่าสังเกตคือแนวโน้มของงานวิจัยอวกาศในปัจจุบันกำลังเคลื่อนจากคำถามว่า “เราจะไปอวกาศได้อย่างไร” มาสู่คำถามใหม่ว่า “เราจะอยู่ในอวกาศได้อย่างไร” งานจำนวนมากเริ่มพูดถึงการสร้างระบบนิเวศของชีวิต ตั้งแต่การหมุนเวียนทรัพยากร การผลิตอาหาร ไปจนถึงการดูแลสุขภาพกายและใจของมนุษย์ในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว มันคือการเปลี่ยนมุมมองจากการสำรวจที่มีจุดหมายชัดเจน ไปสู่การออกแบบให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน

สุดท้ายแล้ว ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของอวกาศเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความพยายามของมนุษย์ในการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป และสร้างระบบที่ยั่งยืนกว่าที่เคย เพราะในความจริงนั้น “อวกาศนั้นใกล้ตัวกว่าที่เราคิด” เทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาเพื่อใช้ในภารกิจนอกโลก กำลังค่อย ๆ กลับมามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราบนโลกใบนี้ ทั้งในด้านพลังงาน การแพทย์ อาหาร และสิ่งแวดล้อม และนั่นคือความงดงามของวิทยาศาสตร์อวกาศ ที่แม้จะมองออกไปไกลแค่ไหน แต่ปลายทางของมันก็ยังคงหันกลับมาหาโลกเสมอ