ส่อง Technical Session เทรนด์งานวิจัยอวกาศไปถึงไหนแล้ว เจาะลึกเนื้อหาจากงาน IAC 2025

ตลอดสามวันที่ผมได้เข้าร่วมงาน International Astronautical Congress 2025 ที่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย บทความนี้ตั้งใจจะหยิบยกและสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเข้าฟัง Technical Session ซึ่งถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการประชุมระดับโลกครั้งนี้มาเล่าให้ฟังครับ งาน IAC ไม่ได้มีแค่การจัดแสดงเทคโนโลยีหรือโชว์เคสจากหน่วยงานอวกาศเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกมานำเสนอผลงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล และพูดคุยถึงทิศทางของวงการอวกาศในด้านต่าง ๆ ผ่านหัวข้อย่อยมากมาย ซึ่ง Technical Session เหล่านี้เองที่ทำให้เราเห็นแนวโน้มล่าสุดของการวิจัยและพัฒนาในระดับลึก

บรรยากาศนิทรรศการในงาน IAC จัดแสดงเทคโนโลยีหรือโชว์เคสจากหน่วยงานอวกาศ ที่มา – Nachanok Kladsamniang/CRA/Spaceth

สำหรับผม การได้เข้าไปฟัง Technical Session เป็นโอกาสที่ได้เห็นว่าขณะนี้ “วิทยาศาสตร์อวกาศ” กำลังเคลื่อนไปในทิศทางไหน และนักวิจัยทั่วโลกกำลังมองอนาคตของการสำรวจและการอยู่อาศัยในอวกาศอย่างไร หลายหัวข้อในปีนี้น่าสนใจมาก ทั้งในด้าน Space Life Sciences, Radiation Biology, ไปจนถึงเทคโนโลยี Life Support และ Biotech ที่เชื่อมโยงกับการดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว สิ่งที่น่าคิดคือ งานวิจัยจำนวนมากเริ่มหันมามุ่งเน้นเรื่อง “ความยั่งยืนของชีวิตในอวกาศ” มากกว่าการเดินทางไปถึงดาวเคราะห์ปลายทาง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแนวคิดของการสำรวจอวกาศกำลังเปลี่ยนจาก “ไปถึง” สู่ “อยู่ได้”

บรรยากาศห้องประชุม Technical Session ที่มา – Nachanok Kladsamniang/CRA/Spaceth

บทความนี้นอกจากการสรุปเนื้อหาหลัก ๆ ที่มีการเล่าไปในบทความ สรุปเนื้อหาสำคัญจากงาน International Astronautical Congress 2025 งานอวกาศที่ใหญ่ที่สุดในโลก แล้วจะเป็นการตั้งใจจะสรุปเนื้อหาและประเด็นที่น่าสนใจจาก Technical Session ที่ผมได้เข้าร่วมในแต่ละวัน โดยเรียงตามลำดับ พร้อมสอดแทรกข้อสังเกตเล็ก ๆ จากมุมมองของผู้เข้าฟัง เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพรวมของแนวโน้มงานวิจัยอวกาศในปัจจุบัน และเข้าใจว่าการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะบนวงโคจร แต่เริ่มจากการทดลอง การตั้งคำถาม และการเรียนรู้ในห้องประชุมเล็ก ๆ อย่างที่งาน IAC นี้แหละครับ

วันแรกกับหัวข้อ Space Life Sciences for Exploration

ผมมาถึงซิดนีย์ในวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่สามของงานพอดี วันแรกจึงถือเป็นการเริ่มต้นสำรวจงานจริง ๆ หลังจากได้เดินดูบูธและห้องสัมมนาต่าง ๆ เพื่อวางแผนว่าจะเลือกฟังหัวข้อไหนบ้าง ในวันนั้นผมตัดสินใจเริ่มจากห้อง Space Life Sciences for Exploration เพราะเป็นสาขาที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเตรียมความพร้อมของมนุษย์สำหรับการใช้ชีวิตในอวกาศระยะยาว และมีงานที่น่าสนใจอยู่หลายเรื่อง

งานแรกที่ผมได้ฟังคือ ISS4Mars: Using Low Earth Orbit Stations to Enable Human Exploration of Mars ซึ่งเป็นโครงการนำร่องขององค์การอวกาศแคนาดาหรือ CSA ที่มุ่งศึกษาวิธีใช้สถานีอวกาศนานาชาติเป็นสนามทดลองจำลองภารกิจดาวอังคาร จุดประสงค์คือพัฒนาแนวทางการดูแลสุขภาพของนักบินอวกาศในสภาพที่ต้องพึ่งตนเองโดยจำกัดการติดต่อกับโลก ทีมวิจัยได้พัฒนาเครื่องมือช่วยเหลือทางการแพทย์และคู่มือดิจิทัลที่ลูกเรือสามารถใช้เองได้ รวมถึงการทดลองระบบอาหารสำหรับภารกิจระยะยาว โดยใช้เฉพาะอาหารที่เก็บได้นานและทดลองปลูกพืชสดบนสถานี การศึกษานี้จะเปรียบเทียบข้อมูลสุขภาพของลูกเรือจริงบน ISS กับกลุ่มควบคุมบนโลกตลอดระยะเวลา 6 เดือน เพื่อวิเคราะห์ผลทางโภชนาการและจิตใจของการดำรงชีวิตแบบพึ่งตนเองในอวกาศ

ISS4Mars 4 Case Implementation

งานต่อมาคือ Exploring the Combined Effects of Head-Down Tilt and Virtual Reality Simulation as Ground-Based Space Analogues for Food Sensory Evaluation จากทีมของ RMIT University ซึ่งมีแนวคิดน่าสนใจมากในการจำลองผลทางสรีรวิทยาที่เกิดจากภาวะไร้แรงโน้มถ่วงโดยใช้การนอนเอียงหัวลง 6 องศา (Head-Down Tilt; HDT) ร่วมกับการจำลองสภาพแวดล้อมในโลกเสมือน (VR) เพื่อศึกษาว่าการรับรู้กลิ่นและรสของมนุษย์เปลี่ยนแปลงอย่างไรเมื่อของเหลวในร่างกายไหลขึ้นช่วงบนเหมือนอยู่ในอวกาศ

อธิบาย Sense of Smell รูปจาก Presentation ทีมวิจัย RMIT University

การทดลองนี้ใช้ผู้เข้าร่วม 105 คน ทดสอบการรับกลิ่นทั้งแบบ Orthonasal (สูดผ่านจมูก) และ Retronasal (ผ่านปากขณะกิน) ด้วยตัวอย่างกลิ่น เช่น มะนาว อัลมอนด์ และสะระแหน่ ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบปกติ แบบ VR และแบบ VR-HDT ผลการทดสอบสอดคล้องกับสิ่งที่นักบินอวกาศรายงานจริง คือความเข้มของรสและกลิ่นบางอย่างลดลง รวมถึงระดับอารมณ์ด้านลบและความเครียดเพิ่มขึ้นในสภาพแวดล้อมจำลองที่มีข้อจำกัดสูง ซึ่งสะท้อนว่าประสบการณ์การกินอาหารในอวกาศอาจเกี่ยวข้องโดยตรงกับภาวะทางจิตใจของลูกเรือ

VR interface รูปจาก presentation ทีมวิจัย RMIT University

งานสุดท้ายของวันคือ Sensory Adaptations in Isolated, Confined, and Extreme Environments: A Longitudinal Study of Olfactory and Gustatory Functions in Antarctica ซึ่งเป็นการทดลองในสถานี Concordia ที่ขั้วโลกใต้ ทีมวิจัยได้ติดตามกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ชีวิตอยู่ในสภาพโดดเดี่ยว ความดันอากาศต่ำ และอุณหภูมิต่ำสุดถึง -80°C เป็นเวลาเก้าเดือน โดยเปรียบเทียบกลุ่มที่ได้รับโปรไบโอติก Bifidobacterium longum 1714 กับกลุ่มควบคุม เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของระบบรับกลิ่น รส สุขภาพจิต และสมรรถภาพร่างกาย ผลการทดลองพบว่าน้ำหนักตัวและความสามารถในการรับรสโดยเฉพาะรสเค็มลดลงชัดเจนในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว และกลุ่มที่ได้รับโปรไบโอติกมีแนวโน้มปรับตัวได้ดีกว่า ทั้งด้านอารมณ์และความเครียด งานนี้ชี้ให้เห็นว่าการจัดการ Microbiome ในร่างกายอาจมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพจิตและสมดุลร่างกายของนักบินอวกาศในภารกิจระยะยาว

จากสามงานนี้จะเห็นได้ว่า แนวโน้มของ Space Life Science เริ่มขยับจากการศึกษาเชิง “การแพทย์รักษา” มาสู่ “การเข้าใจร่างกายและจิตใจในระบบนิเวศอวกาศ” มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร การรับรู้ หรือ Microbiome ทั้งหมดสะท้อนแนวคิดใหม่ของวงการอวกาศที่ไม่ได้มองมนุษย์แค่ในฐานะผู้เดินทาง แต่ในฐานะ “สิ่งมีชีวิต” ที่ต้องเรียนรู้จะปรับตัวและอยู่รอดภายใต้กฎของสภาพแวดล้อมที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

วันที่สอง Radiation Biology และ Microgravity Simulation

ในวันที่สองของการเข้าร่วมงาน ผมเลือกเข้าฟัง Technical Session ที่เกี่ยวข้องกับรังสีและสิ่งมีชีวิตในอวกาศ รวมถึงการจำลองสภาพแวดล้อมไร้แรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นหัวข้อสำคัญต่อการออกแบบระบบสนับสนุนชีวิตในภารกิจระยะยาว โดยในวันนั้นมีสามงานที่น่าสนใจเป็นพิเศษ

งานแรกคือ Evaluating Aquatic Bryophytes as Radiation-Resistant Biofilters for Space Habitats: The Moss on Mars Project ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากองค์การอวกาศยุโรป (ESA) โครงการนี้ศึกษาศักยภาพของมอสส์น้ำ Taxiphyllum barbieri ในการเป็นส่วนหนึ่งของระบบ Bioregenerative Life Support Systems (BLSSs) สำหรับสภาพแวดล้อมปิดอย่างสถานีอวกาศหรือฐานถาวรบนดาวอังคาร มอสส์น้ำชนิดนี้มีความทนทานสูงต่อการขาดน้ำและการเกิดออกซิเดชัน อีกทั้งยังสามารถกรองน้ำได้ดี ทีมวิจัยได้ทำการฉายรังสี X-ray หลายระดับเพื่อดูผลต่อการเจริญเติบโต พบว่ารังสีระดับต่ำถึงปานกลางกระตุ้นการสังเคราะห์แสงและการเติบโต ในขณะที่รังสีระดับสูงเริ่มส่งผลลบแต่พืชยังสามารถฟื้นตัวได้เมื่อกลับเข้าสภาพปกติ ผลการทดลองนี้แสดงให้เห็นว่ามอสส์น้ำอาจถูกใช้เป็นทั้งตัวกรองรังสีและตัวผลิตออกซิเจนในระบบปิดของอวกาศได้ในอนาคต

งานต่อมาคือ Single Cell Heterogeneity of Slow-Growing Microbial Populations Influences Predictions of Planetary Habitability จากศูนย์วิจัย Ames ของ NASA ซึ่งนำเสนอแนวทางการศึกษาจุลินทรีย์ภายใต้สภาวะจำลองอวกาศโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ระดับเซลล์เดียว (single-cell analysis) ทีมวิจัยพบว่าเมื่อจุลินทรีย์อย่าง E. coli อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียด เช่น การได้รับรังสีหรือการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรุนแรง ความหลากหลายของพฤติกรรมในระดับเซลล์จะลดลง เพราะเซลล์ส่วนใหญ่จะเข้าสู่โหมดซ่อมแซมแทนที่จะเจริญเติบโต ซึ่งทำให้การประเมินความอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตในอวกาศจากค่าเฉลี่ยของกลุ่มอาจคลาดเคลื่อนได้ถึงสิบเท่า การใช้เทคนิค single-cell fluorescence reporter จึงช่วยให้เห็นภาพพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตได้ชัดเจนและแม่นยำมากขึ้น งานนี้ชี้ให้เห็นว่าการประเมิน “ความเป็นไปได้ของการดำรงชีวิตบนดาวเคราะห์อื่น” จำเป็นต้องมองลึกถึงระดับเซลล์ ไม่ใช่แค่ในระดับประชากรอีกต่อไป

ผลการทดลอง รูปจาก Presentation ของ Dr. Devan M. Nisson จาก NASA Postdoctoral Program Fellow Ames Research Center ใน IAC 2025

อีกหนึ่งงานที่น่าสนใจคือ Development of a Three-DOF Random Positioning Machine for Pole-Free Microgravity Simulation in Space Medicine จากทีมวิจัยของ Seoul National University ซึ่งพัฒนาเครื่องจำลองสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงแบบสามแกน (3DOF Random Positioning Machine) สำหรับงานวิจัยด้านเวชศาสตร์อวกาศ เครื่องจำลองแบบดั้งเดิมมักเป็นแบบสองแกน (2DOF) ซึ่งมีข้อจำกัดตรงบริเวณขั้วที่แรงโน้มถ่วงไม่ถูกเฉลี่ยอย่างสมบูรณ์ ทีมวิจัยจึงออกแบบระบบที่สามารถหมุนชิ้นงานได้อย่างอิสระในสามแกน ทำให้แรงโน้มถ่วงที่ตกกระทบต่อวัตถุถูกเฉลี่ยได้ดีกว่าแบบเดิม พร้อมใช้วิธีคำนวณเชิงคณิตศาสตร์เพื่อให้การกระจายแรงมีความสม่ำเสมอ เครื่องต้นแบบนี้ถูกนำไปใช้ในการทดลองทางชีวการแพทย์ เช่น การศึกษาการเติบโตของเซลล์ในสภาวะไร้น้ำหนัก และมีแนวโน้มจะถูกพัฒนาเป็นเครื่องมือมาตรฐานในการศึกษาทางชีววิทยาอวกาศต่อไป

RPM ในปัจจุบัน รูปจาก Presentation ทีมวิจัยจาก Seoul National University

จากสามงานที่ได้ฟังในวันนี้ จะเห็นว่าการวิจัยด้านอวกาศกำลังเคลื่อนไปสู่ความละเอียดมากขึ้น ทั้งในระดับชีวภาพและวิศวกรรม เครื่องมือและแบบจำลองใหม่ ๆ อย่างการศึกษาระดับเซลล์เดียว หรือเครื่องจำลองแรงโน้มถ่วงสามแกน ช่วยให้เราเข้าใจผลกระทบของสภาพแวดล้อมอวกาศต่อสิ่งมีชีวิตได้อย่างแม่นยำกว่าเดิม และสะท้อนทิศทางของงานวิจัยยุคใหม่ที่ไม่ได้เน้นเพียงการทดลองเชิง “ภาพรวม” แต่เริ่มลงลึกไปถึงระดับกลไกพื้นฐานที่ทำให้ชีวิตสามารถดำรงอยู่ในอวกาศได้จริง

วันที่สาม Life Support Systems และ Biotech for Space

วันที่สามเป็นวันสุดท้ายของการเข้าร่วมงาน IAC สำหรับผม วันนี้ตั้งใจเลือกฟังหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับระบบสนับสนุนชีวิต (Life Support) และเทคโนโลยีชีวภาพในอวกาศ เพราะเป็นส่วนที่อยู่ใกล้กับการประยุกต์ใช้งานจริงมากที่สุด โดยเฉพาะในยุคที่ภารกิจอวกาศเริ่มเปลี่ยนจากการสำรวจชั่วคราวไปสู่การตั้งถิ่นฐานถาวร

งานแรกคือ Self-Sustaining Lunar Operations: ECLSS with Integrated ISRU Strategies for the DIANA Base ซึ่งนำเสนอแนวคิดของระบบ ECLSS (Environmental Control and Life Support System) แบบครบวงจรที่ออกแบบสำหรับฐานถาวรบนดวงจันทร์ ภายใต้ชื่อ “DIANA Base” ระบบนี้รวมเทคโนโลยีการใช้ทรัพยากรในพื้นที่ (In-Situ Resource Utilization: ISRU) เข้ากับระบบรีไซเคิลภายในเพื่อสร้างความยั่งยืนสูงสุด โดยตั้งเป้าหมายให้สามารถหมุนเวียนทรัพยากร เช่น น้ำ ออกซิเจน และของเสีย ได้มากกว่า 90% สำหรับลูกเรือตั้งแต่ 4 ถึง 100 คน

System Overview ของ ECLSS System รูปจาก Advanced Space Technology Research for Astronautical Exploration of Uncharted Space

โครงสร้างของระบบแบ่งออกเป็น 6 โมดูลย่อย ครอบคลุมตั้งแต่การจัดการบรรยากาศ น้ำ ของเสีย การควบคุมอุณหภูมิ ไปจนถึงการผลิตอาหารด้วยเทคโนโลยีอย่าง Aeroponics และ Photobioreactors ระบบทั้งหมดออกแบบให้มีความทนทานต่อความเสียหาย (fault-tolerant) และสามารถใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ร่วมกับการสกัดน้ำแข็งในพื้นที่เงามืดของขั้วจันทร์เพื่อลดการพึ่งพาทรัพยากรจากโลก ถือเป็นแนวคิดที่เริ่มเข้าใกล้รูปแบบของ “ชุมชนอวกาศพึ่งตนเอง” อย่างเป็นรูปธรรม

Diana Architecture Structure รูปจาก Advanced Space Technology Research for Astronautical Exploration of Uncharted Space

อีกงานที่น่าสนใจคือ Digital Agricultural Strategies and AI for Astronaut Food Self-Sufficiency in Space Exploration จากกลุ่มวิจัย ARC Centre of Excellence in Plants for Space ที่มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น งานนี้นำเสนอการพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลโดยใช้ AI เพื่อสนับสนุนการปลูกพืชในอวกาศแบบยั่งยืน ทีมวิจัยได้พัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลทางชีวสถิติและสรีรวิทยาของพืชร่วมกับ Machine Learning เพื่อสร้างแบบจำลองการเติบโตในสภาพแวดล้อมปิด นอกจากนี้ยังมีการสร้างระบบ BioSensory ที่ใช้เซนเซอร์ตรวจวัดสัญญาณทางสรีรวิทยาของมนุษย์ เช่น การเคลื่อนไหวของดวงตา อัตราการเต้นหัวใจ และคลื่นสมอง เพื่อนำข้อมูลไปปรับการปลูกพืชและอาหารให้เหมาะกับสภาวะอารมณ์และความต้องการของนักบินอวกาศแบบรายบุคคล งานวิจัยนี้ยังนำเสนอผลการทดลองจากฟาร์มอัจฉริยะที่ใช้เทคนิค Foliar Silicon Application เพื่อลดความเครียดของพืชในสภาพแวดล้อมจำกัด และเสนอพืชที่เหมาะสมสำหรับการปลูกในอวกาศ เช่น duckweed, Brassica rapa, Arabidopsis thaliana, ผักโขม และมะเขือเทศ

DAFW Application Development รูปจาก presentation ของ ARC centre of Excellence

ในช่วงบ่าย ผมเข้าฟังหัวข้อ Biology in Space ซึ่งมีสามงานที่น่าสนใจ เริ่มจาก Worms in Space: A Low-Cost, Compact Platform Supporting Biological Experiments โดยทีมจาก University of Nottingham งานนี้พัฒนาแพลตฟอร์ม CubeSat ขนาด 2U สำหรับการทดลองทางชีววิทยาในอวกาศ โดยใช้หนอน Caenorhabditis elegans เป็นแบบจำลองสิ่งมีชีวิต ระบบภายในประกอบด้วยกล้องถ่ายภาพความละเอียดสูงและเซนเซอร์ที่ควบคุมด้วย Raspberry Pi เพื่อสังเกตพฤติกรรมของหนอนในสภาพ microgravity แบบเรียลไทม์ แม้จะยังมีข้อจำกัดเรื่องการควบคุมอุณหภูมิและการให้อาหาร แต่โครงการนี้แสดงให้เห็นแนวทางใหม่ของการทำชีววิทยาอวกาศแบบต้นทุนต่ำและสามารถทำซ้ำได้ง่ายในวงการศึกษา

Internal Structure and Key Components of the Wormsail CubeSat รูปจาก University of Nottingham

ถัดมาคือโครงการ SENTINEL (Science ENterprise to INform Exploration Limits): The Value of Tissue Chips in Spaceflight ซึ่งมุ่งศึกษาผลกระทบของรังสีอวกาศต่อมนุษย์โดยใช้เทคโนโลยี human tissue chips ที่สร้างจากเซลล์ต้นกำเนิด (iPSC) เพื่อจำลองอวัยวะต่าง ๆ เช่น หัวใจ สมอง และหลอดเลือด จากนั้นนำไปทดสอบในศูนย์รังสีของ NASA (NSRL) เพื่อดูการตอบสนองระดับโมเลกุลและประเมินมาตรการป้องกัน เช่น การใช้อนุภาคนาโน เทคนิค CRISPR หรือโปรตีนไซโตไคน์ งานนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาแนวทาง personalized medicine สำหรับนักบินอวกาศในอนาคต

Human Tissue Chips รูปจาก SENTINEL (Science ENterprise to INform Exploration Limits) Program

งานสุดท้ายของวันคือ Algae as a Feedstock for Space Crop Cultivation ซึ่งศึกษาการใช้สาหร่าย Spirulina เป็นแหล่งอาหารและปุ๋ยชีวภาพในระบบเกษตรอวกาศแบบปิด โดยวิเคราะห์ทั้งอัตราการเจริญเติบโต ปริมาณสารอาหาร และผลต่อสุขภาพของพืช ผลการทดลองชี้ว่า Spirulina สามารถช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหารและกระตุ้นการเจริญของพืชได้ดี จึงมีศักยภาพสูงในการนำมาใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตอาหารและออกซิเจนในภารกิจระยะยาว

เมื่อมองภาพรวมของวันสุดท้ายนี้ จะเห็นได้ชัดว่าแนวโน้มของงานวิจัยอวกาศเริ่มขยับจาก “การสำรวจ” ไปสู่ “การออกแบบระบบนิเวศของชีวิต” (Space Ecosystem Engineering) อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นระบบสนับสนุนชีวิตแบบพึ่งตนเอง เทคโนโลยี AI สำหรับควบคุมพืช หรือการใช้สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในภารกิจอวกาศ ทั้งหมดสะท้อนการเปลี่ยนผ่านของวงการอวกาศจากยุคของการเดินทาง สู่ยุคของการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืนในสภาพแวดล้อมนอกโลก

ภาพของผู้เขียนขณะร่วมงาน IAC 2025 ที่มา – Nachanok Kladsamniang/CRA/Spaceth

ทั้งหมดที่เล่ามานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานวิจัยที่ผมได้มีโอกาสเข้าฟังและอยากนำมาแบ่งปันจากงาน IAC 2025 เท่านั้น จริง ๆ แล้วในงานยังมีอีกหลายหัวข้อที่น่าสนใจมาก ทั้งในด้านเทคโนโลยี วิศวกรรม ระบบขนส่ง และนโยบายอวกาศระดับโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทุกวันนี้ “อวกาศ” ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอย่างที่หลายคนคิดอีกต่อไป

สิ่งที่น่าสังเกตคือแนวโน้มของงานวิจัยอวกาศในปัจจุบันกำลังเคลื่อนจากคำถามว่า “เราจะไปอวกาศได้อย่างไร” มาสู่คำถามใหม่ว่า “เราจะอยู่ในอวกาศได้อย่างไร” งานจำนวนมากเริ่มพูดถึงการสร้างระบบนิเวศของชีวิต ตั้งแต่การหมุนเวียนทรัพยากร การผลิตอาหาร ไปจนถึงการดูแลสุขภาพกายและใจของมนุษย์ในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว มันคือการเปลี่ยนมุมมองจากการสำรวจที่มีจุดหมายชัดเจน ไปสู่การออกแบบให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน

บรรยากาศสถานที่จัดงาน IAC 2025 ที่มา – Nachanok Kladsamniang/CRA/Spaceth

สุดท้ายแล้ว ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของอวกาศเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความพยายามของมนุษย์ในการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป และสร้างระบบที่ยั่งยืนกว่าที่เคย เพราะในความจริงนั้น “อวกาศนั้นใกล้ตัวกว่าที่เราคิด” เทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาเพื่อใช้ในภารกิจนอกโลก กำลังค่อย ๆ กลับมามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราบนโลกใบนี้ ทั้งในด้านพลังงาน การแพทย์ อาหาร และสิ่งแวดล้อม และนั่นคือความงดงามของวิทยาศาสตร์อวกาศ ที่แม้จะมองออกไปไกลแค่ไหน แต่ปลายทางของมันก็ยังคงหันกลับมาหาโลกเสมอ

Data Science undergrad in Australia, part-time stargazer, passionate about science, space, and technology.