ถ้าเราก่ออาชญากรรมในอวกาศ ใครจะมาจับเรา รู้จักสนธิสัญญาอวกาศ

Space Jurisdiction หรือขอบเขตการตัดสินคดีความในอวกาศ เป็นหนึ่งใน Field ด้านการบังคับใช้กฎหมายในอวกาศที่แม้มนุษย์เราจะขึ้นสู่อวกาศได้มานานกว่า 60 ปีแล้ว ก็ยังไม่ค่อยมีประเทศใดจริงจังกับการบัญญัติกฎหมายอวกาศขึ้นมาเสียที คำถามหนึ่งที่ยังไม่มีใครตอบได้ คือ ถ้าเราก่ออาชญากรรมในอวกาศ ใครจะมาจับเรา?

ปัจจุบันมีสนธิสัญญานานาชาติซึ่งเป็นพื้นฐานของกฎหมายอวกาศหลัก ๆ อยู่ 4 ฉบับ ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย คือ

  • สนธิสัญญาอวกาศส่วนนอก (Outer Space Treaty) ปี 1967
  • ความตกลงว่าด้วยการช่วยชีวิตนักบินอวกาศ (Rescue Agreement) ปี 1968
  • อนุสัญญาว่าด้วยความรับผิดชอบในห้วงอวกาศ (Space Liability Convention) ปี 1972
  • อนุสัญญาว่าด้วยการจดทะเบียนวัตถุในห้วงอวกาศ (Registration Convention) ปี 1976

Outer Space Treaty

Outer Space Treaty ปัจจุบันเป็นสนธิสัญญาหลักในการควบคุมและดูแลการสำรวจอวกาศ ตั้งแต่ดวงจันทร์ไปจนถึงวัตถุท้องฟ้าอื่น ๆ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 1967 และมีภาคีสัญญากว่า 115 ประเทศ

การเซ็น Outer Space Treaty ในปี 1967 ที่มา – UNOOSA

สาระหลักของสนธิสัญญาคือการกำหนดข้อตกลงพื้นฐานให้ทุกประเทศปฏิบัติตาม ภายใต้กฎหมายนานาชาติ เพื่อให้การสำรวจอวกาศเป็นไปอย่างเป็นระบบระเบียบและคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังต่อไปนี้:

  • การสำรวจและการใช้ประโยชน์ในห้วงอวกาศให้กระทำเพื่อประโยชน์และผลประโยชน์ของประเทศทั้งปวง และให้เป็นสมบัติร่วมของมวลมนุษยชาติ
  • ห้วงอวกาศย่อมเป็นเสรีสำหรับการสำรวจและการใช้ประโยชน์โดยรัฐทั้งปวง
  • ห้วงอวกาศไม่อยู่ภายใต้การยึดถือเป็นกรรมสิทธิ์ของชาติ ไม่ว่าด้วยการอ้างอำนาจอธิปไตย การใช้ประโยชน์หรือการครอบครอง หรือด้วยวิธีการอื่นใด
  • รัฐทั้งหลายต้องไม่นำอาวุธนิวเคลียร์หรืออาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูงชนิดอื่นเข้าสู่วงโคจรหรือไปยังเทหวัตถุใด ๆ ในห้วงอวกาศ หรือติดตั้งอาวุธดังกล่าวในห้วงอวกาศด้วยประการอื่นใด
  • ดวงจันทร์และเทหวัตถุอื่น ๆ ในห้วงอวกาศให้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ด้านสันติเท่านั้น ห้ามใช้เพื่อการทดสอบอาวุธทุกชนิด การดำเนินยุทธศาสตร์ทางทหาร หรือการจัดตั้งฐานทัพ สิ่งติดตั้ง หรือป้อมปราการทางทหาร
  • ให้ถือว่านักบินอวกาศเป็นผู้แทนของมวลมนุษยชาติ
  • รัฐต้องรับผิดชอบต่อกิจกรรมด้านอวกาศในระดับชาติ ไม่ว่าจะดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานเอกชน
  • รัฐต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากวัตถุอวกาศของตน
  • รัฐต้องหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อห้วงอวกาศและเทหวัตถุในห้วงอวกาศ

จะเห็นได้ว่า Outer Space Treaty นั้นเป็นการควบคุมการสำรวจอวกาศให้อยู่ในเชิงการสำรวจอวกาศโดยสันติ การทหารเพื่อสนับสนุนการใช้อวกาศอย่างสันติได้รับอนุญาตภายใต้สนธิสัญญา นอกจากนี้ สนธิสัญยายังระบุไว้ว่าวัตถุใด ๆ ที่รัฐส่งขึ้นมาในอวกาศ รัฐนั้น ๆ จะมีสิทธิอำนาจเหนือวัตถุนั้น ๆ และจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดจากวัตถุของตนด้วยเช่นกัน

ภาพจากการซักซ้อมการเก็บกู้ยานอวกาศ Starliner ของ NASA ในปี 2024 ที่มา – NASA

แต่ก็ไม่มีข้อสัญญาใดกล่าวถึงการก่ออาชญกรรมในอวกาศรวมถึงบทลงโทษใด ๆ ต่อผู้ละเมิดสนธิสัญญา รวมถึงบทบัญญัติส่วนใหญ่ไม่ชัดเจนและกำกวม ทำให้การบังคับใช้จริงนั้นต้องมีการตีความภาษาที่ใช้เขียนหรือเจตนารมณ์ของข้อบัญญัติ

Treaty on Principles Governing the Activities of States in the Exploration and Use of Outer Space, including the Moon and Other Celestial Bodies

ภาคีสัญญาของ Outer Space Treaty (ฟ้า) รัฐผู้ลงนามแต่ยังไม่ให้สัตยาบัน (เหลือง) รัฐนอกสนธิสัญญา (แดง) ที่มา – Wikipedia Creative Commons

Rescue Agreement

Rescue Agreement กำหนดไว้โดยสรุปว่า รัฐใดก็ตามที่เป็นภาคีของความตกลงนี้ ต้องให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ในการกู้ภัยบุคลากรของยานอวกาศซึ่งลงจอดในเขตแดนของตน ไม่ว่าจะเป็นเพราะอุบัติเหตุ ภาวะฉุกเฉิน หรือเหตุขัดข้องใด ๆ รวมถึงการลงจอดโดยไม่ตั้งใจ และหากเหตุฉุกเฉินดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่นอกอาณาเขตของรัฐใด ๆ รัฐภาคีที่มีศักยภาพในการช่วยเหลือจะต้องให้การสนับสนุนในการค้นหาและกู้ภัยตามความจำเป็น นอกจากนี้ ยังต้องแจ้งให้รัฐเจ้าของยานอวกาศหรือรัฐที่เกี่ยวข้องทราบทันที รวมไปถึงการแจ้งเลขาธิการสหประชาชาติตามสมควร

แน่นอนว่าข้อตกลงนี้ก็เป็นอีกข้อตกลงหนึ่งที่กำกวมและครุมเครือ เช่น การไม่ได้ระบุว่าใครต้องเป็นคนรับผิดชอบค่ากู้ภัยบุคลากรของยานอวกาศ นอกจากนี้ คำศัพท์ยังกำกวม เช่น การใช้คำว่า “บุคลากรของยานอวกาศ” ใครคือบุคลากรของยานอวกาศ แล้วในกรณีของนักท่องเที่ยวอวกาศนับเป็นบุคลากรของยานอวกาศหรือไม่

Agreement on the Rescue of Astronauts, the Return of Astronauts and the Return of Objects Launched into Outer Space

ภาคีความตกลงของ Rescue Agreement (เขียว) รัฐผู้ลงนามแต่ยังไม่ให้สัตยาบัน (เหลือง) รัฐนอกสนธิสัญญา (เทา) ที่มา – Wikipedia Creative Commons

Space Liability Convention

Space Liability Convention มีใจความหลักว่า รัฐแต่ละรัฐมีความรับผิดชอบระดับระหว่างประเทศต่อวัตถุอวกาศทุกชนิดที่ปล่อยจากดินแดนของตน ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นผู้ปล่อยวัตถุอวกาศก็ตาม หากวัตถุอวกาศถูกปล่อยจากดินแดนของรัฐนั้น ๆ หรือถูกปล่อยผ่านฐานปล่อยของรัฐนั้น ๆ หรือรัฐนั้น ๆ เป็นผู้ทำให้เกิดการปล่อย รัฐนั้น ๆ จะต้องรับผิดต่อความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากวัตถุอวกาศดังกล่าวโดยสมบูรณ์

หากสองรัฐร่วมมือกันในการปล่อยวัตถุอวกาศ รัฐทั้งสองต้องรับผิดร่วมกันต่อความเสียหายที่วัตถุอวกาศก่อให้เกิดขึ้น หมายความว่า ผู้ได้รับความเสียหายสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายเต็มจำนวนจากรัฐใดรัฐหนึ่งในทั้งสองรัฐได้

Convention on International Liability for Damage Caused by Space Objects

จรวด Long March 2F บินขึ้นจากฐานปล่อยในจีน ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องจรวดตกใส่บ้าน ที่มา – CNSA

ข้อจำกัดคือ ภายใต้อนุสัญญาแห่งนี้ การฟ้องเรียกร้องจะต้องกระทำโดยรัฐเท่านั้น กล่าวคือ หากมีบุคคลใดได้รับความเสียหายจากวัตถุอวกาศและต้องการเรียกร้องค่าเสียหายภายใต้อนุสัญญานี้ บุคคลดังกล่าวต้องประสานให้รัฐของตนเป็นผู้ยื่นเรื่องเรียกร้องต่อรัฐที่ทำการปล่อยวัตถุอวกาศซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายนั้น

ดังนั้นหากจรวดจีนตกใส่บ้านเราระเบิด เราจะต้องเดินไปบอกรัฐบาลไทยว่า “ช่วยกูฟ้องมันหน่อย” ตลกร้ายคือ ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในอนุสัญญาฉบับนี้ ดังนั้น “Good luck with your house”

ภาคีสัญญาของ Space Liability Convention (เขียว) รัฐผู้ลงนามแต่ยังไม่ให้สัตยาบัน (เหลือง) รัฐนอกสนธิสัญญา (เทา) ที่มา – Wikipedia Creative Commons

Registration Convention

อนุสัญญากำหนดให้รัฐต้องส่งมอบข้อมูลวงโคจรของวัตถุอวกาศแต่ละชิ้นให้แก่องค์การสหประชาชาติ โดยรายการทะเบียนจะอยู่ในความดูแลของ UNOOSA ซึ่งมีข้อมูลดังนี้

  • วัตถุประสงค์ทั่วไปของวัตถุอวกาศ
  • ชื่อรัฐที่ทำการปล่อย
  • รหัสกำหนดหรือหมายเลขทะเบียนของวัตถุอวกาศ
  • วันที่และเขตแดนหรือสถานที่ปล่อย
  • วงโคจรพื้นฐาน ได้แก่ ระยะเวลารอบวงโคจร (Nodal period) มุมเอียงวงโคจร (Inclination) จุดไกลสุด (Apogee) และจุดใกล้สุด (Perigee)

Registration Convention

ภาคีสัญญาของ Registration Convention (เขียว) รัฐผู้ลงนามแต่ยังไม่ให้สัตยาบัน (เหลือง) รัฐนอกสนธิสัญญา (เทา) ที่มา – Wikipedia Creative Commons

กฎหมายอาญาในอวกาศ

ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญว่า แล้วถ้าเราเป็นนักบินอวกาศแล้วก่ออาชญากรรมบนวงโคจร จะเป็นอย่างไร คำตอบก็คือ ณ ปัจจุบัน ไม่มีสนธิสัญญาได้ระบุหรือครอบคลุมความผิดทางอาญาในอวกาศ ซึ่งอาจกระทำโดยบุคลากรของยานอวกาศของรัฐหนึ่ง ๆ การบัญญัติที่พอจะใกล้เคียงการบังคับความผิดทางอาญาต่อผู้กระทำคือ มาตราที่ 8 (Article VIII) แห่งสนธิสัญญาอวกาศส่วนนอกหรือ Outer Space Treaty ซึ่งระบุไว้ว่า

“รัฐภาคีในสนธิสัญญาที่มีชื่อวัตถุอวกาศอยู่ในทะเบียนของตน
ย่อมคงอำนาจศาลและอำนาจควบคุมเหนือวัตถุนั้น
รวมทั้งบุคลากรที่เกี่ยวข้อง

ตามข้อความของสนธิสัญญานี้ อาจตีความได้ว่า รัฐของบุคลากรมีอำนาจบังคับใช้กฏหมายอาญาของตนกับบุคลากรของตน ดังนั้นหากนักบินอวกาศก่ออาชญกรรมร้ายแรงในอวกาศซึ่งไม่อยู่ในขอบเขตอำนาจดินแดนของใคร เช่น ฆ่าใครสักคนตายในสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) อำนาจการตัดสินคดีจะอยู่ที่รัฐของนักบินอวกาศ แน่นอนว่ารัฐดังกล่าวมีสิทธิที่จะสั่งฟ้องผู้กระทำผิดหรือไม่ก็ได้ตามกระบวนการยุติธรรมของประเทศนั้น ๆ

หรือถ้าเป็นการก่อคดีในยานอวกาศอย่าง Crew Dragon แปลว่าอำนาจการตัดสินก็จะเกี่ยวข้องกับชาติที่ยานอวกาศนั้นจดทะเบียนด้วย

ยานอวกาศ Dragon ขณะกำลังเทียบท่าสถานีอวกาศนานาชาติ ที่มา – NASA

ทั้งนี้ การดำเนินคดีจริง ๆ อาจจะแตกต่างออกไปเพราะว่ากระบวนการยังกำกวม ซ้ำไปกว่านั้นคือไม่เคยมีกรณีคดีอาญาในอวกาศเกิดขึ้นมาก่อน คดีเดียวที่เคยเกิดขึ้นในอวกาศคือคดีที่อดีตคู่สมรสของนักบินอวกาศยื่นคำร้องว่านักบินอวกาศคนดังกล่าวเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของอดีตคู่สมรสโดยไม่ได้รับอนุญาต นี่เป็นเรื่องราวของนักบินอวกาศ Anne McClain ซึ่งหลังจากการสอบสวนพบว่าอดีตคู่สมรสคนดังกล่าวให้การเทจ McClain จึงพ้นข้อกล่าวหา

NASA Astronaut Anne McClain Accused by Spouse of Crime in Space

คำตอบของคำถามว่า “ถ้าเราก่ออาชญากรรมในอวกาศ ใครจะมาจับเรา” ก็คือ ไม่มีใครรู้ แต่ควรเป็นประเทศของผู้กระทำความผิด ไม่แน่ว่าในอนาคตหากมีการบัญญัติกฎหมายอวกาศอย่างชัดเจนแล้ว เราอาจมีทนายสายกฎหมายหรือศาลที่มีอำนาจตัดสินคดีในอวกาศก็เป็นได้

นอกจากสนธิสัญญาแล้ว ยังมีข้อตกลงอื่น ๆ ที่เป็นการเซ็นลงนามร่วมกัน แต่ยังไม่ถึงขั้นว่าเป็น Treaty อย่างเช่น ข้อตกลง Artemis ซึ่งอ่านได้ใน ข้อตกลง Artemis ฉบับภาษาไทย

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Editor of Spaceth.co | A 21-year-old biologist with a passion for space exploration, science communication, and interdisciplinarity. Dedicated to demystifying science for all - Since 2018.