ภารกิจ Origins, Spectral Intepretation, Resource Identification, Security-Reglith-Explorer หรือที่รู้จักกันในชื่อ OSIRIS-REx จะเป็นภารกิจแรกที่จะเดินทางสู่ห่วงอวกาศลึกกว่า 7 ปี เพื่อไปเกบตัวอย่างพื้นผิวของดาวเคราะห์น้อยโบราณที่มีชื่อว่า Bennu โดยการเก็บตัวอย่างได้เกินขึ้นในวันที่ 20 ตุลาคม 2020 เวลา 15:12 PST และจะนำตัวอย่างดังกล่าวเดินทางกลับมายังโลกในวันที่ 24 กันยายน 2023 ในบทความนี้เราจะมาดูสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับดาวเคราะห์น้อย Bennu ซึ่งเป็นหนึ่งปัจจัยที่ NASA เลือกที่จะพา OSIRIS-REx ไปเก็บตัวอย่าง
ดาวเคราะห์น้อย Bennu มีลักษณะที่มืดมาก
หลายคนอาจจะเคยเห็นภาพดาวเคราะห์น้อย Bennu ในบทความก่อน ๆ แล้วก็คงจะเห็นว่าดาวเคราะห์น้อย Bennu นั้นสว่างมาก ๆ แต่ภาพดังกล่าวไม่ใช่ภาพที่ถ่ายจากโลกแต่เป็นภาพที่ได้มาจากกล้องบนยาน OSIRIS-REx ต่างหาก หากเราเล็งกล้องโทรทรรศน์ภาคพื้นดินไปยัง Bennu เราจะแทบมองไม่เห็นอะไรเลย เพราะว่าดาวเคราะห์น้อย Bennu ถูกจัดกลุ่มอยู่ในดาวเคราะห์น้อยชนิด B (B-type asteroid) หมายความว่ามันประกอบไปด้วยคาร์บอนเป็นส่วนใหญ่รวมถึงแร่ธาตุอื่น ๆ ซึ่งคาร์บอนดังกล่าวสะท้อนแสงดวงอาทิตย์ได้เพียงแค่ 4 ใน 100 เท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับดาวศุกร์ที่สะท้อนแสงได้กว่า 65 ใน 100 และโลกที่สะท้อนแสงได้กว่า 30 ใน 100 ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยระยะห่างจาก Bennu และดวงอาทิตย์ทำให้แสงที่สะท้อนยิ่งมีน้อยกว่าเดิมมากทำให้เรียกได้ว่าดาวเคราะห์น้อย Bennu นั้นมืดมาก ๆ
Bennu สามารถเรียกได้ว่าเป็นวัตถุโบราณของระบบสุริยะ
ดาวเคราะห์น้อย Bennu ไม่ถูกรบกวนโดยสภาพแวดล้อมในระบบสุริยะมากว่าหลายพันล้านปีแล้วโดยนักวิทยาศาสตร์คาดว่ามันเป็นวัตถุแรก ๆ ที่ก่อตัวขึ้นในระบบสุริยะของเราเพียงแค่ 10 ล้านปีหลังการก่อตัวของระบบสุริยะเท่านั้น หรือเปรียบเทียบย้อนกลับก็ประมาณ 4.5 พันล้านปีที่แล้ว นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังคาดว่า Bennu เคยอยู่ห่างจากโลกกว่านี้มากซึ่งคาดว่าอยู่บริเวณแถบดาวเคราะห์น้อยระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัส แต่เพราะ Yarkovsky effect ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่วัตถุดูดซับความร้อนจากแสงอาทิตย์แล้วแผ่ออกทำให้ดาวเคราะห์น้อย Bennu ค่อย ๆ เปลี่ยนทิศทางมาหาโลกขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน
Bennu เป็นเพียงก้อนเศษหินที่ทรงตัวอยู่ได้เพราะแรงโน้มถ่วง
ศัพท์ในทางดาราศาสตร์เราเรียกดาวเคราะห์น้อยแบบนี้ว่า “Rubble-pile” ซึ่งหมายถึงกองเศษหิน ดาวเคราะห์น้อย Bennu เป็นเทห์ฟ้า (Celestial body) ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของเศษหินเศษอุกกาบาตต่าง ๆ มารวมกันแล้วก็ถูกแรงโน้มถ่วงของตัวมันเองบีบอัดให้เป็นก้อน ๆ คล้ายกับการขยำกระดาษโยนใส่ถังขยะแล้วก็อัด ๆ มันเข้าไป โดยคาดว่าที่ Bennu เป็นแบบนี้เพราะว่าก่อนหน้านี้ Bennu เคยเป็นส่วนหนึ่งของดาวเคราะห์น้อยที่ใหญ่กว่านี้ซึ่งเรียกว่า Parent body แต่ Parent body ดังกล่าวอาจถูกอะไรก็ตามเข้าชนอย่างรุนแรงจนทำให้ Parent body แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แล้วเศษซากดังกล่าวที่แตกออกก็ตกมารวมกันกลายเป็น Bennu โดยปริมาตรของ Bennu ประมาณ 20 ถึง 40 เปอร์เซนต์เป็นเพียงที่ว่างเท่านั้นเอง และ Bennu อาจแตกเป็นเสี่ยง ๆ ได้หากถูกอะไรชนเข้าหรือหมุนรอบตัวเองเร็วมากกว่านี้
Bennu อาจช่วยไขปริศนาสิ่งมีชีวิตบนโลกได้
เพราะด้วยอายุของดาวเคราะห์น้อย Bennu เองที่เรียกได้ว่าเป็นวัตถุโบราณแห่งระบบสุริยะของเราบวกกับการที่มันอยู่ในสภาวะสุญญากาศมานานมาก หมายความว่าไม่มีการรบกวนจากภายนอกเลยทำให้นักวิทยาศาสตร์คาดว่า Bennu อาจจะประกอบไปด้วยสารประกอบและสารตั้งต้นต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตบนโลกไม่ว่าจะเป็น ออกซิเจน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน และสารอินทรีย์อื่น ๆ อีกมากมายนั่นเอง
นอกจากนี้ Bennu ยังมีแร่ด้วย
นักวิทยาศาสตร์คาดว่าบน Bennu นั้นมีแร่จำพวกแพลตตินั่มและทองอยู่เป็นจำนวนมากเมื่อเทียบกับบนโลกของเรา การศึกษาแร่นอกโลกอาจจะช่วยให้เราสามารถหาแหล่งแร่นอกโลกได้อีกด้วยอย่างเช่นการทำเหมืองแร่แบบ Biomining ที่หลาย ๆ งานวิจัยกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามน้ำยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าแร่ธาตุพวกนี้อยู่ดี การที่เราสามารถหาน้ำนอกโลกได้หมายถึงเราจะมีแหล่งน้ำที่ไม่ตองพึงพาโลกในการอยู่อาศัยในอวกาศนั่นเอง
มีโอกาสที่ Bennu จะชนโลกในอีก 100 ปีข้างหน้านี้
งานวิจัยด้าน Near-Earth Asteroid ในปี 1999 ของ NASA’s Planetary Defense Coordination Office พบว่า Bennu จะเข้าใกล้โลกที่ระยะประมาณ 7.5 ล้านกิโลเมตรของวิถีวงโคจรของโลกระหว่างปี 2175 ถึงปี 2199 โดย Bennu มีโอกาสชนโลกประมาณ 1 ใน 2700 อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าการคำนวณวิถีวงโคจรของดาวเคราะห์น้อย Bennu นั้นอาจไม่แม่นยำและมีความยากในการคำนวณสูงมากเพราะ Yarkovsky effect ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนวิถีวงโคจรของดาวเคราะห์น้อยทีละนิดทีละหน่อยแต่เมื่อนานเข้ามันก็จะเริ่มส่งผลกระทบต่อวงโคจรปัจจุบันของมันขึ้นเรื่อย ๆ หาก Bennu ชนโลก มันจะสร้างพลังงานเทียบเท่า TNT กว่า 1,200 megatons เมื่อเปรียบเทียบกับระเบิดปรมาณู Little Boy ซึ่งมีพลังงานเทียบเท่า TNT เพียงแค่ 15 kiloton แล้วนั้นถือว่ารุนแรงมาก ด้วยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 500 เมตรของมัน
นอกจากนี้ Bennu จะเขาใกล้โลกมากที่สุดที่ระยะ 750,000 กิโลเมตรในวันที่ 23 กันยายน 2060 อีกด้วย เมื่อเทียบกับระยะของดวงจันทร์ (ในขณะนั้น) ที่ระยะ 384,402 กิโลมตรแล้วก็ถือว่าใกล้พอสมควร ยิ่งไปกว่านั้น Bennu จะกลับมาโลกอีกครั้งในวันที่ 25 กันยายน 2135 และจะเข้าใกล้โลกที่ระยะเพียงแค่ 300,000 กิโลเมตรเพียงเท่านั้นและนักวิทยาศาสตร์คาดการ์ว่าอาจเข้าใกล้มากถึงเพียง 100,000 กิโลเมตรเท่านั้นซึ่งใกล้กว่าวงโคจรของดวงจันทร์เสียอีก อย่างไรก็ตาม Bennu ไม่มีโอกาสชนโลกระหว่างการเข้าใกล้โลกทั้ง 2 ครั้งแต่อย่างใด
การลงจอดบน Bennu อาจยากกว่าที่ OSIRIS-REx ถูกออกแบบไว้
ก่อนหน้านี้ การสังเกตการณ์ดาวเคราะห์น้อบ Bennu อาศัยเพียงแค่การสังเกตการณ์จากโลกเท่านั้นซึ่งนักวิทยาศาสตร์คิดว่าพื้นผิวของดาวเคราะห์น้อย Bennu นั้นเรียบและมีพื้นผิวเป็นผง ๆ เหมือนดวงจันทร์ แต่เมื่อส่ง OSIRIS-REx ไปตรวจสอบจริง ๆ กับพบว่า Bennu นั้นเป็นกองเศษหินอยากที่เคยกล่าวไว้ และหินแต่ละชิ้นนี่เรียกได้ว่าเป็นก้อนใหญ่ ๆ ทั้งนั้น ไม่ใช่ก้อนเล็ก ๆ อย่างที่เคยคาดการณ์ไว้ OSIRIS-REx ถูกออกแบบมาให้สามารถลงจอดแบบอัตโนมัติด้วยคอมพิวเตอร์การบินบนพื้นที่ที่ถูกวางแผนไว้ในระยะประมาณ 1.6 กิโลเมตร แต่ตอนนี้มันจะต้องหาที่ลงซึ่งมีขนาดเพียง 83 ตารางเมตรเท่านั้นเอง
กล้องบนยาน OSIRIS-REx ตรวจพบการปล่อยอนุภาคจากพื้นผิวสู่อวกาศ
กล้องนำทางของยาน OSIRIS-REx ตรวจพบการปล่อยอนุภาคจากพื้นผิวของดาวเคราะห์น้อย Bennu ออกสู่อวกาศประมาณอาทิตย์ละ 2 ถึง 3 ครั้ง ซึ่งงานวิตัยนำโดย NASA/JPL คาดว่าการปล่อยอนุภาคจากผิวดาวดังกล่าวอาจเกิดจากสภาวะของดาวเคราะห์น้อยเองที่มีแรงโน้มถ่วงต่ำมากจนถึงขั้นที่ฝุ่นที่กระเด็นออกไปนอกอวกาศแล้วถูกแรงโน้มถ่วงดึงกลับลงมากระแทกพื้นผิวอีกครั้งอาจกระเด็นซ้ำจนโคจรรอบดาวเคราะห์น้อย Bennu เองได้เลยหรือแม้แต่หลุดออกนอกดาวเคราะห์น้อย Bennu ไปเลย
เรียบเรียงโดย ทีมงาน SPACETH.CO
อ้างอิง