ถ้าจะซื่อสัตย์กับองค์ความรู้ในทฤษฎีการกำเนิดเองภพของเราเอง เราต้องยอมรับว่าพันล้านปีแรกของจักรวาลคือช่องว่างที่เราเคย “เดาเก่ง” มากกว่ามองเห็นจริง ๆ ตั้งแต่ปลายยุค Hubble เรารู้คร่าว ๆ ว่ามี Cosmic Dawn และ Epoch of Reionization แต่เส้นเรื่อง รายละเอียดเชิงฟิสิกส์ อาจเป็นสิ่งที่เรายังไม่รู้มากขนาดนั้น จนกระทั่ง James Webb Space Telescope เปิดยุคแห่งการสังเกตการณ์ด้านอินฟราเรดเต็มกำลัง ทำให้ข้อมูลจาก 13,000 ล้านปีก่อนย้อนกลับมาชนกรอบทฤษฎีที่เรายึดอยู่ และบังคับให้เราเรียบเรียงบทแรกของจักรวาลกันใหม่เกือบทั้งเล่ม
ในเปเปอร์ล่าสุดชื่อว่า The First Billion Years According to JWST ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ลงใน Nature Astronomy ในช่วงเดือนสิงหาคม 2025 ได้ทำสรุปแบบเข้มข้น เป็นส่วนหนึ่งของงาน ISSI Breakthrough Workshop 2024 เล่าว่า James Webb พลิกความเข้าใจอะไรบ้าง ตั้งแต่ประชากรกาแล็กซียุคต้น โหมดการก่อกำเนิดดาว เคมีและฝุ่น หลุมดำมวลมหาศาล ไปจนถึงฟิสิกส์ของการ Reionization พร้อมตั้งคำถามที่ยัง “ไม่ปิดโจทย์” ให้คิดต่อ

ก่อน James Webb เราอาจจะไม่ได้มีข้อมูลของกาแล็กซีในยุคโบราณมากนัก แต่ตอนนี้เรามีตัวอย่างกาแล็กซีที่ได้รับการยืนยันสเปกตรัมต่อเนื่องไปถึง z = 14 (z คือค่าของการเกิดการเคลือนไปทางแดงหรือ Redshift ยิ่งมากแปลว่ายิ่งมาจากเอกภพในยุคแรกเริ่มเท่านั้น) และคาดว่าทางเทคนิคไปได้ถึง z = 20 ซึ่งแปลว่ากาแล็กซีสว่าง ๆ เกิดขึ้น “เร็ว” กว่าที่แบบจำลองจำนวนมากเคยคาดไว้ ประเด็นสำคัญคือการอ่านค่า UV Luminosity Function ที่ส่วนสว่างไม่ตกฮวบอย่างที่คิด และมีค่า ความหนาแน่นเชิงปริมาตรของความสว่างรังสีอัลตราไวโอเลตหรือ UV ลดลงช้ากว่าที่คาด สื่อว่าเอกภพนั้นผลิตโฟตอนในย่าน UV อย่างมีนัยยะตั้งแต่เนิ่น ๆ ในทางตีความมันอาจไม่ได้ทำลายโมเดล Lambda-CDM ซึ่งอธิบายการขยายตัวของเอกภพตรง ๆ แต่บังคับให้เราเล่า “ฟิสิกส์ของอนุภาคกลุ่ม Baryon” ให้ละเอียดกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพการเกิดดาว การสะสมก๊าซ และความแปรผันเชิงเวลาของ Star Formation Rate หรือ SFR ที่ทำให้แสง UV “สว่างกว่าความจริง” เป็นช่วง ๆ ได้
อย่างไรก็ดีจากการสรุปทีนี้ ทีมวิจัยยังได้ให้ข้อควรระวังคือเราเห็น Field-to-Field Variance ชัดเจน (ความแกว่งของผลสำรวจท้องฟ้าเมื่อดูคนละทิศ เพราะโครงสร้างเอกภพใหญ่ไม่สม่ำเสมอ แต่ละทิศที่มองเลยให้จำนวนและความสว่างกาแล็กซีไม่เท่ากัน) ผลสำรวจในบางทิศทางสว่างและหนาแน่นกว่าที่อื่น การสรุปภาพรวมต้องระวังอคติจากปริมาตรสังเกตที่ยังจำกัดอยู่
มวลดาว โครงสร้าง เมื่อเอกภพจัดระเบียบเร็วเกินคาด
ก่อนจะพูดถึงประเด็นนี้เราต้องเข้าใจเรื่อง Rest-Frame Optical หรือแสงขาวจากดาวส่วนใหญ่ของกาแล็กซีในกรอบอ้างอิงของมันเอง ซึ่งเมื่อเรามองกาแล็กซียุคต้น แสงนี้ถูกยืดไปเป็นอินฟราเรดที่ James Webb สามารถบันทึกภาพได้ ทำให้เราวัด มวลดาวและการเติบโตของกาแล็กซี ได้ตรง ๆ การสังเกตแบบ Rest-frame Optical ของกาแล็กซียุคแรกที่ Webb ดูได้ ทำให้เราประเมิน Stellar Mass และ Mass Buildup ได้จริง ไม่ใช่เดาจากการอ่านค่า UV อย่างเดียว เรื่องที่เคย “แตกตื่น” ว่ามี Over-Massive Galaxies หลายกรณีเมื่อได้สเปกตรัมลึกขึ้นก็มีคำอธิบายทางเลือก แต่ก็ยังมี Quiescent Galaxies ตั้งแต่เริ่มจักรวาลที่บีบให้การก่อร่างมวลดาวเกิดเร็วมาก ๆ ใกล้กับค่า z = 10 ซึ่งเป็นแรงกดดันกลับไปที่แบบจำลองการก่อกำเนิดกาแล็กซีอยู่ดี

ในขณะที่ภาพจากอุปกรณ์ NIRCam ของ James Webb นั้นเฉียบพอจะเห็นว่าดิสก์หรือจานของการก่อกำเนิดกาแล็กซีในช่วงแรก ๆ ปรากฏตั้งแต่ z อยู่ที่ประมาณ 6–9 แถมบางระบบเห็นโครงสร้างการก่อกำเนิดอย่างชัดเจนและมีกรณีที่เราจะเห็น Massive Rotating Disks หรือช่วยที่กาแล็กซีเริ่มมีโครงสร้างเป็นจานหมุนโดยชัดเจนที่ยืนยันเชิงสเปกตรัมด้วย เรื่องนี้ค่อนข้างสะเทือนใจเพราะมันสวนกับภาพจำว่าเอกภพยุคต้นควรจะ “ยุ่งเหยิงและไร้รูปร่าง” มากกว่า หากกาแล็กซีแบบจานหมุนเกิดไว แปลว่ากลไกสูญเสียโมเมนตัมเชิงมุมและการเย็นตัวของก๊าซทำงานได้มีประสิทธิภาพเร็วกว่าที่เราคิดไว้ตอนแรกมาก ๆ
เปเปอร์ตัวอย่างในประเด็นนี้เช่น The evolution of the galaxy UV luminosity function at redshifts z ~ 8-15 from deep JWST and ground-based near-infrared imaging
Stochastic และบทบาทของ Star Cluster ในยุคแรก
สเปกตรัมและสี UV ไปจนถึงย่าน Optical ยังบ่งชี้ว่า Star Formation หรือการก่อกำเนิดของดาวฤกษ์ของกาแล็กซียุคแรกไม่เรียบง่ายมากอย่างที่เราคิด แต่ดันมีความเป็นสิ่งที่ในเปเปอร์เรียกว่า Bursty หรือ Stochastic คือเปิด-ปิดแรง ๆ เป็นช่วง ๆ ตาม Feedback และการป้อนก๊าซจากสภาพแวดล้อม
การอ่านค่าจาก James Webb นั้นยังรวมถึงการสังเกตปรากฏการณ์ Gravitational Lensing ทำให้เห็น Clumps หรือโครงสร้างย่อยที่รวมดาวหรือก๊าซหนาแน่นกว่าบริเวณรอบ ๆ ขนาดใหญ่ระดับ 10 พาร์เซกลงไปถึงระดับ Young Massive Clusters ที่เข้าข่ายเป็น Proto-globular Clusters ได้จริง ๆ ความหนาแน่นสูงจนเปิดช่องให้เกิดการหลอมรวมของดาวและหลุมดำในแกนกลาง และสำคัญคือ Cluster เหล่านี้ผลิต Ionizing Photon ต่อ UV ได้มากจนกลายเป็น “เครื่องยนต์” สำคัญในกระบวนการ Reionization ได้เลย ในบางกรณีเรายังเห็นดาวเดี่ยว ๆ ที่ขยายแรง ๆ ที่เราแทบไม่มีทางฝันถึงในยุคก่อนการเข้ามาของกล้อง James Webb ได้เลย
เริ่มสังเคราะห์ธาตุและสร้างโลหะเร็วกว่าที่คิด
ในเปเปอร์ได้มีการพูดถึง Auroral ซึ่งหมายความถึง เส้นสเปกตรัมชนิดพิเศษของอะตอมที่เปล่งออกมาในสภาวะก๊าซบางเบาและเย็นมาก คล้าย ๆ กับแสงเหนือบนโลกที่เกิดจากการกระตุ้นอะตอมในบรรยากาศ แต่ในทางดาราศาสตร์ เส้น Auroral จะถูกใช้เป็น “เทอร์โมมิเตอร์” ในการวัดอุณหภูมิอิเล็กตรอนในเนบิวลา ได้ตรง ๆ ทำให้เราเข้าใจว่าอุณหภูมิของวัตถุที่ถูกสร้างในเอกภพยุคแรกเริ่มนั้นเป็นอย่างไร อย่างเช่นงาน New AGN diagnostic diagrams based on the [OIII]λ4363 auroral line
ด้วยเส้น Aauroral ในสเปกตรัมที่วัดได้จากอุปกรณ์ NIRSpec เราเริ่มได้ Direct Metallicity ของธาตุออกซิเจนสำหรับกาแล็กซีในช่วง z อยู่ที่ประมาณ 4–10 พบว่าความเป็นธาตุโลหะอยู่ราว 2–30% เมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์ของเราปัจจุบัน และกรณีที่ z ไปไกลมากกว่า 12 เราจะเจอธาตุจำพวก ไนโตรเจน, คาร์บอน, ออกซิเจน, นีออน, อาร์กอน และซัลเฟอร์ นี่คือหลักฐานว่าซูเปอร์โนวาและวัฏจักรเคมีในการก่อกำเนิดธาตุต่าง ๆ ทำงานเร็วมากในสเกลไม่กี่ร้อยล้านปี และที่ยังไม่พบชัดคือระบบที่ “โลหะเป็นศูนย์” หมายความว่าเราอาจยังมองไม่ลึกพอที่จะเจอระบบดาวที่ยังไม่สร้างโลหะหรือแท้จริงแล้วจักรวาล “สร้างโลหะ” ไวกว่าที่คิดจริง ๆ
เปเปอร์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นนี้ก็เช่น The JWST EXCELS survey: an extremely metal-poor galaxy at z=8.271hosting an unusual population of massive stars และ The gas and stellar content of a metal-poor galaxy at z=8.496 as revealed by JWST and ALMA จะเห็นว่าเราเรียกว่า Metal-poor หรือ Extremely Metal-poor แต่เรายังไม่เคยเจอระบบที่ไม่มี Metal เลยด้วยซ้ำ
ในขณะที่ฝั่ง Dust หรือฝุ่นผงละอองต่าง ๆ ในเอกภพ เราจะเห็นทั้งแหล่งกำเนิดที่ฝุ่นน้อยและประชากรที่ฝุ่นจัดซึ่งกล้อง Hubble มองไม่เห็นมาก่อน ข้อมูลจาก James Webb นั้นบอกว่าคาร์บอนและกระบวนการที่สร้างฝุ่นธาตุขนาดใหญ่เกิดไวมาก น่าสนใจคือเมื่อเทียบที่มวลดาวเท่ากัน Nebular Attenuation (การที่แสงจากก๊าซเนบิวลาถูกดูดกลืนและกระเจิงโดยฝุ่นภายในกาแล็กซี ทำให้ความเข้มของเส้นสเปกตรัมที่เราเห็นอ่อนลงกว่าค่าจริง) ไม่ได้เปลี่ยนไปมากในช่วง z = 2.5 ถึง z = 7 ซึ่งนำไปสู่คำถามของการก่อร่างสร้างแก๊สและโลหะในเอกภพ ด้วยเหตุนี้คำถามเชิงฟิสิกส์ของฝุ่นในระบบระหว่างดาวหรือ Interstellar Medium เลยถูกดันขึ้นมาเป็นตัวแสดงนำทันที
หลุมดำและ AGN ประชากรใหม่ และคำถามเรื่อง Black-Hole Seeding
ต่อมาเป็นการพูดถึงเรื่อง Active Galactic Nucleus หรือ AGN บริเวณใจกลางกาแล็กซีที่มีหลุมดำมวลมหาศาล Supermassive Black Hole ที่กำลังดูดกลืนก๊าซและฝุ่นอย่างรุนแรง จนก๊าซรอบ ๆ ร้อนและสว่างเปล่งพลังงานมหาศาลออกมา ครอบคลุมตั้งแต่รังสีเอกซ์ไปจนถึงวิทยุ ทำให้สว่างกว่ากาแล็กซีทั้งดวงรวมกัน

ก่อนการมาของ James Webb เรามองเห็นแต่ Quasar และ AGN จาง ๆ ยิ่งยุคต้นคือของหายาก แต่ตอนนี้ภาพที่เราเห็นเปลี่ยนไปมาก กล้อง Webb ไล่พบ AGN ในรูปแบบ type-1 และ 2 กระจายตั้งแต่ช่วง z = 3–10 พร้อมการประเมินมวลหลุมดำจากเส้น Balmer (คือชุดเส้นสเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจนที่เกิดจากการที่อิเล็กตรอนตกจากระดับพลังงานสูงลงมาสู่ระดับ Ground Stage ซึ่งอยู่ในช่วงแสงที่ตามองเห็นได้ จึงใช้กันมากในการศึกษาดาว กาแล็กซี และการก่อตัวดาว) แบบเดียวกับที่ทำในจักรวาลยุคที่เรากำลังศึกษาในปัจจุบัน ทำให้เทียบระหว่างยุคได้อย่างสม่ำเสมอขึ้น อธิบายง่าย ๆ คือหลุมดำในเอกภพเกิดเร็วกว่าที่เราคิดไว้ในตอนแรกมาก ๆ โดยมีคำอธิบายที่น่าจะเข้าท่าอยู่สองทางก็คือ
- ปรากฎการณ์ที่เรียกว่า Heavy Seeding ซึ่งเป็นสมมติฐานที่บอกว่าจริง ๆ แล้วหลุมดำนั้นไม่ได้ค่อย ๆ เกิดจากการยุบตัวของดาวฤกษ์ขนาดเล็ก ที่เราเรียกว่า Light Seeding แต่มาจากการยุบตัวของโครงสร้างขนาดยักษ์ เช่น กลุ่มแก๊สที่อาจจะยังไม่รวมตัวกันเป็นดาวฤกษ์ด้วยซ้ำ หรือดาวฤกษ์ขนาดใหญ่มาก ๆ ซึ่งนี่จะตอบคำถามว่าทำไมเราถึงได้เห็นปรากฎการณ์ Quasar เกิดขึ้นในยุคแรก ๆ หลังการก่อกำเนิดของเอกภพ
- หลุมดำในเอกภพยุคแรกอาจดูดกลืนก๊าซได้เร็วผิดปกติ เหมือนกับกินอาหารเร็วเกินกว่าที่ “กฎโภชนาการจักรวาล” เคยกำหนดไว้ ปรากฏการณ์นี้เราเรียกว่า Super-Eddington Accretion ซึ่งทำให้หลุมดำโตไวมาก ๆ ภายในเวลาไม่กี่ร้อยล้านปีหลังการก่อกำเนิดเอกภพ
นอกจากนี้ Webb ยังเริ่มเจอกรณีที่ มีหลุมดำสองก้อนใหญ่กำลังสว่างอยู่ในกาแล็กซีเดียวกัน (เราเรียกว่า Dual AGN) โดยพวกมันอยู่ใกล้กันในระดับแค่ไม่กี่พันปีแสงหรือน้อยกว่านั้นเอง นี่บอกเราว่า กาแล็กซียุคต้นชนและรวมกันบ่อย จนหลุมดำใจกลางก็เลยมีโอกาสรวมตัวกันเร็วและถี่กว่าที่การคำนวณทางทฤษฎีเคยคาดคิดไว้
งบโฟตอนไม่ตึงเหมือนที่เคยกังวล
อธิบายเรื่อง Reionization กันก่อนอีกเล็กน่อย ให้คิดภาพเอกภพยุคแรกเหมือนโลกในคืนหมอกหนา ไฟถนนดวงไหนเปิด หมอกตรงนั้นก็ใสขึ้น ทีละกระจุก ๆ ปรากฏการณ์ที่หมอกค่อย ๆ ใสเพราะถูก “ไฟ” ทำให้โมเลกุลแตกตัว กลายเป็นช่วงเวลาที่เรียกว่า Reionization คำถามใหญ่คือ ไฟดวงไหนกันแน่ที่ช่วยไล่หมอกนี้ออกไป เราชวนให้อ่านในเปเปอร์เช่น Reionization after JWST: a photon budget crisis ที่ตั้งคำถามที่ค่อนข้างน่ากังวลต่อ “งบโฟตอน” ในช่วง Reionization
ก่อนมี James Webb เราเดาว่าต้องเป็น “หลอดไฟดวงเล็กจำนวนมาก” หรือกาแล็กซีขนาดจิ๋ว ที่ปล่อยแสงแรงพอและหลุดรอดออกจากฝุ่น–แก๊สภายในตัวมันได้มาก ซึ่งแปลว่าเราต้องอาศัย Escape Fraction สูงพอสมควร แต่พอ James Webb มาวัดจริง ทั้งภาพรวมความสว่าง UV ต่อหนึ่งปริมาตรเอกภพและ “ประสิทธิภาพการผลิต Ionizing Photon ต่อแสง UV” ของดาวรุ่นใหม่กลับสูงกว่าที่เคยสมมติราว 3 เท่า งบโฟตอนเลย “ไม่ตึง” อย่างที่กลัว ต่อให้ Escape Fraction เฉลี่ยไม่ได้สูงเวอร์ เอกภพก็ยังมีไฟพอจะไล่หมอกได้อยู่ดี ส่วน AGN แม้พบมากขึ้น แต่บทบาทรวม ๆ ดูเหมือน “ผู้ช่วยเสริมไฟ” ไม่ใช่พระเอกของงานนี้
ที่น่าสนุกคือ Webb ไม่ได้บอกเราแค่ว่าไฟพอหรือไม่ แต่เริ่มเห็น “ภูมิประเทศของการเปิดไฟ” ด้วย เราเห็น Ionized Bubbles รายรอบกระจุกกาแล็กซีในยุคแรกเริ่ม แปลว่าบริเวณนั้นหมอกถูกไล่ออกไปแล้วเป็นหย่อม ๆ และทีมวิจัยเริ่มทำ แผนที่สามมิติ ของ Bubbles พวกนี้ในบางทิศทางของท้องฟ้า เช่น Mapping reionization bubbles in the JWST era II: inferring the position and characteristic size of individual bubbles ชี้ว่า คนที่คุมเกมจริง ๆ คือ “ย่านที่กาแล็กซีหนาแน่น” หรือ Overdensity ไม่ใช่การเปิดไฟแบบกระจายสม่ำเสมอทั้งเมือง เรียกง่าย ๆ คือ เอกภพไม่ได้เปิดไฟพร้อมกันทั้งผืน แต่มันเริ่มสว่างจากย่านตัวเมืองก่อน ค่อย ๆ ลามออกไปยังชานเมืองนั่นเอง
แล้วทั้งหมดนี้เปลี่ยนความเข้าใจเราอย่างไรบ้าง
แม้ James Webb จะเปิดม่านเผยจักรวาลยุคแรกให้เห็นชัดที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่หลายปริศนาก็ยังไม่ “ปิดโจทย์” เสียทีเดียว เช่น ดาวรุ่นแรกสุดที่เรียกว่า Population III ซึ่งควรจะเป็นดาวที่ไม่ปนโลหะเลย เราก็ยังไม่เจอหลักฐานชัด ๆ บางทีอาจเพราะเรายังมองไม่ลึกพอ หรือบางทีจักรวาลอาจ “เปื้อน” โลหะเร็วกว่าที่คิด อีกทั้งรูปแบบการเกิดดาวในยุคต้นก็ดูแปลก เหมือนเปิดโรงงานทีละระลอกใหญ่ ๆ มากกว่าจะค่อย ๆ ผลิต และถ้าโรงงานพวกนี้ผลิตดาวมวลสูงมากเป็นพิเศษ ก็จะส่งผลต่อทุกอย่างตั้งแต่ปริมาณแสงที่ใช้ในกระบวนการ Reionization ไปจนถึงเคมีและการปล่อยพลังงานกลับคืนสู่ก๊าซรอบ ๆ
ในขณะเดียวกัน ปริศนาของหลุมดำมวลมหาศาลก็ยังเปิดกว้าง เราไม่รู้ว่าหลุมดำเหล่านี้เกิดจากเมล็ดเล็ก ๆ หรือ Light Seeding ที่โตไวผิดปกติ หรือเกิดจาก “Heavy Seeding” ที่ก่อตัวมาแบบหนักตั้งแต่แรก และการดูดกลืนก๊าซแบบ “กินเร็วเกินกฎ” ที่เรียกว่า Super-Eddington อาจเป็นคำตอบสำคัญ เรื่องของฝุ่นก็เช่นกัน ทั้งที่จักรวาลยุคต้นควรเปลี่ยนแปลงไว แต่กฎที่ว่าฝุ่นดูดกลืนแสงทำงานยังกับเสถียรตลอดเวลา ส่วนสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ กาแล็กซีก็ยังเป็นปัจจัยใหญ่ที่อธิบายไม่หมด ว่าทำไมบางที่ถึงสร้างดิสก์เร็ว บางที่ถึงรวมตัวถี่

สิ่งที่ทำให้ James Webb พลิกวงการคือการเปลี่ยนวิธีเล่าเรื่องจักรวาล พันล้านปีแรกที่เคยเป็นเหมือนภาพวาดด้วยพู่กันหยาบ ๆ ตอนนี้กลายเป็นสเกตช์เส้นคม ๆ ที่เห็นรายละเอียดได้จริง เราพบว่ากาแล็กซีมีระเบียบเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ โลหะ ฝุ่น และมวลดาวสะสมไวเกินคาด หลุมดำและนิวเคลียสสว่าง ๆ ไม่ได้เป็นของหายาก แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศปกติ และการ Reionization จักรวาลก็ไม่ต้องอาศัยสมมติฐานสุดขั้วอีกต่อไป เพราะเราวัดปริมาณแสงและเห็นฟองก๊าซที่ถูกทำให้ใสได้ตรง ๆ
สิ่งเหล่านี้ทำให้บทแรก ๆ ของจักรวาลไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่าคลุมเครืออีกต่อไป แต่กลายเป็นบทเรียนที่มีข้อมูลเชิงประจักษ์จริงพอจะตรวจสอบกับทฤษฎีได้ นี่คือการ “จัดระเบียบความเข้าใจใหม่ทั้งชุด” ตั้งแต่สเกลเล็กของกระจุกดาวไปจนถึงโครงข่ายจักรวาลใหญ่ และยังเปิดโจทย์ใหม่ให้ไล่พิสูจน์กันต่อไป
ก้าวถัดไปคือการสังเกตให้ลึกและกว้างขึ้น ใช้สเปกตรัมย่านอินฟราเรดกลางเพื่อตัดความกำกวมของมวลดาว ใช้เลนส์แรงและเวลาสังเกตยาวเพื่อหาดาวรุ่นแรกจริง ๆ ทำแผนที่สามมิติของ Reionization Bubble และตามหาหลุมดำคู่หรือ AGN จาง ๆ เพื่อไขความลับการก่อตัวของหลุมดำทั้งหมด ทั้งหมดนี้มุ่งไปที่จุดเดียวกัน คือการเปลี่ยน “บทนำจักรวาล” จากเรื่องเล่าเชิงปรัชญา ให้เป็นวิทยาศาสตร์ที่เราทดสอบได้จริง และ James Webb ก็กำลังพิสูจน์แล้วว่าเป็นไปได้จริง ๆ
การรวมข้อมูลเข้ากับอุปกรณ์อื่น ๆ
นอกจาก James Webb ที่ซูมลึกเข้าไปเห็นรายละเอียดของดาว กาแล็กซี และฝุ่นแล้ว เรายังมีเครื่องมืออื่นที่จะเข้ามาเติมเต็มภาพใหญ่ของจักรวาล เช่น SPHEREx ของ NASA ที่จะสำรวจท้องฟ้าเต็มทั้งฟ้าในย่านอินฟราเรดใกล้ กล้อง SPHEREx เริ่มต้นการทำงานทำแผนที่เอกภพ ส่งภาพชุดแรกกลับโลก แม้จะไม่ละเอียดเท่า Webb แต่จะให้ข้อมูลแบบกว้าง ครอบคลุมกาแล็กซีนับร้อยล้านดวงและสร้างแผนที่สามมิติของเอกภพยุคต้น สิ่งนี้จะช่วยตอบว่า Reionization กระจายตัวอย่างไร ใครคือผู้เล่นหลัก และทำไมบางย่านของเอกภพถึงสว่างจัดและก่อตัวดิสก์ได้เร็ว ในอีกด้านหนึ่ง Euclid ของ ESA ก็กำลังวาดแผนที่โครงสร้างขนาดใหญ่ของเอกภพเพื่อตามรอย Dark Energy และ Dark Matter ผ่านการวัดเลนส์โน้มถ่วงและการกระจายของกาแล็กซีเป็นพันล้านดวง ทำให้เราเข้าใจโครงสร้างใยจักรวาลในระดับมหภาคมากขึ้น กล้อง Euclid เปิดให้นักดาราศาสตร์ศึกษาข้อมูลชุดใหม่ ประกอบไปด้วยมากกว่า 380,000 กาแล็กซี
เมื่อภาพลึกของ Webb ถูกเชื่อมเข้ากับมุมกว้างจาก SPHEREx และโครงสร้างใหญ่จาก Euclid เราจะได้ “หนังสือเล่มใหม่” ที่เล่าเรื่องจักรวาลอย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่เพียงภาพซูมเข้าไปที่อิฐแต่ละก้อน หรือภาพลายเส้นคร่าว ๆ ของผนัง แต่เป็นทั้งแบบแปลน รายละเอียด และภูมิทัศน์ทั้งหมดที่เชื่อมถึงกัน การทำงานร่วมกันของทั้งสามภารกิจนี้จะทำให้ “บทนำของจักรวาล” หลุดพ้นจากการเป็นเพียงบทปรัชญา ไปสู่ วิทยาศาสตร์เชิงทดสอบได้จริง ที่เราตั้งสมมติฐานและตรวจสอบได้ทีละข้อ และนี่คือสิ่งที่ทำให้การเล่าเรื่องจักรวาลยุคนี้ต่างไปจากทุกยุคก่อนหน้า
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co