JAXA เลือก 2 การทดลองของเด็กไทย ทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติต้นปี 2026

Asian Try Zero-G 2025 ประกาศผลการคัดเลือกการทดลองจากเยาวชนที่จะขึ้นไปทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติสำหรับรอบการทดลองใหม่แล้ว หลังจากที่มีการเปิดรับการทดลองจากเยาวชนในกลุ่มชาติพันธมิตรขององค์การอวกาศญี่ปุ่นหรือ JAXA ได้แก่ประเทศในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และออสเตรเลีย รวมมากกว่า 500 การทดลอง โดยการทดลองทั้งหมดถูกคัดเลือกเหลือเพียงแค่ 11 การทดลองเท่านั้น และ 2 การทดลองเป็นของเยาวชนไทย

โครงการ Asian Try Zero-G 2025 เป็นโครงการสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากโมดูล Japanese Experiment Module หรือ Kibo บนสถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งปัจจุบันถูกใช้ในการทำการทดลองต่าง ๆ ในสภาวะไร้น้ำหนัก ปกติแล้วการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาตินั้นแม้จะมีต้นทุนถูกลงกว่าในอดีตมากแต่ก็ยังถือว่าสูงมาก ๆ อยู่

เนื่องจาก JAXA ต้องการให้เยาวชน สามารถเข้าถึงและเรียนรู้กระบวนการทำงานในลักษณะดังกล่าวจึงจัดโครงการ Asian Try Zero-G 2025 เพื่อให้เยาวชนสามารถส่งการทดลอง “อย่างง่าย” ที่ไม่ซับซ้อน ขึ้นไปทดลองได้ โดยมีนักบินอวกาศญี่ปุ่นเป็นผู้ทำการทดลอง และในไทยมี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (NSTDA) เป็นผู้ดูแลกิจกรรมภายในประเทศ

สถานีอวกาศนานาชาติ ห้องทดลองนอกโลกที่ใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ ที่มา – NASA

ที่ผ่านมา เราเคยได้ตามติดโครงการดังกล่าวโดยเฉพาะในบทความ ตามเด็กไทยไปทำการทดลองกับนักบินอวกาศ ในโครงการ Asian Try Zero-G ที่ JAXA ซึ่งในปี 2023 นั้นมีเยาวชนไทย 3 กลุ่มจำนวน 7 คนเดินทางไปดูการทดลองที่ประเทศญี่ปุ่นถึงห้อง Mission Control Room ของสถานีอวกาศนานาชาติฝั่งญี่ปุ่นที่ Tsukuba Space Center ของ JAXA

ในปีนี้เยาวชนไทย ได้ให้ความสนใจส่งการทดลองมากกว่า 232 การทดลอง รวมเป็นเยาวชนมากกว่า 464 คน ซึ่งการทดลองเหล่านี้ถูกคัดเลือกอย่างละเอียด และสุดท้ายเยาวชนไทย 2 ทีมได้แก่ Studying the Behavior of Simple Harmonic Motion in the Spring and Rope in Microgravity Conditions การศึกษาการสั่นแบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายของสปริงและเชือกในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ และ Dynamics of Liquid Bridge in Microgravity การศึกษาพฤติกรรมของสะพานของเหลวภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ

นักบินอวกาศ Kimiya Yui ลูกเรือ Expedition 73ที่จะทำการทดลองในโครงการ Asian Try Zero-G รอบนี้ ที่มา – NASA/Josh Valcarcel 

ซึ่งการทดลองเหล่านี้จะถูกนำไปทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติในปี 2026 โดยนักบินอวกาศญี่ปุ่น Kimiya Yui ลูกเรือ Expedition 73/74 ที่จะเดินทางสู่อวกาศในภารกิจ Crew-11 ของ SpaceX ในเดือนกรกฎาคม 2025 และอุปกรณ์การทดลองต่าง ๆ จะถูกส่งขึ้นสู่อวกาศในภารกิจ Commercial Resupply Service ตามรอบการเติมเสบียงของสถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งทั้งหมดนี้ญี่ปุ่นเป็นผู้ออกค่ายใช้จ่ายการทดลองให้ทั้งหมด รวมมูลค่าจริง ๆ ของโครงการแล้วน่าจะอยู่ที่หลักหลายร้อยล้านบาท ถือว่าโชคดีมาก ๆ ที่เราไม่ต้องจ่ายเงินก้อนนี้เอง


กระบวนการคัดเลือกการทดลอง

กระบวนการคัดเลือกในปีนี้แบ่งออกเป็นสองขั้นตอน คือการคัดเลือกระดับประเทศ (First selection) และการคัดเลือกรอบสุดท้าย (Final selection) โดยมีเกณฑ์ร่วมที่ใช้ประเมินในทุกประเทศ เช่น ความใหม่และความสำคัญทางวิทยาศาสตร์ ความปลอดภัย ความเป็นไปได้ และความง่ายในการดำเนินการในสภาวะไร้น้ำหนัก

การคัดเลือกการทดลองจากฝั่งประเทศไทย ที่มา – NSTDA

ในประเทศสิงคโปร์ องค์กรท้องถิ่นอย่าง Space Faculty ทำหน้าที่จัดการคัดเลือกภายในประเทศ และเลือก 3 หัวข้อทดลองที่ดีที่สุด ส่วนในไต้หวัน หน่วยงานอวกาศแห่งชาติ TASA จัดการแข่งขันนำเสนอผลงานในรูปแบบ Public Pitch เพื่อคัดเลือกทีมผู้แทนประเทศ แต่หากพูดถึงประเทศที่มีความเคลื่อนไหวคึกคักที่สุดหนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของประเทศไทยของเรา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติเป็นผู้ดูแลกิจกรรม และมีคณะกรรมการจากหลากหลายสาขาวิชา เช่น นักวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ (BIOTEC), ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC), และศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) ร่วมประเมิน

นักบินอวกาศ Satoshi Furukawa ขณะกำลังพูดคุยถึงความเป็นไปได้ของการทดลอง ที่มา – JAXA

กระบวนการคัดเลือกรอบสุดท้ายที่จัดร่วมกันในระดับภูมิภาค มีการประชุมระหว่างประเทศผู้เข้าร่วมทั้งหมด โดยมีคำแนะนำด้านความเป็นไปได้เชิงเทคนิคจากนักบินอวกาศ Satoshi Furukawa ซึ่งเป็นผู้ที่เคยทำหน้าที่ทดลอง Asian Try Zero-G 2023 ที่เราพาไปชมในช่วงต้นปี 2024 มาให้ความเห็นประกอบการตัดสินใจ และสุดท้ายการทดลองทั้ง 11 การทดลองก็ได้ถูกประกาศใน The experiment themes for Asian Try Zero-G 2025 have been selected


ศึกษาการสั่นแบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายของสปริงและเชือกในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ

หนึ่งในสองการทดลองจากเด็กไทยที่ผ่านการคัดเลือกในปีนี้ มีชื่อว่า “Studying the Behavior of Simple Harmonic Motion in the Spring and Rope in Microgravity Conditions” หรือการศึกษาพฤติกรรมการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายของมวลที่ผูกติดกับสปริงและเส้นเชือก ในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ เสนอโดย ธนกฤต โพธิปักขิย์ (เจ๋ง) ยศพนธ์ สุขสว่าง (นะโม) และกฤติน เกตานนท์ (ซีซ่าร์) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนดาราสมุทร ศรีราชา

เยาวชนไทยจากโรงเรียน โรงเรียนดาราสมุทร ศรีราชา ผู้เสนอการทดลอง ที่มา – NSTDA

แม้ชื่อจะดูซับซ้อน แต่แนวคิดของการทดลองนี้คือการตั้งคำถามที่เรียบง่ายและฉลาดมาก ถ้าเราแขวนมวลไว้กับสปริงให้มันสั่น แล้วผูกเชือกเข้าไปอีก มันจะสร้างรูปคลื่นแบบไหน? แล้วถ้าไม่มีแรงโน้มถ่วงมาแทรกแซง รูปคลื่นเหล่านั้นจะเปลี่ยนไปอย่างไร?

บนโลก การทดลองลักษณะนี้เคยทำกันในห้องเรียนฟิสิกส์มานานแล้ว การเคลื่อนที่แบบ Simple Harmonic Motion หรือ SHM คือพื้นฐานสำคัญของการเข้าใจการสั่นสะเทือนและคลื่น ตั้งแต่เสียงในเครื่องดนตรี ไปจนถึงคลื่นแผ่นดินไหว

อย่างไรก็ตาม การทดลองลักษณะนี้บนโลก มักถูกรบกวนโดย “น้ำหนักของเชือกและแรงโน้มถ่วง” ซึ่งทำให้ผลลัพธ์เบี้ยว ไม่บริสุทธิ์ และวิเคราะห์ได้ยาก เด็กไทยกลุ่มนี้จึงเสนอว่า ถ้านำมวล สปริง และเชือกชนิดต่าง ๆ ขึ้นไปทดลองในอวกาศ ซึ่งแรงโน้มถ่วงแทบไม่มี ผลลัพธ์จะต่างไปจากที่เราคาดไว้แค่ไหน

Studying the Behavior of Simple Harmonic Motion in the Spring and Rope in Microgravity Conditions ที่มา – NSTDA

การทดลองจะใช้เชือก 3 ชนิดติดกับมวลแบบตั้งฉาก แล้วปล่อยให้มวลสั่นอย่างอิสระ โดยมีนักบินอวกาศเป็นผู้สังเกต บันทึก และถ่ายวิดีโอการเคลื่อนไหวของเชือกนั้นบนสถานีอวกาศนานาชาติ

นอกจากจะช่วยให้เราเข้าใจลักษณะของคลื่นในสภาพไร้น้ำหนักได้ดีขึ้นแล้ว การทดลองนี้ยังเปิดทางให้เราออกแบบ “วัสดุที่ตอบสนองต่อแรงสั่นสะเทือนได้อย่างแม่นยำ” ในอนาคต เช่น โครงสร้างในยานอวกาศ หรือระบบกันสะเทือนในอุปกรณ์ที่ต้องทำงานในอวกาศ


การศึกษาพฤติกรรมของสะพานของเหลวในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ

อีกหนึ่งการทดลองที่ผ่านการคัดเลือกจากประเทศไทยในโครงการ Asian Try Zero-G 2025 มีชื่อว่า “Dynamics of Liquid Bridge in Microgravity” หรือการศึกษาพฤติกรรมของสะพานของเหลวภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ การทดลองที่สองเสนอโดย พิพัฒน์พล สิริโพธิกุล (พี) ชนกันต์ เฉยสอาด (นภ) และณัฐดนัย​ พึ่ง​แสงจันทร์​ (โพธิ์) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว

นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว ที่มา – NSTDA

ภาพที่ใช้ในการทดลองอาจดูเรียบง่าย หยดน้ำเล็ก ๆ หนึ่งหยด ถูกวางบนวัตถุหนึ่งชิ้น แล้วใช้วัตถุอีกชิ้นแตะที่หยดน้ำนั้นก่อนจะค่อย ๆ ดึงขึ้น ทำให้เกิดเป็น “สะพานน้ำ” เชื่อมระหว่างวัตถุสองชิ้น แต่เบื้องหลังภาพนั้นคือคำถามทางวิทยาศาสตร์ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับแรงพื้นฐานของธรรมชาติ

ในสถานการณ์ปกติบนโลก หยดน้ำที่ถูกยืดออกมานั้นจะถูกควบคุมโดยแรงสามอย่างหลัก ๆ ได้แก่ แรงโน้มถ่วง ที่พยายามดึงหยดน้ำลง แรงตึงผิว ที่พยายามรักษารูปร่างของหยดน้ำให้กลม และ แรงแคพิลลารี (Capillary Force) ที่เกิดจากการยึดเหนี่ยวระหว่างน้ำกับพื้นผิวของวัตถุ

ถ้าวัตถุทั้งสองฝั่งเป็นวัสดุเหมือนกัน หยดน้ำจะมีรูปร่างและมุมสัมผัสที่ค่อนข้างสมดุล แต่ถ้าวัสดุต่างกัน — เช่น ฝั่งหนึ่งเป็นโลหะ อีกฝั่งเป็นพลาสติก น้ำจะยืดไปตามทิศที่มัน “ชอบ” มากกว่า การเปลี่ยนแปลงรูปทรงนี้คือสิ่งที่ทีมเยาวชนไทยต้องการศึกษา คำถามสำคัญคือ ถ้านำแรงโน้มถ่วงออกจากสมการ เหลือไว้เพียงแรงตึงผิวกับแรงแคพิลลารี รูปร่างของสะพานของเหลวจะเปลี่ยนไปอย่างไร

แผนภาพอธิบายการทดลอง ที่สุดท้ายจะถูกนำไปทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ ที่มา – NSTDA

ในสภาพไร้น้ำหนัก หยดน้ำจะไม่แบนหรือไหลลงแบบที่เราเห็นบนโลก มันจะลอยตัวได้อิสระ การศึกษาสะพานของเหลวในสภาพนี้จะทำให้เราเข้าใจ “สมดุลของแรง” ที่แท้จริงของของเหลวในอวกาศ และอาจนำไปสู่การออกแบบระบบของเหลวในสถานีอวกาศหรือยานอวกาศในอนาคต เช่น ระบบส่งเชื้อเพลิง การควบคุมของเหลวในห้องปฏิบัติการ หรือแม้กระทั่งการผลิตวัสดุใหม่ในสภาพแวดล้อมไร้น้ำหนัก

ทดลองกับหยดน้ำเพียงหยดเดียว แต่แอบซ่อนบทเรียนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งคำถามถึงพฤติกรรมของธรรมชาติเมื่อกฎพื้นฐานบางอย่างถูกเปลี่ยน นี่คือพลังของวิทยาศาสตร์ และความกล้าคิดของเยาวชนไทย


โอกาสของเด็กไทยที่จะทำการทดลองระดับโลก

เยาวชนเจ้าของการทดลองจะมีโอกาสสื่อสารกับนักบินอวกาศ และรับชมการถ่ายทอดสดการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติจาก Tsukuba Space Center ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงต้นปี 2026 แม้การส่งข้อเสนอการทดลองไปสู่การคัดเลือกระดับนานาชาติจะเป็นความท้าทาย แต่สิ่งที่รออยู่เบื้องหลังสำหรับทีมที่ผ่านเข้ารอบ ไม่ใช่แค่การได้เห็นชื่อของตัวเองไปอยู่บนเอกสารของ JAXA หรือได้ถ่ายรูปกับนักบินอวกาศเท่านั้น แต่มันคือโอกาสอันใกล้เคียงที่สุดที่เยาวชนจะได้สัมผัสประสบการณ์ของการเป็น “Payload Scientist” จริง ๆ

นักบินอวกาศ Kimiya Yui ขณะกำลังฝึกซ้อมเพื่อขึ้นไปเป็นลูกเรือ Expedition 73 ของสถานีอวกาศนานาชาติ ที่มา – NASA

โดยเฉพาะการได้เดินเข้าสู่ Mission Control Room ของ JAXA ห้องที่นักวิจัยและเจ้าหน้าที่ J-COM ทำงานร่วมกับนักบินอวกาศแบบ Real-time เพื่อควบคุมภารกิจในสถานีอวกาศนานาชาติจากฝั่งญี่ปุ่น ซึ่งเทียบได้กับศูนย์ควบคุม Houston ของ NASA ที่ NASA’s Johnson Space Center ทั้งหมดนี้คือฉากหลังของความฝันที่กำลังถูกต่อยอดผ่านกระบวนการที่เด็ก ๆ มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

อ่านเพิ่มเติม การติดต่อสื่อสาร และจัดการงานกับลูกเรือบนสถานีอวกาศนานาชาติ

เจ้าหน้าที่ Flight Controller กำลังคุยกับนักบินอวกาศบนสถานีอวกาศนานาชาติ ที่มา – JAXA

มันคือโครงการที่ไม่ได้แค่ “ให้โอกาส” เยาวชน แต่สร้างระบบแวดล้อมที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่า “เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกนั้นได้จริง ๆ” ไม่ใช่แค่ในฐานะผู้ชม แต่ในฐานะคนที่ได้ลงมือคิด ออกแบบ วางแผน และติดตามการทดลองไปถึงอวกาศ สำหรับเด็ก ๆ ที่กำลังเตรียมตัวเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อร่วมกิจกรรม Asian Try Zero-G ปีนี้ นี่ไม่ใช่แค่ทริปวิทยาศาสตร์ต่างประเทศ แต่มันคือการเดินทางที่จะทำให้พวกเขาได้เห็นว่าเบื้องหลังคำว่า “Humaned Spaceflight” และ “นักวิจัย” ที่ทำงานกับสถานีอวกาศนานาชาติ คือกลุ่มคนธรรมดาที่เต็มไปด้วยความหลงใหล และพร้อมเปิดประตูให้กับใครก็ตามที่กล้าฝันและลงมือทำ

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.