โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในทุก ๆ วัน จนใกล้จะเข้าสู่รอบใหม่ นับเป็นสัญญาณว่าใกล้จะขึ้นศักราชใหม่ (หรือที่เราเรียกกันว่าปีใหม่) อีกเช่นเคย แน่นอนว่าผู้คนก็ต่างรอคอยที่จะรับชมปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ในทุก ๆ ปี ในบทความนี้ ทีมงานได้รวบรวมข้อมูลจาก Time and Date, 2026 Calendar of astronomical events และ Moon Calendar 2026 นำเอาปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่น่าสนใจในปี 2026 ที่จะเห็นได้จากท้องฟ้าเมืองไทย มารวบรวมไว้สำหรับผู้ที่สนใจ
จันทรุปราคาเต็มดวง 3 มีนาคม 2026
จันทรุปราคาเป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์ถูกเงาของโลกบดบัง ถึงแม้ปี 2026 นี้ ชาวไทยจะได้ดูจันทรุปราคาเต็มดวง ในวันที่ 3 มีนาคม ก็ตาม แต่อย่าเพิ่งรีบดีใจไป เพราะนี่อาจเป็นจันทรุปราคาที่ดูยากครั้งหนึ่งเลยทีเดียว สำหรับประเทศไทยจะอยู่ในช่วงเวลาที่ค่อนข้างโหดกับคนดูท้องฟ้า กล่าวคือจังหวะที่ดวงจันทร์เข้าสู่เงามืดเต็มดวงจะเกิดขึ้นใกล้ช่วงดวงจันทร์ตก ทำให้หลายพื้นที่จะเห็นปรากฏการณ์ได้แค่บางส่วน

18:23 น. – ดวงจันทร์เพิ่งขึ้นจากขอบฟ้า ซึ่งเป็นเวลาที่เริ่มสังเกตเห็นปรากฏการณ์ได้ในกรุงเทพ (แม้ว่าคราสจะเริ่มเกิดก่อนหน้านี้แล้วแต่ดวงจันทร์ยังอยู่ใต้ขอบฟ้า)
18:33 น. – ดวงจันทร์อยู่ในบริเวณเงามืดมากที่สุด (เกิดเป็นจันทรุปราคาเต็มดวง) แต่ดวงจันทร์เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้ามาได้เพียงแค่ 2 องศา เท่านั้น ซึ่งอาจมีภูเขาบังบ้าง ตึกบังบ้าง
19:02 น. – ดวงจันทร์เริ่มเคลื่อนที่ออกจากเงามืด (ปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงสิ้นสุดลง)
20:17 น. – ดวงจันทร์เคลื่อนที่ออกจากเงามืดทั้งหมด (ปรากฏการณ์จันทรุปราคาบางส่วนสิ้นสุดลง)
21:23 น. – ดวงจันทร์เคลื่อนที่ออกจากเงามัวทั้งหมด (สิ้นสุดปรากฏการณ์)
ปรากฏการณ์นี้รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 3 ชั่วโมง ถ้ามองภาพใหญ่กว่านั้น ปี 2026 เองก็ถือว่าเป็นปีที่อุปราคาไม่ได้ใจดีกับคนไทยเท่าไรนัก เพราะทั้งปีมีอุปราคาให้ติดตามจริง ๆ เพียงครั้งเดียว และยังเป็นจันทรุปรคาที่ดูยากอย่างที่ว่ามาแล้วด้วย ต่างจากปี 2027 ที่ปฏิทินท้องฟ้าจะดูคึกคักขึ้นเล็กน้อย เมื่อจะมีทั้งจันทรุปราคาและสุริยุปราคาบางส่วนเกิดขึ้น
ฝนดาวตก มาตามฤดูกาล สามารถรับชมได้ทั้งปี
ฝนดาวตก (Meteor Shower) เป็นเศษหินจากดาวหาง หรือ ดาวเคราะห์น้อยบางดวง ที่ทิ้งไว้เป็นเส้นทาง เมื่อโลกโคจรผ่านเข้าไปในสายธารสะเก็ดดาว ซึ่งเศษหินเหล่านี้จะถูกแรงโน้มถ่วงจากโลกดึงดูดเข้ามาเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศเกิดเป็นลำแสงที่มีสีสันต่าง ๆ วาบขึ้นให้เห็นตอนกลางคืน

หลาย ๆ คนต่างรอคอยกับการดูฝนดาวตก (หรือขอพรจากฝนดาวตก) แม้จะสังเกตได้ยากในเขตเมืองโดยเฉพาะบริเวณที่มีแสงไฟเยอะ ๆ แต่การได้ดูกับเพื่อนก็สนุกไม่แพ้กันเลย เพราะเขาว่ากันว่าถ้าเราเห็นฝนดาวตกคนเดียวเท่ากับว่าน้องไม่ใช่ฝนดาวตกนั่นเอง ซึ่งถ้าเห็นกันหลาย ๆ คน เพื่อนหรือคนที่เราไปด้วยก็ต่างกันดีใจยกใหญ่เลยทีเดียว
ถ้าอยากดูฝนดาวตกอย่างเต็มอิ่มและสนุกที่สุด อยากจะแนะนำว่าให้หาสถานที่ที่มีแสงไฟน้อยที่สุด หรือไม่ก็ขึ้นไปดูบนดอย แล้วปูเสื่อนอนลงไปเลย เพราะการนอนดูเป็นวิธีที่ทำให้สังเกตฝนดาวตกได้ง่ายที่สุด เนื่องจากฝนดาวตกกระจายตัวทั่วฟ้านั่นเอง
- 3-4 มกราคม – ฝนดาวตกควอดแดรนต์ (Quadrantids) อัตราการตก 40 ดวงต่อชั่วโมง
- 22-23 เมษายน – ฝนดาวตกไลริดส์ (Lyrids) อัตราการตก 20 ดวงต่อชั่วโมง
- 6-7 พฤษภาคม – ฝนดาวตกอีต้า-อควอริดส์ (Eta Aquarids) อัตราการตก 30 ดวงต่อชั่วโมง
- 28-29 กรกฎาคม – ฝนดาวตกเดลต้า-อควอริดส์ (Delta Aquarids) อัตราการตก 20 ดวงต่อชั่วโมง
- 12-13 สิงหาคม – ฝนดาวตกเพอร์เซอิดส์ (Perseids) อัตราการตก 60 ดวงต่อชั่วโมง
หลังจากนั้นในช่วงท้ายปีฤดูหนาว เราก็จะได้เห็นฝนดาวตกที่สำคัญ ๆ ได้แก่
- 7 ตุลาคม – ฝนดาวตกดราโคนิดส์ (Draconids) อัตราการตก 10 ดวงต่อชั่วโมง
- 21-22 ตุลาคม – ฝนดาวตกโอไรโอนิดส์ (Orionids) อัตราการตก 20 ดวงต่อชั่วโมง
- 4-5 พฤศจิกายน – ฝนดาวตกทอริดส์ (Tuarids) อัตราการตก 5-10 ดวงต่อชั่วโมง
- 17-18 พฤศจิกายน – ฝนดาวตกลีโอนิดส์ (Leonids) อัตราการตก 15 ดวงต่อชั่วโมง
- 13-14 ธันวาคม – ฝนดาวตกเจมินิดส์ (Geminids) อัตราการตก 120 ดวงต่อชั่วโมง
- 21-22 ธันวาคม – ฝนดาวตกเออร์ซิดส์ (Ursuds) อัตราการตก 5-10 ดวงต่อชั่วโมง
สรุปภาพรวมคือ ถ้าใครอยากดูฝนดาวตกให้คุ้มจริง วิธีที่เวิร์กที่สุดยังคงเป็นการหนีแสงเมืองไปยังพื้นที่มืด ๆ หรือขึ้นที่สูง แล้วเลือก “นอนดู” มากกว่ายืนเงยหน้า เพราะฝนดาวตกไม่ได้พุ่งมาจุดเดียว แต่กระจายทั่วทั้งท้องฟ้า ตลอดทั้งปีจะมีฝนดาวตกให้ติดตามเป็นระยะ ตั้งแต่ต้นปีอย่าง Quadrantids ช่วงมกราคม ไล่มาจนถึง Perseids ในเดือนสิงหาคมที่ขึ้นชื่อว่าดูง่ายและเยอะ ไปจนถึงปลายปีที่ไฮไลต์จริง ๆ คือ Geminids กลางเดือนธันวาคม ซึ่งมีอัตราการตกสูงที่สุดของปี ส่วนฝนดาวตกช่วงอื่น ๆ แม้อัตราจะไม่สูงมาก แต่ก็เป็นจังหวะดีให้คนดูฟ้าได้ออกไปนอนมองท้องฟ้าและซ้อมสายตา เพราะในโลกของฝนดาวตก บางครั้ง “ความต่อเนื่อง” สำคัญพอ ๆ กับ “จำนวนดวงต่อชั่วโมง” เลยทีเดียว
ดาวเคราะห์ใกล้โลกที่สุดในรอบปี ดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์
ปรากฏการณ์ดาวเคราะห์ใกล้โลก หรือ ตำแหน่งตรงข้ามดวงอาทิตย์ (Opposition) คือ จังหวะที่ ดวงอาทิตย์ โลก และดาวเคราะห์วงนอก เช่น ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ เรียงตัวอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน โดยมี โลกอยู่ตรงกลางทำให้ดาวเคราะห์พวกนี้จะมีขนาดใหญ่และสว่างกว่าปกติ ซึ่งทีมงานรวมอันที่น่าสนใจมาให้แล้ว
- 10 มกราคม – ดาวพฤหัสใกล้โลกมากที่สุด ดาวพฤหัสนับว่าเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล และมีจุดเด่นคือจุดยักษ์แดง นอกจากนี้ยังมีดาวบริวารทั้งสี่ดวงหรือที่เรียกว่าดวงจันทร์กาลิเลียน หากเรานำกล้องโทรทรรศน์ส่องดาวพฤหัสเราจะเห็นจุดยักษ์แดง และเหล่าดวงจันทร์กาลิเลียนได้ชัดยิ่งขึ้น
- 4 ตุลาคม – ดาวเสาร์ใกล้โลกมากที่สุด ดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ที่มีวงแหวนเด่นที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ นับว่าจะเป็นอะไรที่ดีมาก หากเราได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ส่องเพื่อดูวงแหวนของดาวเสาร์

สำหรับมือใหม่ นี่คือช่วงที่ “เห็นแล้วเข้าใจทันที” ว่าดาวเคราะห์ไม่ใช่แค่จุดสว่างบนฟ้า แต่เป็นโลกอีกใบที่มีโครงสร้าง มีบริวาร และมีรายละเอียดให้สำรวจจริง ๆ และถ้ามองในมุมของการสังเกตการณ์ ปีที่มี Opposition แบบนี้ก็คือปีที่ท้องฟ้าเปิดโอกาสให้เราเข้าใกล้เพื่อนบ้านในระบบสุริยะมากที่สุดเท่าที่ฟิสิกส์จะยอมให้เป็นไปได้
ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลกและไกลโลกมากที่สุด
นอกจากจันทรุปราคา ฝนดาวตก และปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับดาวเคราะห์แล้ว ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกเช่นกัน ซึ่งปรากฏการณ์นี้สามารถมองเห็นได้ง่ายและน่าสนใจไม่แพ้ปรากฏการณ์ที่ผ่านมา
- 31 พฤษภาคม – Micro Full Moon เป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์เต็มดวงและห่างจากโลกมากที่สุด (406,135 กิโลเมตร) ทำให้ดวงจันทร์มีขนาดปรากฏเล็กกว่าปกติ
- 24 ธันวาคม – Super Full Moon เป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์เต็มดวงและเข้าใกล้โลกมากที่สุด (356,651 กิโลเมตร) ทำให้ดวงจันทร์มีขนาดปรากฏใหญ่กว่าปกติ

ความต่างของสองคืนไม่ได้อยู่แค่ตัวเลขระยะทางเป็นแสนกิโลเมตร แต่เป็นประสบการณ์การมองท้องฟ้าที่ต่างกันอย่างชัดเจน และก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่บอกเราว่า แม้ดวงจันทร์จะโคจรอยู่ใกล้โลกแทบตลอดเวลา แต่รายละเอียดเล็ก ๆ ของวงโคจรก็เปลี่ยนภาพที่เราเห็นบนท้องฟ้าได้มากกว่าที่หลายคนคิด
สรุปปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่ควรค่าแก่การรับชมในปี 2026
สรุปปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่สามารถรับชมได้ง่ายในปี 2026 (คัดเลือกไว้ตรงนี้แล้ว)
- 10 มกราคม – ดาวพฤหัสใกล้โลกที่สุดในรอบปี
- 31 พฤษภาคม – Micro Full Moon เป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์เต็มดวงและห่างจากโลกมากที่สุด (406,135 กิโลเมตร) ทำให้ดวงจันทร์มีขนาดปรากฏเล็กกว่าปกติ
- 21 กันยายน – ดาวเสาร์ใกล้โลกที่สุดในรอบปี
- 13 – 14 ธันวาคม – ฝนดาวตกเจมินิดส์ (อัตราการตก 120 ดวงต่อชั่วโมง)
- 24 ธันวาคม – Super Full Moon เป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์เต็มดวงและเข้าใกล้โลกมากที่สุด (356,651 กิโลเมตร) ทำให้ดวงจันทร์มีขนาดปรากฏใหญ่กว่าปกติ
ในแง่นี้ ปี 2026 อาจไม่ใช่ปีแห่งความอลังการ แต่เป็นปีที่ชวนให้ชะลอจังหวะ หยุดเงยหน้ามองฟ้า และสังเกตความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ตามกฎฟิสิกส์เดิม การได้เห็นฝนดาวตกเจมินิดส์ปลายปี ดวงจันทร์ที่ใหญ่ขึ้นหรือเล็กลง และดาวเคราะห์ที่สว่างผิดปกติ ล้วนเป็นเครื่องย้ำเตือนว่า จักรวาลไม่ได้ต้องการโชว์ใหญ่ตลอดเวลา แค่เราเลือกมองให้ดี มันก็มีเรื่องให้เล่าได้เสมอ
ดูที่ไหนดี มองหาท้องฟ้ามืดในไทย ผ่าน Dark Sky
ถ้าถามว่า “ดูที่ไหนดี” คำตอบสั้น ๆ คือที่ที่มืดพอจะปล่อยให้ท้องฟ้าทำหน้าที่ของมันเอง ซึ่งในประเทศไทย หนึ่งในกรอบคิดที่สำคัญมากคือโครงการ Dark Sky ของ NARIT ที่พยายามผลักดันแนวคิดเรื่องการลดมลภาวะทางแสงและชี้ให้เห็นว่าการดูดาวไม่ใช่แค่เรื่องโรแมนติก แต่เป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต โครงการนี้ช่วยระบุพื้นที่ที่ท้องฟ้ายังมืดพอ เหมาะกับการสังเกตการณ์ดาราศาสตร์ ตั้งแต่อุทยานแห่งชาติบนดอยสูงไปจนถึงแหล่งเรียนรู้ดาราศาสตร์ที่ออกแบบระบบไฟให้รบกวนท้องฟ้าน้อยที่สุด พูดง่าย ๆ คือไม่ได้แค่บอกว่าไปดูที่ไหน แต่กำลังบอกเราว่า “ความมืด” เป็นทรัพยากรที่ต้องดูแล
สามารถค้นหารายชื่อของสถานที่ที่อยู่ในโครงการ Dark Sky ได้ที่ เว็บไซต์ของโครงการเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด

ในเชิงปฏิบัติ พื้นที่บนภูเขา ห่างจากเมืองใหญ่ และมีการควบคุมแสงไฟดี เช่น บริเวณรอบอุทยานแห่งชาติหรือศูนย์ดาราศาสตร์ที่เข้าร่วมแนวคิด Dark Sky จะให้ประสบการณ์ดูดาวที่ต่างจากหลังบ้านในเมืองอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นฝนดาวตกที่เห็นได้ต่อเนื่องมากขึ้น หรือรายละเอียดของทางช้างเผือกที่โผล่ขึ้นมาแบบไม่ต้องจินตนาการเพิ่ม ปี 2026 อาจไม่ได้มีปรากฏการณ์ระดับเปลี่ยนชีวิต แต่ถ้าเลือกสถานที่ถูก ท้องฟ้ามืดพอ และให้เวลากับมันมากพอ ปรากฏการณ์ธรรมดาเหล่านี้ก็จะกลายเป็นคืนที่ทำให้เราจำได้ยาวกว่าที่คิด และนี่แหละคือหัวใจของการดูฟ้าในแบบที่ Dark Sky พยายามจะชวนให้เราเห็นร่วมกัน
ขอให้ปี 2026 เป็นปีที่สวยงามสำหรับทุกคน เพราะดวงดาวจะอยู่ข้างเราเสมอ
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co