เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2025 ที่ผ่านมาทางสวทช. ได้จัดบรรยายพิเศษ “เจาะลึกโครงการสำรวจอวกาศขององค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น” โดย Dr. Masaki Fujimoto ผู้อำนวยการ ISAS และผู้ช่วยผู้อำนวยการ JAXA การบรรยายครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมกับความพิเศษที่ประเทศไทยได้รับเกียรติในการจัดแสดงตัวอย่างหินจากดาวเคราะห์น้อย Ryugu ที่ยาน Hayabusa II ได้เก็บกลับมา ซึ่งในการบรรยายในครั้งนี้ไฮไลท์จะอยู่ที่ภารกิจ Hayabus II และ SLIM (Smart Lander for Investigating Moon) ก่อนที่จะปิดเรื่องด้วยอนาคตของภารกิจการลงจอดบนดาวอังคารของญี่ปุ่นที่จะเกิดขึ้นหลังจากปี 2030 ที่เป็นความทะเยอทะยานครั้งสำคัญของญี่ปุ่นเพื่อที่จะเข้าร่วมกระแสการสำรวจดาวอังคารกับชาติมหาอำนาจอื่น ๆ ด้วย

Hayabusa II ภารกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
ภารกิจ Hayabusa II คือภารกิจที่เชิดหน้าชูตาของญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับภารกิจก่อนหน้าอย่าง Hayabusa หรือแม้กระทั่งเทียบกับ OSIRIS-Rex ของ NASA ที่ยังเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดภายในภารกิจทั้งอุปกรณ์วิทยาศาสตร์มีก้อนหินไปติดจนใช้งานไม่ได้ หรือเก็บตัวอย่างหินจากบนพื้นผิวแล้วหินไปติดฝาปิดจนหินหลุดออกมา ซึ่งความสำเร็จอย่างน่ามหัศจรรย์ของ Hayabusa II ไม่ได้เกิดเพราะโชคช่วยเพียงอย่างเดียวแต่เกิดจากการเตรียมพร้อมและเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาจาก Hayabusa
สิ่งสำคัญที่ Hayabusa II เรียนรู้จาก Hayabusa คือการออกแบบภารกิจให้มีช่องว่างสำหรับความผิดพลาด ในภารกิจ Hayabusa Dr.Fujimoto กล่าวว่ามันเหมือนกับขับรถแข่งกับเวลา เรามีเวลาให้ยานศึกษาดาวเคราะห์น้อย Itokawa น้อยมาก มีเวลาแค่ 2 เดือนเศษสำหรับอยู่ในวงโคจรรอบ Itokawa ก่อนที่จะต้องรีบเดินทางกลับโลกไม่อย่างนั้นวงโคจรจะคลาดกับโลก ซึ่งนั้นคือปัญหาใหญ่ เมื่อเวลาสำหรับการอยู่ในวงโคจรน้อยบวกกับตัวยาน Hayabusa เองก็เต็มไปด้วยปัญหามากมายที่มีมาให้เจอตลอดเวลา ความเครียดจึงตกไปอยู่ที่ทีมงานบนโลกอย่างมหาศาล

แม้แต่เวลาในการ Touch&Go เพื่อเก็บตัวอย่างก็มีช่วงเวลาสำหรับการทำแค่นิดเดียว และแม้วิศวกรจะเปิดโอกาสได้แก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการลงจอด ก็ยังเกิดข้อผิดพลาดมากมายที่สุดท้ายแล้วทำให้ยานไม่เก็บตัวอย่างเข้ามาภายในตัวยานได้ ราวกับเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด
ดังนั้นในภารกิจ Hayabusa II พวกเขาได้เรียนรู้มาจากภารกิจ Hayabusa มาแล้วจึงเลือกใช้อุปกรณ์ที่เชื่อถือได้มากกว่า มีน้ำหนักที่มากกว่า พร้อมที่จะส่งไปด้วยจรวดที่ใหญ่กว่า หนักกว่า และยังให้เวลาอยู่ในวงโคจรนานมากพอที่จะมั่นใจได้ว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดเกี่ยวกับการลงจอดเหมือนตอน Hayabusa เกิดขึ้นอีก ด้วยการให้เวลาในการอยู่ในวงโคจรของ Ryugu นานถึงหนึ่งปีครึ่งไปเลย และด้วยระยะเวลาที่มากขนาดนี้ทำให้ทีมงานไม่ต้องเครียดสามารถค่อย ๆ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับยานได้ทีละปัญหา ไม่สะสมปัญหาจนคาราคาซังแบบตอน Hayabusa และทีมงานสามารถทำงานได้อย่างมีความสุขโดยไม่ต้องมาเครียดแข่งกับเวลา เช่น อยากเปลี่ยนตำแหน่ง Touch&Go ในนาทีสุดท้ายก็สามารถเปลี่ยนได้เลยโดยไม่ต้องเครียด เพราะยังมีเวลามากพอที่จะทำอีกรอบได้
Hayabusa II เป็นภารกิจการเก็บตัวอย่างที่เจ๋งที่สุดของญี่ปุ่นเพราะในครั้งนี้มันกลับโลกมาพร้อมกับตัวอย่าง 5.4g (นับว่าน้อยมมากเมื่อเทียบกับ OSIRIS-REx ที่มากกว่าเป็น 20 เท่า) มันคือความสำเร็จครั้งใหญ่ของญี่ปุ่นที่นอกจากจะสามารถเก็บตัวอย่างของดาวเคราะห์น้อยกลับมายังโลกได้มากกว่าครั้งแรก (ครั้งแรกเก็บมาได้แค่ฝุ่นหนึ่งเม็ด) แล้ว มันยังสามารถปล่อยโรเวอร์คันแรกให้ออกไปวิ่งบนพื้นผิวของดาวเคราะห์น้อยได้อีกด้วย ทำให้ Hayabusa II เป็นความสำเร็จที่ Dr.Fujimoto เรียกว่า Great Successful
แล้วญี่ปุ่นได้อะไรจากการที่ SLIM ไปหัวทิ่มบนดวงจันทร์
อีกหนึ่งอย่างที่ Dr.Fujimoto ได้พูดในการบรรยายคือภารกิจ SLIM แม้ชื่อมันจะมีคำว่า Smart ที่แปลว่าฉลาดแต่ภาพจำของยานลำนี้คือการไปล้มหัวทิ่มบนดวงจันทร์และกลายเป็นเรื่องขบขันของคนในวงการ
เอาเข้าจริง SLIM คือยานสาธิตเทคโนโลยีการลงจอด ดังนั้นมันจะล้มเหลวหรือไม่ล้มเหลวก็ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักต่อเป้าหมายของการสำรวจอวกาศญี่ปุ่น ให้เทียบกับสถานการณ์มันก็จะเหมือนกับยาน Mars Partfinder ที่เป็นภารกิจสาธิตการลงจอดบนดาวอังคารด้วยเทคโนโลยี Airbag เป็นครั้งแรก ซึ่งต่อให้ภารกิจมันไม่สำเร็จ มันก็ไม่ได้ส่งผลต่อทิศทางการดำเนินงานของ NASA ในเวลานั้นเท่าไหร่นัก เพราะยาน Cassini และกระสวยอวกาศก็จะถูกปล่อยสู่อวกาศอยู่ดี สถานการณ์ของ SLIM ก็เป็นเช่นนั้น

สถานะความสำเร็จของ SLIM เป็น Partial Success คือลงจอดสำเร็จแต่ไม่ได้สำเร็จในแบบที่หวังว่ามันจะสำเร็จ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ได้พิสูจน์เทคโนโลยีการลงจอดแบบ High Precision ของญี่ปุ่นไว้ได้คือ มันลงจอดจากจุดที่กำหนดไว้แค่ 55 เมตร จากที่ตั้งเป้าหมายว่า ± 100 เมตร ซึ่งดีกว่าสถิติของมนุษย์ที่ลงจอดห่างจากจุดลงจอดที่ ~180 เมตรในภารกิจ Apollo 12 ซึ่งเป็นการพิสูจน์ทักษะการควบคุมยานขั้นสูงในการลงจอด LM ใกล้ ๆ กับยาน Surveyor 3
นอกจากนี้ SLIM ยังได้บรรทุก nano Rover ที่ร่วมกันพัฒนาโดย Sony, Takara Tomy และ Doshisha University ซึ่งกลายเป็น Rover ที่ขนาดเล็กที่สุดและสามารถทำงานได้บนพื้นผิวของดวงจันทร์ ซึ่งเป็นการรวมทักษะความเชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมของเล่นมารวมกับงานด้านอวกาศซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอุตสาหกรรมอวกาศ
อีกทั้ง SLIM ยังกลายเป็นยานอวกาศที่สามารถมีชีวิตรอดบนพื้นผิวของดวงจันทร์ได้นานที่สุดโดยที่ยานไม่ได้มีการติดตั้ง RTG ให้ความร้อนและพลังงานในช่วงกลางคืนของดวงจันทร์ โดยมันสามารถผ่านพ้นกลางคืนของดวงจันทร์ได้ถึง 3 คืน หมายความว่ายานอวกาศลำนี้สามารถอยู่โดยไม่มีพลังงานแบบนี้ได้นานถึง 15 วัน เป็นแบบนี้ถึง 3 ครั้งซึ่งยานส่วนมากที่ไม่ได้มีการติดตั้ง RTG ไม่สามารถผ่านพ้นคืนแรกของดวงจันทร์ไปได้ด้วยซ้ำ ทำให้ยาน SLIM ที่ทั้งหัวทิ่มและแผง Solar cell หันผิดทิศผิดทางก็ยังสามารถมีชีวิตรอดบนดวงจันทร์ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ถึง 3 คืน นับว่าเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์และเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของ JAXA ที่ต้องนับถือ
การกลับสู่ดาวอังคารของญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเคยพยายามส่งยานอวกาศไปโคจรรอบดาวอังคารตั้งแต่ปี 1998 แต่ด้วยความดวงซวยของญี่ปุ่นขั้นสุดยอดทำให้มันเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายจนยานต้องลอยค้างรอบดวงอาทิตย์หลายปีอย่างไร้จุดหมายและไม่สามารถเข้าสู่วงโคจรของดาวอังคารได้ตามที่ต้องการและลอยเคว้งไปในอวกาศอย่างน่าเสียดาย
แม้จะพูดว่าดวงซวยแต่ “เรื่องบังเอิญไม่มีจริง” ตามที่อาจารย์อูเกวได้พูดเอาไว้ ยานอวกาศของญี่ปุ่นมีต้นทุนของโครงการที่น้อยกว่าโครงการของ NASA อย่างมหาศาลและสิ่งนั้นคือปัจจัยหลักต่อความสำเร็จของโครงการด้วย แม้แต่ Dr.Fujimoto ยังกล่าวว่าโครงการอวกาศญี่ปุ่นเป็นโครงการเล็ก ๆ ไม่สามารถไปเทียบโครงการขนาดใหญ่เหมือนกับฝั่งของโลกตะวันตกได้หรอก ดังนั้นการจะจับเป้าหมายใหญ่โดยที่ไม่มีทุนทรัพย์จึงเป็นเรื่องที่ยากสำหรับความสำเร็จ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาโครงการอวกาศของญี่ปุ่นจึงกลายเป็นโครงการสำรวจอวกาศที่เน้นไปที่เป้าหมายรองและไม่ได้ Sexy เหมือนกับโครงการของ NASA

MMX จึงเป็นโครงการที่ทะเยอทะยานเป็นอย่างมากของญี่ปุ่นในการส่งยานไปสำรวจ ลงจอด และเก็บตัวอย่างพื้นผิวของดวงจันทร์โฟบอสกลับมายังโลก และโครงการนี้มันไม่ใช่แค่การ Touch&Go เหมือนกับ Hayabusa ที่เคยทำไว้ แต่มันคือการไปอยู่บนนั้นเพื่อทำการสำรวจทางวิทยาศาสตร์จริง ๆ จะเห็นได้ว่าตัวยานถูกออกแบบให้มีขาตั้งสำหรับ Soft Landing บนพื้นผิวของโฟบอส และยานยังมีภารกิจในการไปสำรวจดวงจันทร์ดีมอสในระยะที่ใกล้อีกด้วย
ซึ่งแม้แต่การกลับไปยังวงโคจรของดาวอังคาร เป้าหมายการศึกษาของ MMX ก็ยังเป็นเป้าหมายรองไม่ใช่เป้าหมายหลัก เพราะตลอดประวัติศาสตร์ของเราไม่เคยมียานอวกาศที่มีเป้าหมายสำรวจดวงจันทร์บริวารทั้งสองดวงของดาวอังคารทำภารกิจสำเร็จเลย และการสำรวจดวงจันทร์ทั้งสองดวงนี้ของภารกิจก่อนหน้าก็ไม่เคยอยู่ในภารกิจหลักของยานอวกาศเหล่านั้นอีกด้วย ดังนั้น หากว่ากันตามตรง MMX เป็นภารกิจที่ mass และ sexy มากขึ้นเมื่อเทียบกับโครงการสำรวจเป้าหมายรองก่อนหน้า และมันก็ใช้ทุนทรัพย์ที่น้อยกว่าภารกิจการสำรวจดาวอังคารหลักและการลงจอดบนดาวอังคารจริง ๆ และญี่ปุ่นก็มี Know how เกี่ยวกับการสำรวจวัตถุที่มีขนาดเล็กอย่างดาวเคราะห์น้อยที่ดีอยู่แล้ว แต่มันก็ไม่ได้ sexy เหมือนกับการลงจอดบนดาวอังคาร

ซึ่ง Dr.Fujimoto แทบจะข้ามส่วนของ MMX ไปอย่างรวดเร็วและพูดถึงโครงการที่เขา proudly present มากที่สุดคือการลงจอดบนดาวอังคารด้วยเทคโนโลยี inflatable aeroshell ที่เขาบอกว่าหากสิ่งนี้สำเร็จมันจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการส่งยานอวกาศไปลงจอดบนดาวอังคารเลย
โดยแนวคิดของญี่ปุ่นคือเขาต้องการลดต้นทุนของระบบลงจอดที่เป็น Legacy ของ NASA ที่ต้องใช้ Hard heat shield, back shell, Supersonic Parachute และ Thruster เพื่อให้ยานอวกาศสามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัย ซึ่งการที่มีอุปกรณ์ที่มากขึ้นเท่ากับต้นทุนที่สูงขึ้นซึ่งมันรวมถึงต้นทุนการขนส่งด้วย ดังนั้นญี่ปุ่นจึงคิดการใหญ่ว่าจะลดต้นทุนส่วนไหนในวิธีการลงจอดที่เป็น legacy มาร่วม 50 ปีและได้รับการพิสูจน์มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

สิ่งที่พวกเขาต้องการที่จะตัดคือ Hard heat shield, back shell และ Supersonic Parachute ออกและใช้ inflatable soft aeroshell แทนเพื่อลดต้นทุนการผลิต การขนส่ง และสามารถที่จะไปเพิ่มเงินทุนให้กับระบบทางวิทยาศาสตร์ได้มากขึ้น โดย inflatable soft aeroshell จะสามารถทำหน้าที่เป็นทั้งโล่กันความร้อนในช่วงที่เสียดสีกับชั้นบรรยากาศและคุณสมบัติที่ยืดหยุ่นของมันก็ใช้เป็นเหมือนร่มชะลอความเร็วภายในชั้นบรรยากาศ ทำให้ความเร็วลดลงมากพอที่จะสามารถใช้เพียง thruster ก็สามารถลงจอดบนพื้นผิวของดาวอังคารได้อย่างนุ่มนวล

เอาเข้าจริงเราจะเห็นข่าวญี่ปุ่นทำการทดลองระบบ inflatable soft aeroshell ภายใต้ชื่อ Entry-Descent-Landing (EDL) อยู่บ่อยครั้งตั้งแต่ช่วง 2021 โดยใช้จรวด Sounding Rocket ส่งขึ้นไปในวงโคจรแบบ sub orbital และทำการทดสอบการตกกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลกและทำการเก็บกู้อุปกรณ์ทดสอบเหล่านี้กลางทะเล ซึ่งการทดสอบเป็นไปได้ด้วยดี ซึ่ง lead ไปสู่เป้าในการสาธิตเทคโนโลยี inflatable soft aeroshell กับการลงจอดบนดาวอังคารของญี่ปุ่นในช่วงหลังปี 2030 ตามแผนที่ ISAS วางไว้

หากภารกิจสาธิจเทคโนโลยี inflatable soft aeroshell ประสบความสำเร็จ มันจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการสำรวจดาวอังคารเพราะมันคือการปฏิวัติวิธีการลงจอดที่เป็น legacy ร่วม 50 ปีตั้งแต่สมัยโครงการ Viking ได้สร้างเอาไว้ โดย Dr.Fujimoto กล่าวติดตลกว่าญี่ปุ่นจะก้าวเข้าสู่แก๊งการสำรวจดาวอังคารโดยที่ไม่ต้องรอใครรับเชิญ และไม่ต้องไปขอร้องเข้าร่วมทีมกับใคร และอีกนัยนึงแปลว่าญี่ปุ่นจะก้าวเข้าสู่ชาติมหาอำนาจทางอวกาศโดยทันที
โดยญี่ปุ่นมีแผนจะส่งภารกิจขนาดใหญ่พร้อมกับ Rover ไปลงจอดบนขั้วของดาวอังคาร (Mars Polar Rover) ก่อนปี 2040 และ Dr.Fujimoto ได้กล่าวไว้ว่าสำหรับยานลงจอดบนดาวอังคารนี้มันจะเกิดจากการเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์หลายปีของญี่ปุ่นจากทั้งเทคโนโลยีของ Hayabusa II และ SLIM ที่จะทำให้ยานลงจอดสามารถลงจอดในแบบ High Precision และหากการสาธิต inflatable soft aeroshell ลุล่วงไปด้วยดียานที่ลงจอดจะใช้เทคโนโลยีนี้ร่วมด้วย ซึ่งอาจจะมีอีกนัยยะนึงว่าหากเทคโนโลยีนี้ไม่สำเร็จจริง พวกเขาอาจจะกลับไปใช้วิธี legacy แบบที่ NASA ใช้เพื่อให้ทันตามกรอบปี 2040

เราจะเห็นว่าหลังจากญี่ปุ่นประสบปัญหาของโครงการต่าง ๆ มากมายตั้งแต่ สมัยของ Nozomi หรือ Hayabusa ญี่ปุ่นแทบจะเปลี่ยนแนวคิดจากการเลือกโครงการที่ยิ่งใหญ่ไล่ตามคนอื่นเป็นโครงการเล็ก ๆ คล้ายกับ mile stone ไปเรื่อย ๆ เพื่อสะสมองค์ความรู้และเทคโนโลยี สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือขั้นตอนการตัดสินใจของฝ่ายผู้ปฏิบัติงานและผู้บริหารที่เป็น Know How สำคัญที่ชี้เป็นชี้ตายถึงตัวโครงการ และพวกเขาก็เล็งเห็นแล้วว่าการทำในสิ่งที่ถนัด สนุกไปกับ มองเป้าหมายเป็นเป้าหมายเล็ก ๆ และมีความหวังกับทุกสิ่งทุกอย่างจะนำพาให้พวกเขาประสบความสำเร็จในการทำงานอวกาศลุล่วงลงได้
แม้ความสำเร็จจะใช้โชคดีเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญมาก ๆ แต่โชคดีที่เราจะสามารถได้รับได้นั้นล้วนเกิดจากการที่เราทำสิ่งที่ถูกต้องซ้ำ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเราสามารถอยู่ในตำแหน่งที่ถูกที่และถูกเวลา จะเห็นได้ว่า Failure อยู่เต็มไปหมดในโครงการอวกาศของญี่ปุ่น แต่พวกเขาเลือกที่จะเรียนรู้กับความล้มเหลว อยู่กับความล้มเหลว สนุกไปกับความล้มเหลว เพื่อที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผ่านการเก็บ Milestone ทีละเล็กทีละน้อยทั้งด้าน know how และเทคโนโลยี เพื่อรอรับความโชคดีที่พวกเขาสมควรจะได้รับจากการพยายามอย่างหนัก
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co