ส่องธุรกิจอินเทอร์เน็ตดาวเทียมของ Amazon หลังเริ่มต้นส่องดาวเทียมชุดแรก

อัพเดท ภารกิจได้ถูกเลื่อนมาปล่อยในช่วงเช้าของวันที่ 29 เมษายน 2025 เวลาประมาณหกโมงเช้าตามเวลาประเทศไทย หลังจากที่มีการเลื่อนจากกำหนดการณ์เดิมมานานกว่าสองสัปดาห์ จรวด Atlas V สามารถนำดาวเทียม KuiperSat ทั้ง 27 ดวงขึ้นสู่วงโคจรได้สำเร็จ


เช้าของวันที่ 10 เมษายน 2025 ตามเวลาในประเทศไทย จรวด Atlas V จากบริษัท United Launch Alliance มีกำหนดทะยานขึ้นฟ้าจากฐาน Space Launch Complex 41 ณ แหลมคะเนอเวอรัล สหรัฐอเมริกา พร้อมบรรทุกดาวเทียม KuiperSat จำนวน 27 ดวงขึ้นสู่วงโคจร ดาวเทียมชุดนี้ถือเป็นก้าวแรกของ Amazon ในการสร้างเครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำภายใต้ชื่อ Project Kuiper หนึ่งในแผนธุรกิจยักษ์ใหญ่ของบริษัทที่ Jeff Bezos ก่อตั้งขึ้น และเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Starlink ของ SpaceX

การปล่อยครั่งนี้จากรายงาน Here’s what to expect from Project Kuiper’s first full-scale satellite launch ยังนับว่าเป็นการปล่อยที่มีน้ำหนักมากที่สุดของจรวด Atlas V ด้วย และ Atlas V จำเป็นต้องใช้ Configuration ที่หนักที่สุด ใช้ Solid Rocket Booster ถึง 5 ตัวในการช่วยพาดาวเทียมทั้ง 27 ดวงเดินทางสู่วงโคจร

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2019 Amazon ได้ประกาศแผนสร้างกลุ่มดาวเทียมให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านบริษัทลูกชื่อ Kuiper Systems และได้รับอนุมัติจาก FCC ให้สามารถปล่อยดาวเทียมได้จำนวน 3,236 ดวง ภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนด ในปี 2023 Amazon ได้เริ่มทดสอบระบบจริงด้วยการส่งดาวเทียมต้นแบบจำนวน 2 ดวงขึ้นสู่วงโคจร และประสบความสำเร็จในการทดลองติดต่อสื่อสารกับสถานีภาคพื้น ทำความเร็วได้ระดับ 100 Gbps รายงานจากข่าว Amazon’s Project Kuiper completes successful tests of optical mesh network in low Earth orbit

จรวด Atlas V บนฐานปล่อย SLC-41 ใน Cape Canaveral Space Force Station ที่มา – ULA

ดาวเทียมทดสอบสองดวงนั้นมีชื่อว่า KuiperSat-1 และ KuiperSat-2 โดยถูกใช้เพื่อทดสอบทั้งการเชื่อมโยงสัญญาณกับสถานีภาคพื้นหลายจุด ระบบดาวน์ลิงก์และอัปโหลดข้อมูล รวมถึงการทดสอบประสิทธิภาพของ Phased-Array Antenna ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีดาวเทียมวงโคจรต่ำแบบใหม่

การปล่อยดาวเทียม 27 ดวงล่าสุดนี้จึงถือเป็นสัญญาณว่า Project Kuiper กำลังเข้าสู่ขั้นตอนการผลิตและวางโครงข่ายอย่างจริงจัง โดย Amazon ได้จองเที่ยวบินปล่อยดาวเทียมไว้มากกว่า 90 ครั้งล่วงหน้า ทั้งจากบริษัท ULA, Arianespace และ Blue Origin ซึ่งเป็นบริษัทของ Jeff Bezos เองที่เพิ่งประสบความสำเร็จในการปล่อย New Glenn ไปในช่วงต้นปี 2025 นี้เอง Blue Origin ประสบความสำเร็จใน New Glenn เที่ยวบินแรก


Kuiper ใช้เทคโนโลยีอะไร เจาะสเปกดาวเทียม

ดาวเทียม KuiperSat ออกแบบมาให้ทำงานในวงโคจร Low Earth Orbit ที่ระดับความสูงประมาณ 590–630 กิโลเมตร โดยอิงแนวคิด Modular Satellite ที่สามารถผลิตจำนวนมากได้ในโรงงานภายในของ Amazon เอง ณ เมืองเคิร์กแลนด์ รัฐวอชิงตัน อ้างอิงจากบทความ Get an inside look at how Project Kuiper’s new satellite facility is ramping up production before its first launch

บรรยากาศในโรงงานของ Amazon ในวอชิงตัน ซึ่งเป็นสายการผลิตของ KuiperSat ที่มา – Amazon

โครงสร้างของดาวเทียม Kuiper ใช้ระบบบัสขนาดเล็กที่น้ำหนักไม่เกิน 700 กิโลกรัม ประกอบด้วยระบบพลังงานผ่านแผงโซลาร์เซลล์ ระบบควบคุมทิศทางแบบ Reaction Wheel และระบบขับดันแบบไฟฟ้า (Electric Propulsion) สำหรับปรับตำแหน่งในวงโคจร เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับที่ Starlink ใช้ ที่สำคัญ Amazon นั้นน่าจะหวงดีไซน์ของ Kuiper พอสมควร เนื่องจากที่ผ่านมาเราแทบไม่เคยเห็นภาพของดาวเทียมแบบเต็มดวงจริง ๆ เลย แม้กระทั่งภาพจากการทดสอบในปี 2023 เราก็เห็นแค่บางส่วน และตัวดาวเทียมถูกเบลอเอาไว้

ระบบสื่อสารของ Kuiper ใช้ Phased-Array Antenna ที่รองรับการส่งสัญญาณ Ka-band โดยสามารถปรับทิศทางลำสัญญาณได้แบบ Dynamic เพื่อรองรับผู้ใช้งานหลายตำแหน่งพร้อมกัน โดย Amazon พัฒนา Terminal ภาคพื้นขนาดเล็กหลายรุ่น ได้แก่ รุ่นมาตรฐานสำหรับบ้านขนาดประมาณจานดาวเทียมทั่วไป, รุ่นพกพาสำหรับผู้ใช้งานในภาคสนาม และรุ่นองค์กรสำหรับความเร็วสูงพิเศษ

จานรับสัญญาณของ Kuiper สำหรับติดบนหลังคาบ้านของคนธรรมดาทั่วไป ที่มา – Amazon

ในขณะที่การเชื่อมโยงระหว่างดาวเทียม (Inter-Satellite Link) นั้น Amazon ก็ใช้ระบบ Laser ระหว่างดาวเทียม ทำให้พอภาพรวมออกมาแล้ว Kuiper นั้น แทบจะเป็นเทคโนโลยีแบบเดียวกับที่ SpaceX ใช้สำหรับ Starlink เลย และแน่นอนว่าสิ่งนี้ทำให้ Starlink กลายเป็นคู่แข่งทางตรง


วิเคราะห์ตลาดของ Amazon Kuiper

Starlink คือคู่แข่งเบอร์หนึ่งที่ Project Kuiper ต้องรับมือ โดย Starlink ปัจจุบันมีดาวเทียมในวงโคจรกว่า 8,000 ดวง และให้บริการในหลายประเทศ มีความได้เปรียบชัดเจนในด้านปริมาณ การส่งจรวดในต้นทุนต่ำด้วย Falcon 9 และฐานผู้ใช้งานระดับหลายล้านราย ณ ตอนนี้ รวมไปถึงมีลูกค้าในระดับทหาร ที่ใช้ดาวเทียมสื่อสารบนแพลตฟอร์มของ Starlink ในเวอร์ชั่นที่เรียกว่า Starshield

ภาพจากการปล่อยดาวเทียม Starlink ของ SpaceX ที่มา – SpaceX

ในขณะที่อีกหนึ่งผู้ให้บริการดาวเทียมอย่าง OneWeb ก็ยังอยู่ในตลาด แต่ในสถานะที่ ไม่อยากเรียกว่าคลาน แต่ก็คงไม่ถึงขั้นวิ่ง การฟื้นตัวจากการล้มละลายในปี 2020 ด้วยเงินจากรัฐบาลอังกฤษและ Bharti Global ทำให้ OneWeb รอด แต่ก็ยังไม่มีทิศทางชัดเจนว่าจะขยายตลาดอย่างไรในเชิงเชิงพาณิชย์ OneWeb ไม่มีบริการสำหรับลูกค้ารายย่อย B2C และยังพึ่งพาลูกค้า B2B อยู่ และการพึ่งพาระบบภาคพื้นเยอะ ทำให้ยากจะแข่งกับยักษ์ใหญ่อื่น จะให้พูดแรง ๆ ก็คือ OneWeb เหมือนโครงการที่กำลังรอ Exit มากกว่าจะรอ Disrupt โลก (ฮา)

เรามองจุดสำคัญตรงที่ Amazon นั้นเข้าตลาดนี้ช้ากว่าคู่แข่งอย่าง SpaceX ราว 5 ปีเต็ม ซึ่งในแง่ธุรกิจถือเป็นเวลาที่นานพอจะเสียโอกาสในการสร้างตลาดเบื้องต้น และยิ่งทำให้การแย่งชิงความเชื่อมั่นจากลูกค้ารายใหญ่ เช่น รัฐบาลหรือภาคอุตสาหกรรม เป็นเรื่องที่ท้าทายขึ้นมาก แต่ความได้เปรียบของ Amazon คือ “ไม่ต้องรีบกำไร” และ “ไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองต่อ VC” เพราะมี Amazon Web Services หนุนหลัง และ Jeff Bezos ก็ยังมอง Kuiper เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถหลอมรวมเข้ากับบริการอื่นของ Amazon ได้ในอนาคต เช่น Edge Computing, Logistics, Cloud Robotics หรือแม้แต่บริการสตรีมมิ่ง

บรรยากาศใน Data Center ของ AWS ของ Amazon ที่ตอนนี้กำลังขับเคลื่อนโลกอยู่ ที่มา – Amazon

นอกจากนี้การที่ Amazon ควบคุมห่วงโซ่ผลิตเองเกือบทั้งหมด ตั้งแต่การผลิตดาวเทียม โรงงาน ไปจนถึงการออกแบบแอปและระบบภาคพื้น ถือเป็นความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ที่ SpaceX มีเพียงบางส่วน (เช่นต้องซื้อชิปจากผู้ผลิตภายนอก และไม่ได้มีธุรกิจ B2C มากเท่ากับ Amazon)


แผนปล่อยดาวเทียม และเส้นตายที่ต้องจับตา

ความน่าตื่นเต้นที่เราต้องจับตามอง ณ​ ตอนนี้คือ อ้างอิงจากรายงาน Amazon’s Kuiper constellation gets FCC approval ของ Space News นั้น Amazon ต้องปล่อยดาวเทียมให้ได้ 1,618 ดวงภายในเดือนกรกฎาคม 2026 ถือเป็น 50% ของทั้งหมด มิฉะนั้นจะเสี่ยงสูญเสียสิทธิ์การใช้งานคลื่นความถี่ตามเงื่อนไขของ FCC และต้องปล่อยครบทั้งหมด 3,236 ดวงภายในปี 2029

การวางแผนของ Amazon คือทยอยส่งดาวเทียมชุดใหญ่หลายครั้งในปี 2025 และ 2026 โดยใช้บริการของ ULA ใช้จรวด Vulcan Centaur และ Atlas V บริษัท Arianespace ใช้จรวด Ariane 6 และ Blue Origin ที่ใช้จรวด New Glenn เที่ยวบินที่เพิ่งเกิดขึ้นในเดือนเมษายนนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น และยังห่างไกลจากจำนวนขั้นต่ำที่จะให้บริการจริงได้ แม้ Amazon จะมีทุนหนา แต่ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการบริหารจัดการระบบภาคพื้น การดูแลกลุ่มดาวเทียมในเชิงวิศวกรรม และการสร้างฐานลูกค้าในตลาดที่ Starlink กินไปแล้วหลายส่วน

เจ้าหน้าที่กำลังติดสติกเกอร์บน Payload Fairing ของจรวด Atlas V ที่ใช้ปล่อย ที่มา – Amazon

หากมองในมุมตลาดหุ้น Amazon ไม่ได้ระบุ Kuiper เป็นแหล่งรายได้สำคัญในช่วงสั้น แต่ถูกมองว่าเป็น “การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติ” คล้ายกับ AWS ในช่วงแรก ๆ ที่ไม่มีใครคิดว่าจะกลายเป็นตัวทำกำไรหลักของบริษัท

แม้ว่า Project Kuiper จะเริ่มต้นช้ากว่า Starlink หลายปี แต่ก็ไม่ใช่โปรเจกต์ที่ควรมองข้าม Amazon เป็นองค์กรที่มีทุนมหาศาล ความสามารถด้านวิศวกรรม และ Ecosystem ทางธุรกิจที่พร้อมใช้งานทันที หากยังไม่มีกำไรก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป้าหมายของ Kuiper คือการเป็น “โครงสร้างพื้นฐานระยะยาว” ของบริษัทในโลกอนาคต

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.