สรุปลูกเรือ Axiom Mission 4 ทำงานวิทยาศาสตร์อะไรบ้าง บนสถานีอวาศนานาชาติ

ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2025 ลูกเรือภารกิจ Axiom Mission 4 และยาน Dragon “Grace” ได้ถอนการเชื่อมต่อออกจากสถานีอวกาศนานาชาติ เป็นอันปิดฉากภารกิจสำรวจอวกาศเอกชนที่เดินทางไปยังสถานีอวากศนานาชาติภารกิจแรกและภารกิจเดียวของปี 2025 ของบริษัท Axiom Space โดยในบทความนี้เราจะมาสรุปกันว่ากิจกรรมการทดลองที่เกิดขึ้นบนสถานีฯ นั้นมีอะไรน่าสนใจบ้าง ผ่านรายงานของ Axiom Mission 4 Mission Blog

ยาน Dragon “Grace” ขณะทำ Final Approach เข้าเทียบท่าสถานีอวกาศนานาชาติ ที่มา – NASA

หลังจจากที่ Axiom Mission 4 เดินทางสู่สถานีอวกาศแล้ว หลังเลื่อนปล่อยมาหลายสัปดาห์ ตลอดเวลา 18 วันที่อยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติลูกเรือภารกิจ Axiom Mission 4 ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการภารกิจ Peggy Whitson จากสหรัฐฯ, Shubhanshu Shukla จากอินเดีย, Sławosz “Suave” Uznański-Wiśniewski จากโปแลนด์ และ Tibor Kapu จากฮังการี ได้สร้างสถิติใหม่ให้กับภารกิจเอกชนด้วยการดำเนินงานวิจัยกว่า 60 โครงการ พร้อมกับกิจกรรม Outreach มากกว่า 20 ครั้งทั่วโลก ผ่านการสื่อสารกับเยาวชน ผู้นำประเทศ และสื่อมวลชนในหลายทวีป

บรรยากาศการต้อนรับลูกเรือ Axiom Mission 4 ในวันแรกของการเดินทางถึง ที่มา – NASA

การทดลองครอบคลุมหลากหลายศาสตร์ตั้งแต่ชีวเวชศาสตร์ขั้นสูง พฤติกรรมมนุษย์ในสภาวะไร้น้ำหนัก เทคโนโลยีชีวภาพ พืชศาสตร์อวกาศ ไปจนถึงวัสดุนาโนรุ่นใหม่ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงไม่ถึงสามสัปดาห์ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีแรงโน้มถ่วง และในพื้นที่จำกัดเพียงไม่กี่ร้อยลูกบาศก์เมตรบนสถานีอวกาศนานาชาติ

อ่านบทความก่อนหน้าที่เราพูดถึงรายละเอียดที่ควรรู้และที่มาที่ไปของภารกิจได้ใน เจาะลึก Axiom Mission 4 ภารกิจอวกาศเอกชนที่สองของปี 2025

รวมการทดลองด้านวิทยาศาสตร์ และการแพทย์

หนึ่งในชุดงานที่โดดเด่นที่สุดของภารกิจนี้คือการทดลอง Cancer in LEO ซึ่งศึกษา organoid ของมะเร็งเต้านมชนิดรุนแรง โดยมีเป้าหมายเพื่อเข้าใจว่าเนื้อเยื่อมะเร็งมีพฤติกรรมอย่างไรใน microgravity และตอบสนองต่อการรักษาแบบใหม่อย่างไร ข้อมูลที่ได้อาจนำไปสู่การพัฒนายา Rebecsinib ซึ่งมีศักยภาพสูงในการจัดการกับเซลล์มะเร็งที่แพร่กระจาย ขณะเดียวกัน ทีมงานยังได้ทดสอบความแม่นยำของ Continuous Glucose Monitors หรือ CGMs ในสภาวะไร้น้ำหนัก เพื่อตรวจสอบว่าระบบตรวจระดับน้ำตาลในเลือดสามารถทำงานได้จริงในอวกาศหรือไม่ โดยมองไกลไปถึงเป้าหมายที่วันหนึ่ง ผู้ป่วยเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลินอาจสามารถเดินทางสู่อวกาศได้เช่นกัน และเพื่อให้ครอบคลุม กลุ่มนักวิจัยยังได้ทดลองความเสถียรของอินซูลินเอง เพื่อดูว่ายาสามารถรักษาคุณภาพในอุณหภูมิและแรงโน้มถ่วงที่แตกต่างจากโลกได้หรือไม่

นักบินอวกาศ Tibor Kapu และ Takuya Onishi ขณะกำลังช่วยกันนำเอาการทดลองจากยาน Dragon ติดตั้งเข้ากับตู้เย็นของตัวสถานีอวกาศนานาชาติ ที่มา – NASA

ในมิติเชิงชีววิทยา ทีมงานได้ทำงานอย่างลึกกับโครงการที่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น Space Microalgae และ Cyanobacteria Growth โดยทดลองเลี้ยงสาหร่ายและแบคทีเรียสังเคราะห์แสงใน Microgravity เพื่อเปรียบเทียบการเติบโต ความสามารถในการผลิตออกซิเจน โปรตีน และโมเลกุลทางพลังงานชีวภาพ เป้าหมายของการทดลองเหล่านี้คือการสร้างระบบรองรับชีวิต หรือ Life Support Systems ที่ยั่งยืนในอวกาศ สาหร่ายบางสายพันธุ์อาจไม่ใช่แค่ “อาหารอนาคต” แต่ยังอาจเป็น “เครื่องผลิตอากาศ” ให้กับภารกิจสู่ดวงจันทร์หรือดาวอังคารอีกด้วย

ในอีกด้านของความเป็นมนุษย์ ทีมงานได้ดำเนินโครงการ Myogenesis เพื่อตรวจสอบกลไกของการเสื่อมของกล้ามเนื้อโครงร่างในอวกาศ ซึ่งถือเป็นปัญหาหลักสำหรับภารกิจระยะยาว เนื่องจากการไม่มีแรงต้านของแรงโน้มถ่วงทำให้กล้ามเนื้อสลายตัวเร็วมากกว่าบนโลก การเข้าใจระดับ Cellular Pathway ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการออกแบบแนวทางรักษาหรือป้องกันกล้ามเนื้อฝ่อลีบ โดยมีการใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ Neuromuscular Electrical Stimulation เพื่อทดลองวิธีชะลอการสลายของกล้ามเนื้อในระยะยาว

งานวิจัยด้านสมองและพฤติกรรมมนุษย์ก็เป็นอีกหนึ่งหัวใจหลักของภารกิจ เช่น Neuromotion VR ที่ผสานการใช้ VR headset กับหมวกตรวจวัดการไหลเวียนเลือดในสมอง (ผ่าน fNIRS) เพื่อดูว่า Microgravity มีผลต่อความสามารถในการโฟกัส การเคลื่อนไหว และการตอบสนองต่อความเครียดอย่างไร โครงการนี้ไม่ได้มองแค่ในเชิงวิทยาศาสตร์สมอง แต่ยังมีเป้าหมายเชิงเทคโนโลยีในอนาคต เช่น การพัฒนา Brain-Computer Interface สำหรับใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือในภารกิจที่ไม่สามารถใช้มือได้ ขณะที่อีกหนึ่งงานอย่าง EEG Neurofeedback ก็เป็นการทดลอง “ฝึกสมอง” ด้วยเทคนิคคลื่นไฟฟ้าสมอง เพื่อดูว่านักบินอวกาศสามารถควบคุมสภาวะตนเองและเพิ่มประสิทธิภาพผ่านการกระตุ้นสมองได้จริงหรือไม่

Peggy Whitson และ Sławosz Uznański-Wiśniewsk ขณะจัดการกับการทดลองจำนวนมาก ที่มา – NASA

ทีมยังมีส่วนร่วมในโครงการวัดการรับรู้ของมนุษย์ เช่น ENPERCHAR ที่ดูว่าความสามารถในการรับรู้ตำแหน่งตัวเองในพื้นที่ (Spatial Orientation) และการตระหนักรู้ถึงสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเมื่ออยู่ในอวกาศ และ Voyager Displays ซึ่งประเมินการเคลื่อนไหวของดวงตาและการควบคุมการจ้องมองบนหน้าจอ ข้อมูลเหล่านี้สำคัญต่อการออกแบบ Interface ยุคใหม่สำหรับยานอวกาศ ที่ต้องสามารถตอบสนองต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่มี “บน” และ “ล่าง”

การศึกษาเรื่องสุขภาพจิตก็ไม่ถูกมองข้าม AstroMentalHealth บันทึกสถานะทางอารมณ์ของลูกเรือผ่านการสัมภาษณ์รายวัน วิดีโอไดอารี และแบบสอบถามอย่างละเอียด เพื่อเข้าใจว่าชีวิตในวงโคจรส่งผลต่อสุขภาวะทางใจอย่างไรในระยะกลางและระยะยาว ซึ่งเป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับการพัฒนาระบบดูแลนักบินอวกาศในอนาคต

ผู้บัญชาการ Peggy Whitson แห่ง Axiom Mission 4 และ Nichole Ayers แห่ง Expedition 73 ที่มา – NASA

นอกจากนี้ยังมีการเก็บข้อมูลด้านสุขภาพเชิงลึกอีกหลายชุด เช่น Immune Multiomics, Human Gut Microbiota, Microbiome Profiling และการใช้ Telemetric Health AI ในการรวบรวมข้อมูลชีวภาพจากหลายอุปกรณ์ และวิเคราะห์ด้วยเทคนิค data science เพื่อสร้างระบบวินิจฉัยสุขภาพแบบเรียลไทม์ในอนาคต ทั้งสำหรับในอวกาศและบนโลก

อีกด้านหนึ่งที่น่าสนใจคือการทดลอง Suite Ride Initiative ที่มีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์ว่า ผู้ที่เคยถูก “ตัดสิทธิ์” จากการเป็นนักบินอวกาศในอดีตจากปัจจัยทางการแพทย์บางอย่าง เช่น เบาหวานหรือภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง อาจสามารถร่วมภารกิจได้ในอนาคตหากมีเครื่องมือหรือวิธีจัดการสุขภาพที่เหมาะสม นี่คือการเปิดพรมแดนใหม่ให้กับ “ความเป็นไปได้” ในการเข้าถึงอวกาศของมนุษย์

สุดท้าย ภารกิจ Ax-4 ยังเป็นพื้นที่ทดสอบเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง Mxene in LEO ซึ่งเป็นการทดลองใช้วัสดุนาโนแบบ 2D (ultra-thin 2D inorganic compounds) ในเซ็นเซอร์ชีวภาพแบบสวมใส่ เพื่อศึกษาความทนทาน การใช้งาน และศักยภาพในการใช้งานด้านสุขภาพ ทั้งในอวกาศและภาคการแพทย์บนโลก เช่น ระบบวัดสุขภาพผู้ป่วยแบบไม่ต้องรุกล้ำ

การใช้ภารกิจอวกาศเป็นสะพานเชื่อมกันคนบนโลก

แม้เป้าหมายหลักของภารกิจ Ax-4 คือการขับเคลื่อนงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นควบคู่ตลอด 18 วันที่ลูกเรืออยู่บนสถานีอวกาศ คือการสื่อสารกับผู้คนบนโลกอย่างต่อเนื่อง ผ่านกิจกรรม Outreach หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การพูดคุยกับเยาวชนในห้องเรียน การถ่ายทอดสดกับนักข่าว และการแสดงตัวตนในมิติที่เป็นมนุษย์ปุถุชน ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าภารกิจอวกาศสมัยใหม่ไม่ได้สื่อสารผ่านกราฟและสมการเท่านั้น แต่ต้องใช้ “เรื่องเล่า” และ “ความเป็นตัวตน” เป็นสะพานให้คนทั่วไปเข้าถึงได้

หนึ่งในกิจกรรมเด่นที่สุดคือการที่นักบินอวกาศ Sławosz “Suave” Uznański เชื่อมต่อกับเด็กนักเรียนกว่า 300 คนในโปแลนด์ผ่านวิดีโอคอลจากอวกาศ พร้อมทั้งสาธิตการทดลอง STEM แบบง่าย ๆ บนสถานี และเล่าเรื่องราวเส้นทางสู่การเป็นนักบินอวกาศอย่างเปิดเผยและจริงใจ เป็นการกระตุ้นความฝันในระดับประเทศว่า “โปแลนด์ก็ทำได้” และอาจเปิดทางให้อีกหลายประเทศในยุโรปกลางกลับมาอยู่ในบทสนทนาอวกาศอีกครั้งหลังห่างหายไปหลายทศวรรษ

บรรยากาศการระบประทานอาหารร่วมกันของลูกเรือ Expedition 73 และ Axiom Mission 4 ที่มา – Axiom Space

ในขณะเดียวกัน Tibor Kapu จากฮังการี ก็มีบทบาทคล้ายกันกับการเล่าถึงอาหารประจำชาติที่เขานำขึ้นไปกินในอวกาศ และมีแผนจะต่อยอดความร่วมมือกับภาคการศึกษาในฮังการีเมื่อกลับถึงโลก กิจกรรมเล็ก ๆ อย่างการพูดถึงเมนูอาหารหรือการโชว์ภาพถ่ายจากหน้าต่างสถานี คือ “มนุษยธรรม” ที่ทำให้อวกาศไม่เย็นชา ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ล้วน แต่มีรสชาติและกลิ่นบ้านเกิดผสมอยู่

อีกหนึ่งโมเมนต์สำคัญคือการที่ลูกเรือทั้งหมดเข้าร่วมสัมภาษณ์กับ CNN International ซึ่งถือเป็นการเปิดพื้นที่ให้คนทั่วโลกได้ฟังเสียงของนักบินอวกาศจากหลายเชื้อชาติในเวลาเดียวกัน เป็นการตอกย้ำว่าอวกาศยุคนี้ไม่ใช่ของ NASA หรือมหาอำนาจรายใดรายหนึ่งอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นเวทีที่เปิดกว้างให้ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ศาสตร์ และภาษาร่วมเล่นได้เท่าเทียมกัน Shubhanshu Shukla จากอินเดีย ยังได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการ พูดคุยกับ Narendra Modi นายกรัฐมนตรีอินเดียพร้อมถ่ายทอดสดด้วยเช่นกัน

Shubhanshu Shukla ขณะกำลังเตรียมตัวพูดคุยสดกับ Narendra Modi นายกรัฐมนตรีอินเดียในโมดูล Kibo ของญี่ปุ่น ที่มา – NASA

ไม่เพียงเท่านั้น Axiom Space ยังจัดการสนทนาพิเศษระหว่าง Peggy Whitson กับตัวแทนจากรัฐเท็กซัส ที่รวมทั้งภาครัฐ องค์กรวิจัย และกลุ่มพัฒนาเศรษฐกิจอวกาศ เพื่อพูดคุยถึงบทบาทของเท็กซัสในฐานะศูนย์กลางของอุตสาหกรรมอวกาศเชิงพาณิชย์ในอเมริกา และพูดคุยกันสด ๆ กับนักบินอวกาศที่ลอยอยู่เหนือโลก ถือเป็นอีกหนึ่งการใช้ “คนบนสถานีฯ” มาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายและเศรษฐกิจระดับท้องถิ่น

ผู้บัญชาการ Peggy Whitson ในโมดูล Cupola ของสถานีอวกาศนานาชาติ ที่มา – Axiom Space

ตลอดภารกิจ ลูกเรือยังได้บันทึกวิดีโอ ตอบคำถาม Q&A กับ Lucie Low ผู้เป็น Chief Scientist ของ Axiom และเชื่อมโยงกับผู้คนในแต่ละประเทศผ่านกิจกรรมที่ปรับให้เข้ากับบริบททางวัฒนธรรมของตนเอง ยกตัวอย่างเช่นการแชร์อาหารประจำชาติ พูดถึงแรงบันดาลใจส่วนตัว และแม้กระทั่งเล่าถึงชีวิตประจำวันบนสถานีว่ากินอย่างไร พักผ่อนแบบไหน ซึ่งเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่ทำให้คนดูรู้สึกว่าอวกาศ “ไม่ไกลเกินไป”

อีกหนึ่งภารกิจที่สะท้อนถึงการเข้าถึงอวกาศเอกชน

หลังจากใช้เวลาเกือบสามสัปดาห์บนวงโคจร ลูกเรือภารกิจ Axiom Mission 4 ก็เสร็จสิ้นภารกิจของตนอย่างเป็นทางการ และเตรียมเดินทางกลับสู่โลกในค่ำวันที่ 14 กรกฎาคม 2025 โดยยาน Dragon “Grace” จะทำการถอดตัวออกจากสถานีอวกาศนานาชาติในช่วงเย็น ก่อนเข้าสู่กระบวนการ Re-entry และลงจอดในมหาสมุทรแปซิฟิกตามแผนที่วางไว้ พร้อมขนส่งผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์บางส่วนกลับมายังโลกเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการวิเคราะห์ต่อไป

ลูกเรือ Axiom Mission 4 ถ่ายภาพร่วมกับลูกเรือ Expedition 73 บนสถานีอวกาศนานาชาติ ที่มา – NASA

ภารกิจนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน และตลอดระยะเวลา 18 วันที่อยู่บนสถานีฯ นักบินอวกาศทั้ง 4 จากสหรัฐอเมริกา อินเดีย ฮังการี และโปแลนด์ ได้ร่วมกันทำงานวิจัยด้านชีววิทยา วัสดุศาสตร์ พฤติกรรมมนุษย์ และระบบเทคโนโลยีอวกาศอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนผ่านกิจกรรม Outreach หลายรูปแบบ ทำให้ Axiom Mission 4 กลายเป็นอีกหนึ่งภารกิจอวกาศเอกชนที่ทิ้งรอยเท้าไว้ในหลายมิติ ทั้งวิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม

การเดินทางกลับของลูกเรือ Ax-4 ยังเป็นหมุดหมายสำคัญในการเคลียร์พื้นที่บนสถานีฯ เพื่อรอต้อนรับลูกเรือชุดใหม่ในภารกิจ Crew-11 ซึ่งมีกำหนดเดินทางขึ้นในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความหนาแน่นของตารางปฏิบัติภารกิจในช่วงกลางปี และความคึกคักของยุคใหม่ที่สถานีอวกาศนานาชาติในช่วงห้าปีสุดท้ายของมัน

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.