ความฝันที่พังทลายของอเมริกาในการศึกษาดาวหาง Halley

ดาวหาง Halley คือผู้มาเยือนจากห้วงอวกาศที่ปรากฏบนท้องฟ้าทุก ๆ 76 ปี ในปี 1986 วงการดาราศาสตร์ทั่วโลกต่างตื่นเต้นกับโอกาสอันหายากที่จะได้ศึกษาดาวหางในระยะใกล้ ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงเป็นภาพที่งดงาม แต่ยังเป็นกุญแจสู่ความเข้าใจต้นกำเนิดของระบบสุริยะ เมื่อดาวหางเคลื่อนเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ แรงดันจากลมสุริยะทำให้แกนน้ำแข็งของมันปลดปล่อยไอระเหยและฝุ่น อันเป็นที่มาของโคม่าสว่างไสวและหางที่ทอดยาวหลายล้านกิโลเมตร

หน่วยงานอวกาศทั่วโลกต่างเตรียมภารกิจเพื่อต้อนรับการมาเยือนของ Halley องค์การอวกาศยุโรป หรือ ESA ส่งยาน Giotto เข้าไปในระยะ 600 กิโลเมตรจากนิวเคลียสของดาวหาง สหภาพโซเวียตปล่อยยาน Vega 1 และ Vega 2 เพื่อศึกษาส่วนประกอบของมัน ขณะที่ญี่ปุ่นส่งยาน Suisei และ Sakigake เพื่อเก็บข้อมูลจากระยะไกล ทุกสายตาต่างจับจ้องการสำรวจครั้งนี้

ภาพของดาวหาง Halley จากยาน Giotto ที่มา – ESA

แต่ในบรรดาความเคลื่อนไหวระดับนานาชาติ กลับมีหนึ่งประเทศที่ขาดหายไปอย่างเห็นได้ชัด—สหรัฐอเมริกา ประเทศที่เคยส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ เคยส่งยาน Viking 1 และ 2 ไปดาวอังคาร และเป็นผู้นำด้านการสำรวจอวกาศ กลับไม่มีภารกิจสำคัญในการศึกษาดาวหาง Halley ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

ย้อนกลับไปในช่วงต้นทศวรรษ 1980 NASA ต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านงบประมาณ ในปี 1981 งบของหน่วยงานอยู่ที่ 5 พันล้านเหรียญฯ ซึ่งเมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อแล้วคิดเป็นประมาณ หนึ่งหมื่นห้าพันล้านเหรียญในปี 2023 ในขณะที่งบประมาณของ NASA ในปี 2023 อยู่ที่สองหมื่นห้าพันล้านเหรียญฯ ซึ่งมากกว่าสองเท่า (ดูงบประมาณของ NASA ได้ใน Every NASA Budget Request, from 1961 to Now)

อย่างไรก็ตามภายในงบประมาณที่จำกัดนั้น โครงการกระสวยอวกาศกลับเป็นภาระใหญ่ การปล่อยกระสวยแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายราว 450 ล้านเหรียญฯ และโครงการนี้ยังเผชิญกับความล่าช้าและต้นทุนที่บานปลาย รัฐบาล Ronald Reagan ซึ่งให้ความสำคัญกับโครงการกระสวยอวกาศอย่างมาก เพราะมันเป็นของใหม่ของ NASA ในตอนนั้น ทำให้ NASA ต้องเลือกตัดงบโครงการต่าง ๆ อย่างเจ็บปวด ภารกิจการสำรวจ Halley ซึ่งต้องใช้เวลาวางแผนหลายปีและต้องมีการพัฒนายานสำรวจเฉพาะทาง จึงถูกตัดออกไปอย่างน่าเสียดาย

แสงแห่งความหวัง Spartan Halley

ถึงแม้อเมริกาจะไม่มีภารกิจสำรวจ Halley โดยตรง แต่นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯก็ไม่ได้นิ่งเฉย พวกเขาคิดค้นทางเลือกที่เป็นไปได้ภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณ ภารกิจนั้นคือ Spartan Halley อุปกรณ์ขนาดเล็กที่ออกแบบมาให้ปล่อยสู่อวกาศด้วยแขนกลของกระสวยอวกาศ และเก็บข้อมูลของดาวหาง Halley ส่งกลับโลก

Spartan Halley หรือชื่ออย่างเป็นทางการ Spartan 203 เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ Spartan ซึ่งเป็นดาวเทียมทดลองทางวิทยาศาสตร์ขนาดเล็ก จุดเด่นของมันคือเครื่องมือสเปกโตรมิเตอร์รังสีอัลตราไวโอเลตสองตัว ที่สามารถวิเคราะห์และศึกษาโครงสร้งในส่วนโคม่าและหางของ Halley ได้ในย่านความถี่ที่ไม่สามารถศึกษาได้ด้วยกล้องโทรทรรศน์อวกาศภาคพื้นโลก โดยรายละเอียดอ่านได้ใน Spartan Halley Mission Design

อุปกรณ์การทดลอง Spartan 203 ที่ใช้ในการศึกษาดาวหาง Halley ที่จะถูกติดตั้งกับกระสวยอวกาศ ที่มา – NASA

หัวหน้าโครงการนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ Alan Stern นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์หนุ่มจากมหาวิทยาลัยโคโลราโด ผู้ที่ต่อมาจะเป็นหัวหน้าภารกิจ New Horizons ซึ่งสำรวจดาวพลูโตในเวลาต่อมา สำหรับ Alan Stern นั้น Spartan Halley เป็นก้าวแรกของเขาสู่การเป็นผู้นำโครงการอวกาศระดับโลก

ช่วงความยาวคลื่นที่ Spartan Halley ศึกษานั้นแตกต่างจากภารกิจสำรวจดาวหางอื่น ๆ ในยุคนั้น ตัวอย่างเช่น ยาน Giotto ของ ESA มีเครื่องมือ Visible and Infrared Spectrometer หรือ VIRS ที่สามารถตรวจจับแสงในช่วง 250–1000 นาโนเมตร ซึ่งมีความยาวคลื่นสูงกว่า Spartan Halley นั่นหมายความว่า Giotto อาจพลาดการสังเกตการณ์รังสีอัลตราไวโอเลตระยะไกลที่ Spartan Halley ออกแบบมาให้จับภาพโดยเฉพาะ

ภาพจาก Giotto ที่มา – ESA

ดังนั้น หาก Spartan Halley ประสบความสำเร็จ มันจะช่วยเติมเต็มข้อมูลที่ภารกิจอื่นไม่สามารถเก็บได้ และให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับองค์ประกอบและปฏิกิริยาเคมีในโคม่าของดาวหาง Halley

Spartan Halley เป็นภารกิจที่ถูกพัฒนาอย่างเร่งด่วนภายในระยะเวลาเพียง 18 เดือนก่อนปล่อย ทำให้ต้องอาศัยการใช้ฮาร์ดแวร์และการออกแบบที่มีอยู่แล้วให้มากที่สุด ทีมวิศวกรต้องสร้างสมดุลระหว่างเทคนิคการสังเกตการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสมที่สุด กับข้อจำกัดทางเทคนิคที่สามารถทำให้ภารกิจเกิดขึ้นได้จริง แนวทางนี้อาจเป็นแบบอย่างที่มีประโยชน์สำหรับโครงการดาวเทียมขนาดเล็กในอนาคต

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่มีการเลือกใช้แพลตฟอร์มของโครงการ Spartan ของ NASA Goddard Space Flight Center ที่มุ่งเน้นการสร้างยานอวกาศต้นทุนต่ำที่มีระบบสำรองน้อย (Single String Spacecraft) ซึ่งเติมเต็มช่องว่างระหว่างการส่งจรวด Sounding Rocket และดาวเทียมเต็มรูปแบบที่มีอายุใช้งานยาวนาน โดยใช้แนวทางที่เน้นการนำการออกแบบที่ผ่านการทดสอบมาแล้วมาประยุกต์ใช้กับยานที่สามารถส่งขึ้นไป ปล่อยออกจากกระสวยอวกาศ และนำกลับมาได้ ซึ่งจริง ๆ ถ้าพูดตามตรงมันก็คือแนวคิดของ CubeSat สมัยนี้

จนกระทั่งไม่กี่วันก่อนปล่อยชุดการทดลอง Spartan Halley ถูกติดตั้งอยู่ในกระสวยอวกาศพร้อมสำหรับภารกิจ นักบินอวกาศผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มข้น ฐานปล่อยจรวดถูกเตรียมพร้อม และนักวิทยาศาสตร์ต่างรอคอยผลลัพธ์ที่จะมาจากภารกิจนี้ และนี่จะเป็นการสำรวจดาวหาง Halley ครั้งแรกของสหรัฐฯ

วันที่ความฝันพังทลาย ผลกระทบที่ประเมินค่าไม่ได้

28 มกราคม 1986 วันที่ Spartan Halley จะเริ่มต้นการเดินทางก็มาถึง ถูกส่งไปพร้อมกับภารกิจ STS-51L ใช่ นั่นคือภารกิจสุดท้ายของกระสวยอวกาศ Challenger

Challenger ทะยานขึ้นจาก NASA Kennedy Space Center หลังจากนั้นเพียง 73 วินาทีหลังจากปล่อย ตัวกระสวยแตกเป็นเสี่ยง ๆ กลางท้องฟ้า ฟองควันและเปลวไฟที่ปรากฏบนหน้าจอทั่วโลกสะท้อนถึงโศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครคาดคิด O-ring บนจรวด Solid Rocket Booster นั้นเกิดความเสียหายและนำไปสู่การระเบิดที่คร่าชีวิตนักบินทั้ง 7 คน Spartan Halley ที่อยู่ในกระสวยอวกาศถูกทำลายไปพร้อมกับ Challenger ความหวังของอเมริกาในการศึกษาดาวหาง Halley หายไปในเศษซากที่ตกลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติก

ณ ตอนนั้นคงไม่มีใครสนใจอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์อีกแล้ว ความสูญเสียของลูกเรือทั้ง 7 คนนั้นสร้างความสะเทือนใจและทิ้งบาดแผลทางประวัติศาสตร์รอยสำคัญเอาไว้ให้กับวงการอวกาศสหรัฐฯ ตลอดกาล

ลูกเรือภารกิจ STS-51L ในขณะฝึกซ้อมสำหรับการเดินทาง ที่มา – NASA

หลังเหตุการณ์ Challenger NASA ต้องหยุดปฏิบัติการกระสวยอวกาศเป็นเวลากว่าสองปี เพื่อสืบสวนหาสาเหตุและออกแบบระบบความปลอดภัยใหม่ เมื่อนำกระสวยกลับมาใช้งานได้ Halley ก็เดินทางออกจากระบบสุริยะชั้นในไปแล้ว โอกาสศึกษามันอย่างใกล้ชิดได้ปิดลง

ในจักรวาลคู่ขนาน หาก Challenger ไม่ระเบิด Spartan Halley อาจเก็บข้อมูลสเปกตรัมในย่านอัลตราไวโอเลตที่จะช่วยเสริมข้อมูลการค้นพบของ Giotto และ Vega และที่สำคัญลูกเรือทั้ง 7 คนก็จะได้กลับบ้านมากอดครอบครัวอีกครั้ง ดาวหาง Halley จะกลับมาอีกครั้งในปี 2061 แต่สำหรับนักดาราศาสตร์ที่รอคอยข้อมูลในปี 1986 นี่คือการสูญเสียที่ไม่อาจประเมินค่าได้ และการรอคอยของครอบครัวของลูกเรือก็กลายเป็นการรอคอยตลอดกาล

จากบทเรียนสู่ภารกิจสำรวจดาวหางครั้งแรกของสหรัฐฯ

สหรัฐฯ ฟื้นตัวจากความสูญเสียในครั้งนั้น การเดินทางสู่อวกาศครั้งใหม่ ๆ ช่วยปลอบปะโลมความผิดพลาดในอดีต พาให้เราเดินทางไปยังดินแดนที่ไกลขึ้น ไม่ใช่แค่สำหรับโครงการกระสวยอวกาศที่ในปี 1988 กระสวยอวกาศ Discovery ได้บินขึ้นในภารกิจ STS-26 แต่สำหรับโครงการสำรวจดาวหางด้วยเช่นกัน

ในปี 1999 นั้น NASA ได้ส่งภารกิจ Stardust ไปสำรวจดาวหาง Wild 2 ซึ่งเป็นดาวหางที่เชื่อว่ามีต้นกำเนิดจากแถบไคเปอร์ และคาดว่าน่าจะถูกแรงโน้มถ่วงจากดาวพฤหัสบดี ลากมันเข้ามาให้อยู่ในระบบสุริยะชั้นใน Stardust เข้าใกล้ Wild 2 ในระยะ 236 กิโลเมตรเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2004 และเก็บตัวอย่างฝุ่นจากดาวหางสำเร็จ แคปซูลตัวอย่างถูกส่งกลับมายังโลกในปี 2006 นำมาซึ่งข้อมูลล้ำค่าที่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจองค์ประกอบของดาวหางได้ดีขึ้น

ยานอวกาศ Stardust ขณะพัฒนาโดย Lockheed Martin ที่มา – NASA

ความสำเร็จของ Stardust กลายเป็นจุดเริ่มต้นของภารกิจสำรวจดาวหางอื่น ๆ เช่น Deep Impact ในปี 2005 และ EPOXI ในปี 2010 หรือแม้กระทั่งภารกิจตระกูลดาวเคราะห์น้อยอย่าง OSIRIS-REx และ DART แสดงให้เห็นว่าวงการอวกาศอเมริกันสามารถฟื้นตัวจากโศกนาฏกรรมและเดินหน้าสู่การค้นพบใหม่ ๆ ได้เสมอ

เรื่องราวของ Spartan Halley เป็นเครื่องเตือนใจว่าการสำรวจอวกาศไม่เคยปราศจากความเสี่ยง โศกนาฏกรรม Challenger ไม่เพียงคร่าชีวิตลูกเรือทั้ง 7 แต่ยังขัดขวางการมีส่วนร่วมของอเมริกาในการศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชั่วชีวิต แต่แม้ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด การสำรวจอวกาศก็ยังดำเนินต่อไป วันนึงเราก็ได้สำรวจดาวหางในแบบที่เราต้องการ แม้จะไม่ใช่ Halley และ Alan Stern ในวัยหนุ่มตอนนั้นก็ได้กลายมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ผู้ผลักดันโครงการอย่าง New Horizons และการเดินทางสำรวจดาวพลูโต ลูกเรือทั้ง 7 คนเองก็ยังไม่ไปไหนและเป็นบทเรียนที่สำคัญที่ทำให้เราดูแลกันได้ดีขึ้น และเมื่อ Halley กลับมาในปี 2061 เราก็หวังว่าสหรัฐฯ จะได้ใช้โอกาสนี้ในการสำรวจ Halley อย่างคุ้มค่า จนกว่าจะถึงวันนั้น สิ่งที่เราทำได้คือการเฝ้ารออะไรบางอย่างอย่างมีความหวังเสมอ

แด่ Halley นักเดินทางที่จะกลับมาอีกครั้งในไม่ช้า

แด่ลูกเรือทั้ง 7 ผู้จากไปตลอดกาล แต่ยังคงอยู่ในใจเราเสมอ

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.