เมื่อปี 2025 Starship ระเบิดไปแล้ว 4 ลำ อะไรคือความท้าทายในการทดสอบ Starship เที่ยวบินที่ 10

ถ้ามองย้อนกลับมาตลอดปี 2025 ที่ผ่านมา เราคงพูดได้ไม่เต็มปากว่านี่คือ “ปีทอง” ของการทดสอบ Starship เพราะ SpaceX ทำยานระเบิดไปแล้ว 4 ลำ ตั้งแต่การบินขึ้นเหนืออ่าวเม็กซิโกในเที่ยวบินที่ 7 ไฟไหม้ในวงโคจรเที่ยวบินที่ 8 ความล้มเหลวในการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของเที่ยวบินที่ 9 จนถึงเหตุการณ์ระเบิดขณะ Static Fire ของ Starship หมายเลข 36 ที่ฐานปล่อย ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนว่า Block 2 ของ Starship เวอร์ชันใหม่ที่ปรับตั้งแต่ระบบกันความร้อน Flight Computer ไปจนถึงฮาร์ดแวร์เกือบทุกชิ้นอาจจะยังไม่เข้าที่เข้าทางอย่างที่ควร

Starship และ Super Heavy สำหรับการทดสอบในเที่ยวบินที่ 10 วันที่ 25 สิงหาคม 2025 ที่สุดท้ายถูกเลื่อนออกไป ที่มา – SpaceX

สิ่งนี้ต่างจากปี 2024 อย่างชัดเจน ที่ทุกการทดสอบดูจะก้าวหน้าเอา ๆ จนหลายคนคิดว่าความสำเร็จเริ่มเป็นเรื่อง “ปกติ” ของ SpaceX ไปแล้ว ที่ Starship จะบินข้ามไปอีกฝั่งของโลกและลงจอดอย่างสวยงามให้เราชมภาพที่ถ่ายทอดสดกลับมาผ่านกล้องที่ติดอยู่บนทุ่นลอยและส่งสัญญาณผ่านระบบ Starlink การเห็นยานระเบิดติดต่อกันหลายเที่ยวบินในปีนี้เลยทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมยิ่งพัฒนาเหมือนยิ่งแย่ลง คำตอบที่ตรงไปตรงมาก็คือ “ใช่” Starship แย่ลงจริง แต่ก็เพราะ SpaceX กำลังดันยานไปให้สุดลิมิตมากกว่าที่เคยทำ

Starship หมายเลข 37 ขณะถูกเคลื่อนย้ายไปยังฐานปล่อยเพื่อทดสอบ ที่มา SpaceX

หากมองไปที่ Super Heavy บูสเตอร์ เราจะเห็นเส้นทางที่ตรงกันข้าม เพราะปีก่อนคือจุดที่ SpaceX ค้นหาวิธีควบคุม แต่ปีนี้กลายเป็นช่วงเวลาที่การลงจอดแบบใหม่ด้วยแขนกล Mechazilla เริ่มนิ่งแล้ว หลังจากที่ปีก่อนยังมีหลุด ๆ ไปบ้าง และยังสำเร็จมาแล้วถึง 2 ครั้งจาก 3 ครั้ง โดยมีรอบเดียวที่ไม่สำเร็จคือในเที่ยวบิน 9 ช่วงเดือนพฤษภาคม หากนับรวมกับการทดสอบในปี 2024 เท่ากับว่า SpaceX ประสบความสำเร็จในการใช้ Mechazilla ไปแล้ว 3 ครั้ง ถือเป็นหลักฐานว่าอย่างน้อย “ครึ่งหนึ่ง” ของระบบ Starship เริ่มสร้างความมั่นใจให้กับทั้งทีมและสาธารณชน

Starship Block 2 ที่น่าจับตา แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จซักที

สิ่งที่น่าจับตามองในปีนี้คือ Starship Block 2 มากกว่า โดยในเที่ยวบินที่ 16 มกราคม 2025 ในเที่ยวบินทดสอบที่ 7 เราได้เห็นการทดสอบบินขึ้นครั้งแรกของ Starship รุ่น Block 2

Starship รุ่น Block 2 ถูกออกแบบให้ใกล้เคียงกับ Starship รุ่น Production มากขึ้น ความสูงเพิ่มเป็น 52.1 เมตร เชื้อเพลิงรวมขยับไปที่ 1,500 ตัน โครงสร้างถูกปรับใหม่ Flaps เล็กลงเหลือ 140 องศาเพื่อลดแรงต้าน ถังเชื้อเพลิงใช้ Elliptical Domes ที่ทนกว่าเดิม ระบบกันความร้อนก็จัดเต็ม Flight Computer ถูกอัปเกรด เชื่อมโยงกับ Starlink เต็มรูปแบบ มีกล้องกว่า 30 ตัวคอยเก็บข้อมูล Block 2 ยังใส่เครื่องยนต์ Raptor รุ่นใหม่ และท่อเชื้อเพลิงที่ออกแบบใหม่เพื่อรองรับการ เติมเชื้อเพลิงในอวกาศ และที่สำคัญมีระบบที่ใช้ทดสอบปล่อยดาวเทียม Starlink จำลอง ซึ่งจะช่วยให้ SpaecX ฝากความหวังในการปล่อย Starlink ไว้กับ Starship

การจับ Super Heavy ด้วยแขนกล Mechazilla ในเที่ยวบินที่ 8 ที่มา – SpaceX

อย่างไรก็ดีการบินขึ้นรอบแรกจบลงไวมาก เนื่องจากตัวยานได้เกิดหมุนมั่วและเริ่มต้นออกนอกทิศทาง จนเกิดการระเบิดทำให้เศษซากของมันแตกกระจายไปทั่วท้องฟ้าเหนือทะเลแคริเบียน ตามที่เรารายงานไปในบทความ สรุปเหตุการณ์ Starship เที่ยวบินทดสอบที่ 7 ระเบิดในวงโคจร ในการระเบิดครั้งนั้นนำมาซึ่งการวิเคราะห์ข้อมูลครั้งใหญ่ จนกระทั่งมีการเปิดเผย ผลการตรวจสอบ พบว่าเกิดจากไฟไหม้ในตัวยาน ต่อมา SpaceX ก็ได้ทดสอบ Starship อีกครั้งในเที่ยวบินที่ 8 ในวันที่ 6 มีนาคม 2025 ในรอบนี้ สัญญาณจากตัว Starship ขาดหายไปในประมาณนาทีที่ 10 หลังการปล่อย ภายหลังสรุปได้ว่าตัวยานดันหมุนมั่วบนวงโคจร ลำดับเหตุการณ์เที่ยวบินที่ 8 ของ Starship ที่จบลงด้วยยานหมุนมั่วบนวงโคจร ก่อนที่เราจะรู้ชะตากรรมต่อไปว่าตัวยาน ไม่รอด

จนกระทั่งในเที่ยวบินที่ 9 ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2025 ตัวยานก็ดันเกิดหมุนมั่วอีกแล้ว แต่รอบนี้ตัวยานดันสามารถประคองตัวเองกลับลงสู่บรรยากาศได้ แม้จะเร็วและควบคุมยากมาก ๆ แต่ด้วยความถึกทน เราก็ได้เห็นตัวยานค่อย ๆ ละลาย ชิ้นส่วนหลุดไปทีละชิ้น ก่อนที่ภาพจะตัดไปเมื่อ Starship อยู่ที่ระดับความสูงเหนือพื้นทะเลไม่มากนัก สรุปการทดสอบ Starship เที่ยวบิน 9 จรวดบินซ้ำสำเร็จ แต่ Starship ยังคงหมุนบนวงโคจร 

การบินขึ้นของ Starship และ Super Heavy ในเที่ยวบินที่ 9 รอบนี้ยังนับว่าเป็นครั้งแรกที่นำเอา Super Heavy กลับมาใช้ใหม่ ที่มา – SpaceX

ภายหลังพบว่าปัญหาหลายอย่างเกี่ยวข้องกันโดยเกิดเกิดการรั่วภายในระบบ ทำให้ถังเชื้อเพลิงหลักสูญเสียแรงดัน เรียกว่าการเกิด Main Tank Pressure Loss จนนำไปสู่การที่ตัวยานไม่สามารถประคับประคองตัวเองให้อยู่ในท่าที่ควรได้ สิ่งนี้นำมาสู่การทดสอบในเที่ยวบินที่ 10 ที่ในรอบนี้ ทุกคนล้วนหวังว่า SpaceX จะได้เรียนรู้จากการทำยานระเบิด 3 ลำติด

แต่ความมั่นใจนี้กลับถูกสั่นคลอนจากอุบัติเหตุการทดสอบจุดเครื่องยนต์บนพื้นดินหรือ Static Fire ของ Starship หมายเลข 36 ที่จะถูกเตรียมพร้อมสำหรับการทดสอเที่ยวบินที่ 10 ที่ระเบิดไปต่อหน้าต่อตาในวันที่ 18 มิถุนายน 2025 เนื่องจากความผิดพลาดของระบบปรับความดันในส่วนเชื้อเพลิง ทำให้นี่คือ Starship ลำที่ 4 ที่สังเวยให้กับสนามทดสอบในปีนี้

เที่ยวบินที่ 10 จึงกลายเป็น “ของจริง” ที่จะพิสูจน์ทิศทางทั้งหมด Flight Profile ครั้งนี้ถูกออกแบบให้เต็มไปด้วยการทดลอง ทั้งการ Landing Burn ของบูสเตอร์ที่ปิดเครื่องบางตัวเพื่อทดสอบ Fallback Mode การทดสอบการปล่อยดาวเทียมจำลอง Starlink การจุด Raptor อีกครั้งในอวกาศ และการ Stress Test แผ่นกันความร้อนด้วยการถอดบางส่วนออกหรือใช้วัสดุโลหะที่มีระบบ Active Cooling รวมถึงการติดตั้ง Catch Fittings เพื่อทดสอบความทนทานต่อความร้อนและแรงโครงสร้าง แม้จะยังไม่ถึงขั้น “จับยาน” กลับมาด้วยแขนกล ที่จริง ๆ ก็ควรจะเกิดขึ้นแล้ว แต่ก็ถือเป็นการปูทางสำคัญ

เที่ยวบินทดสอบที่ 10 ที่น่าจับตามองอย่างมาก

จุดเริ่มต้นของกางรทดสอบคือการที่ SpaceX เริ่มเอา Starship หมายเลข 37 ออกมาทดสอบ Static Fire อีกครั้งในช่วงเดือนกรกฎาคมจนถึงสิงหาคม โดยมีการทดสอบเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 31 กรกฎาคม และ 11 12 และ 13 สิงหาคม ตามลำดับ รอบนี้ตัวยานรอดชีวิตมาได้ และเตรียมพร้อมขึ้นแท่น พร้อมปล่อยร่วมกับ Super Heavy หมายเลข 16 โดยทั้งสองถูกลำเรียงมาติดตั้งบน Orbital Launch Platform ช่วงวันที่ 22-24 สิงหาคม 2025 เตรียมการทดสอบเที่ยวบินที่ 10

การทดสอบ Static Fire ของ Starship หมายเลข 37 ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2025 ที่มา – SpaceX

ที่สำคัญคือภารกิจนี้เลื่อนมาแล้วสองรอบ จาก 24 สิงหาคมมาเป็น 25 และล่าสุดขยับเป็น 26 สาเหตุครั้งแรกจากความพร้อมของระบบฐานปล่อย และครั้งที่สองเพราะสภาพอากาศ ปัจจัยที่สะท้อนว่าการทดสอบนี้ละเอียดอ่อนกว่าที่เห็น ซึ่งก็ต้องมารอดูกันผลการทสดอบในเที่ยวบินที่ 10 นั้นเป็นอย่างไร

แม้จะผ่านการระเบิดและความล้มเหลวหลายครั้ง แต่ SpaceX ก็ยังคงเดินหน้าทดสอบต่อไปทุกเที่ยวบิน เพราะแต่ละความล้มเหลวคือข้อมูลที่จะถูกป้อนกลับเข้าไปในกระบวนการออกแบบ หาก Starship เที่ยวบินที่ 10 ผ่านไปได้ด้วยดี มันอาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ยืนยันว่า Block 2 กำลังไปในทิศทางที่ถูกต้อง และถ้าไม่ผ่าน มันก็ยังเป็นการเรียนรู้ที่ SpaceX ต้องยอมรับในเกมแข่งกับเวลา

บรรยากาศการประกอบ Starship หมายเลข 37 เข้ากับ Super Heavy หมายเลข 16 ที่มา – SpaceX

ทั้งหมดนี้คือเดิมพันสำคัญว่าภายในไม่กี่ปีข้างหน้า Starship รุ่น HLS จะพร้อมพามนุษย์ลงจอดบนดวงจันทร์ใน Artemis III หรือไม่ แต่สิ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ “ความพร้อม” ไม่ได้หมายถึงการที่มันบินได้แค่ครั้งเดียวแล้วจบ หากแต่ต้องบินได้ซ้ำ บินได้อย่างปลอดภัย และที่สำคัญที่สุดคือบินได้ตามเส้นตายที่ NASA วางไว้ เพราะการพลาดแม้เพียงไม่กี่เดือนก็อาจทำให้ตารางภารกิจดวงจันทร์ทั้งระบบสะดุด ทุกสายตาจึงจับจ้องไปที่เที่ยวบินทดสอบแต่ละครั้ง ไม่ใช่แค่ว่ามันจะสำเร็จหรือระเบิด แต่จะตอบคำถามที่ใหญ่กว่านั้นได้หรือไม่

คำถามที่ว่า Starship จะกลายเป็นยานที่โลกพึ่งพาได้จริง ๆ หรือยังคงเป็นเพียงการทดลองที่ยังหาจุดลงตัวไม่ได้

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.