NASA เปิดเผยภาพ 3I/ATLAS จากยานสำรวจของ NASA ทั่วระบบสุริยะ

3I/ATLAS คือดาวหางข้ามระบบสุริยะที่ค้นพบเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2025 โดยกล้องสำรวจ Asteroid Terrestrial-impact Last Alert System หรือ ATLAS ที่ประเทศชิลี ซึ่งภายหลังได้รับการยืนยันว่าเป็นวัตถุชนิด Interstellar Object หรือ ISO ลำดับที่สามที่ตรวจพบหลังจาก ʻOumuamua ในปี 2017 และ 2I/Borisov ในปี 2019 ลักษณะสำคัญที่ทำให้วัตถุนี้แตกต่างจากดาวหางทั่วไปในระบบสุริยะคือเส้นทางโคจรแบบไฮเพอร์โบลา โดยมีค่า Eccentricity > 1 ซึ่งระบุว่าไม่ได้ถูกผูกด้วยแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์และจะผ่านระบบสุริยะไปเฉย ๆ โดยไม่กลับมาอีก

การคำนวณย้อนกลับบ่งชี้ว่าต้นกำเนิดของมันอาจมาจากระบบดาวอื่นที่มีอายุเก่าแก่ถึงระดับพันล้านปี และอาจเก่าแก่กว่าระบบสุริยะของเราเอง มันผ่านใกล้ดาวอังคารในช่วงปลายปีนี้ที่ระยะประมาณ 30 ล้านกิโลเมตร และกำลังจะเข้าใกล้โลกที่สุดในกลางเดือนธันวาคม 2025 ที่ระยะราว 170 ล้านไมล์ ก่อนจะเดินทางต่อสู่เส้นทางขาออกและตัดวงโคจรดาวพฤหัสบดีในช่วงปี 2026

เส้นทางการโคจรของ 3I/ATLAS ผ่านระบบสุริยะชั้นใน ที่มา – NASA/JPL-Caltech

ความตื่นเต้นของแวดวงวิทยาศาสตร์ไม่ได้อยู่ที่การพบดาวหางใหม่ แต่เกิดจากความจริงที่ว่านี่คือวัตถุที่ “ไม่ได้เกิดในบ้านเรา” และเดินทางมาจากระบบดาวอื่น การตรวจวัดองค์ประกอบของมันจึงเป็นเหมือนการอ่านลายเซ็นทางเคมีของสภาพแวดล้อมในระบบดวงดาวที่เราไม่มีโอกาสไปสำรวจโดยตรง กระแสความสนใจเกิดขึ้นในหลายแนวทาง ตั้งแต่การเปรียบเทียบองค์ประกอบน้ำแข็งระเหิดที่อาจไม่เหมือนดาวหางในระบบสุริยะ ไปจนถึงการศึกษาความเร็ว วงโคจร ลมดาวฤกษ์ และการคายก๊าซที่อาจสะท้อนกลไกการก่อตัววัตถุในระบบดาวอื่น นอกจากนี้ จากมุมการป้องกันโลก ยังมีการมองว่าการสังเกต ISO เช่นนี้เป็น Test Case สำหรับโครงสร้างการติดตามวัตถุขนาดเล็กจากหลายตำแหน่ง ซึ่งในอนาคตอาจเป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับ Planetary Defence เช่นกัน

ก่อนหน้าที่ NASA จะเปิดแคมเปญสังเกตการณ์ครั้งนี้ ESA เองได้ใช้ยานและกล้องสำรวจหลายตัวทั้งภาคพื้นดินและอวกาศในการติดตาม 3I/ATLAS เช่น ExoMars Trace Gas Orbiter (TGO) และ Mars Express ในการช่วยกำหนดเส้นทางโคจร รวมถึงกล้องจากเครือข่ายภาคพื้นหลายแห่ง ขณะที่จีนเองก็มีข้อมูลการสังเกตจากยานโคจรรอบดาวอังคารของ CNSA เช่นกัน ความร่วมมือแบบนี้สะท้อนว่าการติดตาม ISO ไม่ได้เป็นการแข่งขันด้านข้อมูลระหว่างประเทศ แต่เป็นความพยายามระดับโลกในการเก็บข้อมูลจากวัตถุที่โอกาสพบเจอมีอยู่น้อยมากในแต่ละศตวรรษ รอบนี้ถึงตาของ NASA ที่ประกาศอย่างเป็นทางการว่าได้เริ่มปฏิบัติการสังเกตการณ์ระดับ “ทั้งระบบสุริยะ” โดยยานและกล้องโทรทรรศน์ของตนหันไปจับภาพ 3I/ATLAS พร้อมกันในหลายตำแหน่ง

Mars Reconnaissance Orbiter จากกล้องส่องพื้นสู่ส่องฟ้า

ยานอย่าง Mars Reconnaissance Orbiter หรือ MRO ที่ให้ภาพระยะใกล้ที่สุดเมื่อวัตถุผ่านดาวอังคาร กล้อง HiRISE บนยานซึ่งปกติออกแบบมาเพื่อถ่ายภาพพื้นผิวดาวอังคารความละเอียดสูงระดับ 30 เซนติเมตรต่อพิกเซล ถูกนำมาใช้งานในบทบาทใหม่เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2025 เพื่อจับภาพดาวหางข้ามระบบสุริยะ 3I/ATLAS จากระยะประมาณ 0.2 หน่วยดาราศาสตร์หรือ 30 ล้านกิโลเมตร

ภาพจากกล้อง HiRISE บนยาน Mars Reconnaissance Orbiter ที่มา – NASA/JPL-Caltech/University of Arizona

นี่ถือเป็นการใช้กล้องทำงานนอกภารกิจดั้งเดิมที่ต้องอาศัยการชี้เป้าหมาย และการควบคุมค่า Exposure ที่ละเอียดมาก เนื่องจากวัตถุมีความสว่างต่ำและเคลื่อนที่สัมพันธ์กับฉากหลังบนท้องฟ้าเร็วกว่าการถ่ายพื้นผิวดาวอังคารหลายระดับ ความสำคัญของภาพนี้ไม่ใช่แค่ “ถ่ายได้” แต่เป็นการพิสูจน์ว่ายานสำรวจดาวเคราะห์สามารถถูกปรับเป็นอุปกรณ์ดาราศาสตร์เชิงลึกได้ในสถานการณ์เฉพาะหน้า

ภาพจำลองยาน Mars Reconnaissance Orbiter ที่มา – NASA/JPL-Caltech

ข้อมูลจาก HiRISE ช่วยให้เราเห็นโครงสร้างของฝุ่นและก๊าซในส่วน Coma จากมุมมองที่อยู่นอกวงโคจรโลก ซึ่งเมื่อนำไปจับคู่กับข้อมูล Ultraviolet จาก MAVEN จะช่วยคำนวณอัตราการคายก๊าซ หรือ Outgassing และโมเดลการสูญเสียสสารของดาวหาง อันเป็นกุญแจสำคัญในการอนุมานสภาพแวดล้อมตอนกำเนิดของวัตถุในระบบดาวอื่น การจับภาพครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงภาพสวย ๆ แต่เป็นหนึ่งในหลักฐานว่าระบบยานที่เรามีอยู่รอบดาวอังคารสามารถทำหน้าที่เป็นเครือข่ายสังเกตการณ์ข้ามระบบสุริยะได้

MAVEN ที่ถ่ายภาพอัลตราไวโอเลตเพื่ออ่านองค์ประกอบของหาง

MAVEN เป็นอีกหนึ่งยานสำรวจดาวอังคารที่สำคัญ ภาพนี้เป็นภาพ Ultraviolet แสดงการกระจายของอะตอมไฮโดรเจนรอบดาวหาง 3I/ATLAS โดยถ่ายด้วยเครื่องมือ Imaging Ultraviolet Spectrograph หรือ IUVS บนยาน MAVEN เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2025 ช่วงไม่กี่วันก่อนที่ดาวหางจะเฉียดดาวอังคารใกล้ที่สุด

ปกติ IUVS ถูกใช้ศึกษาองค์ประกอบและการหลุดรั่วของบรรยากาศดาวอังคาร แต่ครั้งนี้ถูกนำมาปรับใช้เป็นกล้องสำรวจวัตถุข้ามระบบสุริยะเพื่อวิเคราะห์การกระจายตัวของไฮโดรเจนใน Coma ซึ่งช่วยบอกอัตราการคายไอน้ำหรือ Vaporization อันเป็นตัวชี้สำคัญว่าดาวหางกำเนิดในสภาพแวดล้อมเย็นจัดแค่ไหน และมีองค์ประกอบเริ่มต้นแบบเดียวกับวัตถุในระบบสุริยะของเราหรือไม่

ภาพจาก Imaging Ultraviolet Spectrograph บนยาน MAVEN แสดงให้เห็นถึงไฮโดรเจนจากสามแหล่ง ในขณะที่มันถ่ายภาพ ที่มา – NASA/Goddard/LASP/CU Boulder

สิ่งที่น่าสนใจคือ IUVS ใช้โหมดสเปกโทรกราฟที่แยกแหล่งกำเนิดแสงตาม Doppler Shift ทำให้สามารถแยกแยะไฮโดรเจนจากสามแหล่งที่ทับซ้อนกันบนท้องฟ้า ได้แก่ ไฮโดรเจนจากตัวดาวหางเอง (จุดสลัวทางซ้าย), ไฮโดรเจนจากดาวอังคารที่สว่างกว่า, และไฮโดรเจนที่ไหลเป็นพื้นหลังอยู่ในระบบสุริยะ หรือ Interplanetary Hydrogen Cloud ซึ่งมักบดบังสัญญาณดาวหางในกล้องทั่วไป การที่สัญญาณของ 3I/ATLAS ปรากฏเป็นวงกลมขนาดเล็กไม่กระจายเป็นแผงยาว แปลว่าการคายก๊าซของมันกระจุกตัวและมีการกระจายแบบ Isotropic มากกว่าจะเกิดการยืดหางในแนวแรงลมสุริยะอย่างชัดเจนในช่วงเวลานั้น

ภาพจำลองยาน MAVEN ที่กำลังสำรวจดาวอังคาร ที่มา – NASA/JPL-Caltech/CU Boulder

ผลจาก MAVEN จึงไม่ได้เป็นเพียงการตรวจจับภาพ แต่เป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการประกอบภาพรวมว่า 3I/ATLAS มีเคมีของน้ำและไฮโดรเจนแบบไหนเมื่อเทียบกับดาวหาง “สายพันธุ์บ้านเรา” และอาจสะท้อนธรรมชาติของสภาพกำเนิดในระบบดาวที่มันจากมา

Perseverance rover ที่ถ่ายภาพจากผิวดาวอังคารมุมระดับพื้นผิว

ภาพนี้แสดงให้เห็น 3I/ATLAS เป็นเพียง “รอยสลัว” บนท้องฟ้าดาวอังคาร จากภาพที่ถ่ายด้วย Mastcam-Z บนยาน Perseverance เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2025 ขณะที่ดาวหางอยู่ห่างจากรถสำรวจประมาณ 30 ล้านกิโลเมตร การที่มันปรากฏเป็นจุดสว่างเล็ก ๆ ในพื้นหลังดาวแทนที่จะเป็นหางยาวชัดเจน สะท้อนข้อเท็จจริงว่ากล้อง Mastcam-Z ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อสังเกตการณ์วัตถุท้องฟ้าสว่างต่ำโดยตรง แต่มุ่งเก็บรายละเอียดภูมิประเทศและลักษณะธรณีวิทยาบนพื้นผิวดาวอังคาร อีกทั้งมุมมองจากพื้นผิวซึ่งมีความปั่นป่วนจากบรรยากาศดาวอังคารและแสงกระเจิงฝุ่นทำให้การถ่ายภาพวัตถุขนาดเล็กเช่นนี้ยิ่งท้าทายขึ้น อย่างไรก็ตาม มันคือหลักฐานเชิงภาพจาก “มุมมองของพื้นผิวดาวดวงอื่น” ซึ่งไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยในประวัติศาสตร์ดาราศาสตร์

ภาพจากกล้อง Mastcam-Z บนยาน Perseverance ถ่ายภาพ 3I/ATLAS จากพื้นผิวดาวอังคาร ที่มา – NASA/JPL-Caltech

สิ่งที่ทำให้ภาพนี้มีคุณค่าจริง ๆ ไม่ใช่รายละเอียดของดาวหางในภาพ แต่คือบริบทของการสังเกต เพราะ Perseverance เป็นแพลตฟอร์มวิทยาศาสตร์แบบ In-Situ Science Platform ไม่ใช่หอดูดาว การมีภาพจากมุมมองภาคพื้นผิวดาวอังคารช่วยยืนยันการตำแหน่งของดาวหางแบบ Independent Line-of-Sight จากจุดที่ไม่ใช่โลก ช่วยลดความไม่แน่นอนของการคำนวณวงโคจรเมื่อรวมเข้ากับข้อมูลจาก MRO, MAVEN และยานใกล้ดวงอาทิตย์

ยาน Perseverance บนพื้นผิวของดาวอังคาร ที่มา – NASA/JPL-Caltech

การได้ภาพจากพื้นผิวดาวอื่นแบบนี้จึงเหมือน “การมีผู้สังเกตการณ์อีกคนในระบบสุริยะ” ที่ช่วยตรึงตำแหน่งวัตถุในสามมิติ ซึ่งเป็นตัวอย่างของการใช้ยานสำรวจดาวเคราะห์เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างสังเกตการณ์วัตถุระดับดาราศาสตร์อย่างไม่ตั้งใจมาก่อน นี่จึงไม่ใช่แค่ภาพเบลอของดาวหาง แต่มันคือสัญญาณว่าเรากำลังเริ่มมีสายตาหลายคู่ในระบบสุริยะมองฟ้าเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง

ยานดูดวงอาทิตย์อย่าง STEREO, SOHO และ PUNCH ที่เก็บภาพขณะดาวหางเคลื่อนหลังดวงอาทิตย์ในมุมที่กล้องบนโลกมองไม่เห็น โดยภาพพวกนี้ช่วยให้นักดาราศาสตร์ทำความเข้าใจพฤติกรรมของมันผ่านการบันทึกการโคจรในช่วงเวลาต่าง ๆ

STEREO ที่มอบภาพจากมุมหลังดวงอาทิตย์ที่เรามองไม่เห็น

วิดีโอนี้แสดงดาวหาง 3I/ATLAS เป็นก้อนแสงพร่าอยู่กึ่งกลางเฟรม โดยเกิดจากการนำภาพหลายช่วงเวลาระหว่างวันที่ 11–25 กันยายน 2025 มา Stacking เพื่อเพิ่มสัญญาณคุณภาพเหนือฉากหลังที่มี Noise สูง ภาพทั้งหมดถ่ายด้วย Heliocentric Imager-1 หรือ HI1 บนยาน STEREO-A ซึ่งปกติใช้ติดตามสสารที่ถูกปล่อยออกจากดวงอาทิตย์ เช่น Solar Wind, Coronal Mass Ejection และโครงสร้างการไหลของ Corona

ภาพแสดง 3I/ATLAS จากยาน STEREO-A ที่มา – NASA/Lowell Observatory/Qicheng Zhang

การที่กล้องซึ่งออกแบบมาเพื่อศึกษาฟิสิกส์รอบดวงอาทิตย์สามารถจับภาพวัตถุจากนอกระบบสุริยะได้ จึงสะท้อนความสามารถของ Instrument ในการดึงสัญญาณวัตถุจางมาก ๆ จาก Background ที่เต็มไปด้วยแสงกระเจิง Scattered Light และสัญญาณจากพลาสมา ซึ่งโดยทั่วไปเป็นสภาพแวดล้อมที่ทำให้การถ่ายดาวหางด้วยกล้องประเภทนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้

ภาพจำลองยานแฝด STEREO ยานสำรวจดวงอาทิตย์ ที่มา – NASA/Johns Hopkins University Applied Physics Laboratory

ความสำคัญของข้อมูลนี้ไม่ได้อยู่แค่ “ถ่ายเห็น” แต่เพราะ HI1 ถ่ายจากตำแหน่งที่อยู่คนละมุมมองกับโลกและดาวอังคาร ทำให้ช่วย Constraint การคำนวณวงโคจรของ 3I/ATLAS ได้แม่นขึ้น โดยเฉพาะเมื่อวัตถุกำลังเคลื่อนผ่านมุมที่กล้องภาคพื้นดินมองไม่เห็นเนื่องจากอยู่หลังดวงอาทิตย์ การที่ดาวหางสว่างขึ้นกว่าที่คาดจนกล้องของ STEREO-A มองเห็น ยังเป็นข้อมูลสำคัญต่อการประเมินอัตราการ Outgassing ในช่วงใกล้ดวงอาทิตย์ ซึ่งช่วยบอกได้ว่าดาวหางก่อตัวขึ้นในสภาพแวดล้อมเย็นจัดประเภทไหนก่อนถูกดีดออกจากระบบต้นกำเนิด สุดท้าย การดึงสัญญาณออกมาด้วยเทคนิค Stacking ก็สะท้อนแนวคิดใหม่ที่ว่าแม้ยานจะไม่ได้ออกแบบมาสำหรับ ISO โดยตรง แต่เราสามารถใช้เครือข่ายยาน Heliophysics เพื่อสังเกตวัตถุจากนอกระบบได้เมื่อมีโอกาสเหมาะสม

SOHO กับความไวของเครื่องมือในการจับภาพ

ภาพนี้เป็นการสังเกต 3I/ATLAS ด้วยยาน SOHO หรือ Solar and Heliospheric Observatory ของ ESA/NASA ในช่วงวันที่ 15–16 ตุลาคม 2025 ซึ่งปรากฏเป็นเพียงแสงสว่างเล็ก ๆ ตรงกลางเฟรม

SOHO ถูกออกแบบมาตั้งแต่ปี 1995 เพื่อเฝ้าติดตามพฤติกรรมของดวงอาทิตย์และโครงสร้างของโคโรนา ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อถ่ายดาวหางจากนอกระบบสุริยะ แต่ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา SOHO กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการค้นพบดาวหางหลายพันดวง เนื่องจากเครื่องมือ Coronagraph ของมันสามารถบังแสงอาทิตย์และเผยให้เห็นวัตถุที่เคลื่อนผ่านบริเวณใกล้ดวงอาทิตย์ที่กล้องภาคพื้นดินมองไม่เห็น

ภาพจากยาน SOHO แสดง 3I/ATLAS ที่มา – Lowell Observatory/Qicheng Zhang

ภาพที่เห็นสลัวในกรณีนี้จึงสะท้อนข้อเท็จจริงว่า 3I/ATLAS ไม่ได้สว่างมากในช่วงที่ผ่านหลังดวงอาทิตย์ แต่ความไวของเครื่องมือก็ยังพอจับสัญญาณได้ แม้ภายใต้ฉากหลังที่เต็มไปด้วย Solar Scattering และพลาสมาฟลักซ์แรงสูง ความสำคัญของชุดข้อมูลจาก SOHO อยู่ที่ตำแหน่งการสังเกตจากพื้นที่ใกล้จุด Lagrange L1 ระหว่างโลก–ดวงอาทิตย์ ซึ่งมอบมุมมองที่ไม่สามารถได้จากกล้องภาคพื้นดิน โดยเฉพาะช่วงที่ดาวหางอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์จากมุมมองโลก

PUNCH แสดงการก่อตัวของหางและพฤติกรรมต่อดวงอาทิตย์

ภาพนี้แสดง 3I/ATLAS เป็นจุดสว่างบริเวณกลางเฟรม โดยสร้างจากการรวมภาพหลายช่วงเวลาระหว่างวันที่ 20 กันยายนถึง 3 ตุลาคม 2025 จากภารกิจ PUNCH หรือ Polarimeter to Unify the Corona and Heliosphere ของ NASA ซึ่งปกติออกแบบมาเพื่อสร้างภาพสามมิติของพลาสมาและโครงสร้างในบริเวณลมสุริยะรอบดวงอาทิตย์ ไม่ใช่เพื่อถ่ายดาวหางโดยตรง

ภาพจากกล้องบนยาน PUNCH แสดง 3I/ATLAS นิ่งอยู่กลางภาพ และดาวฉากหลังเคลื่อนที่ ที่มา – NASA/Southwest Research Institute

ช่วงเวลาที่เก็บข้อมูล ดาวหางอยู่ห่างจากโลกประมาณ 370–380 ล้านกิโลเมตร การที่กล้องสามารถเห็นหางสั้น ๆ พุ่งออกทางขวาแม้ความสว่างต่ำ จึงสะท้อนการ Outgassing ในระดับที่ไม่รุนแรงนัก และเป็นสัญญาณว่า 3I/ATLAS อาจมีโครงสร้าง Volatile ที่แตกต่างจากดาวหางบ้านเรา ซึ่งมักสร้างหางยาวชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ พื้นหลังที่เห็นเป็นเส้นยาวคือดาวฤกษ์ที่กลายเป็น Streak เนื่องจาก PUNCH ต้องใช้การติดตามวัตถุแบบ Fixed-Target ทำให้ฉากหลังเคลื่อนแทน

ยาน PUNCH ยานอวกาศขนาดเล็กที่ทำหน้าที่ทำแผนที่ลมสุริยะของ NASA ที่มา – NASA/Goddard Spaceflight Center

ความสำคัญของข้อมูลจาก PUNCH อยู่ตรงที่มันช่วยให้เราเห็นการก่อตัวของหางและการตอบสนองของฝุ่นต่อสภาพแวดล้อมสุริยะจากมุมมองที่ติดตามพลาสมาเป็นหลัก เสมือนว่าเรากำลังมองดาวหางไม่ใช่ในฐานะวัตถุเชิงดาราศาสตร์ แต่เป็น “โครงสร้างพลวัตของอนุภาคในสนามลมสุริยะ” ข้อมูลนี้เมื่อประกอบกับข้อมูลจาก SOHO และ STEREO ช่วยให้สร้าง Timeline ต่อเนื่องว่าการคายก๊าซและการดึงฝุ่นของดาวหางมีลักษณะอย่างไรในช่วงที่ผ่านใกล้ดวงอาทิตย์ และช่วยจำกัดโมเดลต้นกำเนิดของวัตถุว่าเกิดในสภาพแวดล้อมเย็นจัดแบบไหนในระบบดาวอื่น

การที่ PUNCH สามารถตรวจจับได้จึงไม่ใช่แค่ภาพเพื่อการยืนยันวัตถุ แต่เป็นสัญญาณว่าเครื่องมือ Heliophysics เริ่มกลายเป็นกล้องศึกษาวัตถุนอกระบบสุริยะแบบไม่ตั้งใจ ซึ่งเปิดประตูให้ ISO อาจกลายเป็นหมวดวิทยาศาสตร์สำคัญในภารกิจความปลอดภัยทางอวกาศและฟิสิกส์สุริยะในอนาคต

สองยานสำรวจดาวเคราะห์น้อย Psyche และ Lucy

นอกจากนี้ Psyche และ Lucy ซึ่งกำลังเดินทางไปยังเป้าหมายดาวเคราะห์น้อยของตนเองก็สามารถถ่ายภาพจากระยะหลายสิบถึงหลายร้อยล้านไมล์เพื่อช่วย Refine วงโคจร

ยาน Psyche ซึ่งกำลังเดินทางไปสำรวจดาวเคราะห์น้อยโลหะในแถบดาวเคราะห์น้อย ได้หันกล้องมาจับภาพดาวหางข้ามระบบสุริยะ 3I/ATLAS ระหว่างวันที่ 8–9 กันยายน 2025 จากระยะประมาณ 53 ล้านกิโลเมตร โดยใช้ Multispectral Imager ที่ปกติออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์แร่บนพื้นผิววัตถุในระบบสุริยะชั้นใน จุดน่าสนใจคือ Psyche อยู่ในตำแหน่ง “ระหว่างดาวเคราะห์” ทำให้มันเป็นแพลตฟอร์มสังเกตการณ์ที่ไม่ได้อิงโลกหรือดาวอังคาร การได้ข้อมูลจากมุมนี้ช่วยเสริมข้อมูลตำแหน่งและความเคลื่อนที่ของ 3I/ATLAS แบบ Independent Geometry ซึ่งมีค่ามากสำหรับการ Refine วิถีโคจร โดยเฉพาะเมื่อรวมกับข้อมูลจาก STEREO, SOHO, MAVEN และ MRO ที่อยู่กระจายตัวในตำแหน่งต่าง ๆ ของระบบสุริยะ

ภาพแสดง

ภาพที่เห็นแม้จะไม่ใช่รายละเอียดระดับคมชัด แต่สามารถจับลักษณะของ Coma สลัวรอบนิวเคลียสได้ ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงปริมาณที่สำคัญในการประเมินอัตรา Outgassing Rate และปริมาณ Volatile ที่ดาวหางพกติดมาจากระบบต้นกำเนิด ความสำคัญตรงนี้อยู่ที่ Psyche ไม่ใช่กล้องเชิงดาราศาสตร์ แต่เป็นยานสำรวจธรณีวิทยาเชิงอวกาศ การนำเครื่องมือนอกภารกิจหลักมาวัด ISO จึงสะท้อนแนวโน้มใหม่ของวิทยาศาสตร์อวกาศที่ยานในเส้นทางระหว่างดาวเคราะห์อาจกลายเป็น “Observing Stations” แบบเคลื่อนที่ ซึ่งพร้อมจะเก็บข้อมูลทางฟิสิกส์และเคมีเมื่อวัตถุพิเศษแบบนี้ผ่านเข้ามา โดยไม่ต้องรอให้เราส่งยานแบบ Mission-Specific ไปดักถ่ายเหมือนในอดีต

ภาพนี้ถ่ายโดยกล้อง LLORRI หรือ Lucy Long Range Reconnaissance Imager แบบ Panchromatic บนยาน Lucy เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2025 ในช่วงที่ดาวหาง 3I/ATLAS กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ระยะใกล้ดาวอังคาร โดยขณะนั้นยานอยู่ห่างจากดาวหางประมาณ 240 ล้านไมล์ กล้อง LLORRI ถูกออกแบบมาเพื่อถ่ายวัตถุที่อยู่ไกลมากในสภาพแสงต่ำ โดยเฉพาะเป้าหมายหลักของภารกิจอย่างกลุ่มดาวเคราะห์น้อยโทรจันของดาวพฤหัสบดี การที่กล้องสามารถบันทึก Coma รอบนิวเคลียสและหางสั้น ๆ ที่พุ่งไปทางขวาแม้อยู่ในระยะไกลระดับนี้ แสดงให้เห็นความไวเชิงแสงและความสามารถในการแยกสัญญาณวัตถุเคลื่อนที่จากฉากหลังที่เต็มไปด้วยดาวแบบจางมาก ๆ ซึ่งต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของเทคนิค Stacking และการกำหนดการชี้เป้ากล้องอย่างแม่นยำ

ทั้งหมดนี้ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นแค่การถ่ายภาพดาวหางโดยยานหลายลำ แต่คือการทดสอบความสามารถของระบบนิเวศอวกาศที่ใช้งานอยู่ทั่วทั้งระบบสุริยะในการ Pivot ความสนใจไปยังเหตุการณ์เดียวพร้อมกัน ราวกับว่าเรามี “เครือข่ายกล้องโทรทรรศน์แบบกระจายตัว” ที่ตั้งอยู่บนดาวอังคาร วงโคจรโลก ใกล้ดวงอาทิตย์ และระหว่างดาวเคราะห์ชั้นนอก แล้วทุกลำหันมามองวัตถุเดียวกันในช่วงเวลาเดียวกันโดยไม่ต้องรอภารกิจเฉพาะกิจมาสำรวจ สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นสัญญาณของยุคใหม่ เราเริ่มสังเกตจักรวาลแบบ Distributed System แทนที่จะเป็น Mission เดี่ยว ๆ ที่ทำงานลำพัง

และหากมองเชิงปรัชญา 3I/ATLAS อาจไม่สำคัญเพียงเพราะมันมาจาก “บ้านอื่น” แต่เพราะการมาถึงของมันทำให้บ้านของเราแสดงศักยภาพใหม่ของการร่วมมือกันเอง วัตถุเพียงชิ้นเดียวจากระบบที่เรายังไม่รู้จัก ได้บังคับให้ทั้งระบบสุริยะของเราทำตัวเหมือนเป็น Observatory เดียวกันที่ประกอบด้วยหลายจุดสังเกตการณ์ หาก ʻOumuamua คือสิ่งที่ทำให้เราตั้งคำถามว่า “เราพลาดอะไรไป” 3I/ATLAS อาจเป็นจุดที่เราตอบตัวเองว่า “คราวนี้เราเรียนรู้ที่จะมองร่วมกันแล้ว” ในท้ายที่สุด ดาวหางลำนี้อาจไม่ได้นำคำตอบมาให้เรา แต่ทำให้ระบบสุริยะเริ่มตั้งคำถามอย่างเป็นระบบมากขึ้น และนั่นอาจเป็นก้าวสำคัญกว่าเนื้อวัตถุที่มันถือมาด้วยเสียอีก

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.