นักดาราศาสตร์บันทึกสัญญาณจากดาวที่เป็นดาวคู่ Companion ของ Betelgeuse ได้เป็นครั้งแรก

Betelgeuse หรือชื่อทางการว่า Alpha Orionis เป็นหนึ่งในดาวฤกษ์ที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักดี เพราะมันคือดาวแดงยักษ์ (Red Supergiant) ที่อยู่ในกลุ่มดาวนายพราน และสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในยามค่ำคืน เป็นหนึ่งในดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในท้องฟ้าทั้งหมด เป็นเป้าหมายของการศึกษาทางดาราศาสตร์มายาวนานนับศตวรรษ แต่ล่าสุด การค้นพบใหม่อาจทำให้ภาพจำที่เรามีต่อ Betelgeuse ต้องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อนักดาราศาสตร์เสนอว่ามันอาจไม่ได้อยู่ตัวเดียวในห้วงอวกาศ หากแต่มี “ดาวคู่” หรือ “Binary” ที่โคจรรอบมันอยู่ตลอดเวลากว่า 6 ปีต่อรอบ

การค้นพบนี้มาจากการศึกษาของทีมวิจัยจาก NASA และ Caltech ที่เผยแพร่ใน The Probable Direct-Imaging Detection of the Stellar Companion to Betelgeuse งานวิจัยนี้ใช้ข้อมูลจากการสังเกตการณ์ด้วยกล้องโทรทรรศน์ Gemini North บนยอดเขา Maunakea ในฮาวาย ซึ่งมีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 4,200 เมตร และได้รับการสนับสนุนโดยตรงจาก National Science Foundation ของสหรัฐอเมริกา

ภาพแสดงตำแหน่งของดาว Companion จากข้อมูลของกล้อง Alopeke ซึ่งเกิดจากการตีความข้อมูลและแปลงสัญญาณ ที่มา – International Gemini Observatory/NOIRLab/NSF/AURA

อุปกรณ์ที่ใช้ในการค้นพบนี้ชื่อว่า “Alopeke” ซึ่งเป็นอุปกรณ์บันทึกสัญญาณจากวัตถุบนท้องฟ้าที่ติดตั้งกับกล้องโทรทรรศน์ขนาดกระจก 8 เมตร ถ่ายภาพความละเอียดสูงแบบ Speckle Imaging ใช้เทคนิคการถ่ายภาพหลายพันเฟรมสั้น ๆ ประมาณ 10-60 มิลลิวินาที เพื่อลดผลกระทบจากบรรยากาศโลก จากนั้นนำข้อมูลทั้งหมดมาประมวลผลด้วย Fourier Transformation เพื่อใช้โมเดลทางคณิตศาสตร์สร้างภาพที่ใกล้เคียงขีดจำกัดของ Diffraction Limit หรือขีดจำกัดทางกายภาพของความละเอียดหรือ Resolution ที่กล้องหรือกล้องโทรทรรศน์สามารถมองเห็นได้ อธิบายง่าย ๆ คือ ไม่ว่ากล้องจะดีแค่ไหน มันจะมองวัตถุเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้กันเกินกว่าระยะหนึ่งไม่ได้ เพราะแสงจากวัตถุสองจุดจะ “เบลอ” จนแยกกันไม่ออก

Betelguse เป็นที่สนใจอย่างมากในช่วงหลังปี 2020 ที่เกิดเหตุการณ์ Great Dimming ที่ Betelgeuse ลดความสว่างลงอย่างผิดปกติ ซึ่งเราคิดถึงช่วงนั้นมากและมันสนุกมากอยากให้ย้อนกลับไปอ่าน Betelgeuse ยังไม่ระเบิดหรอก สรุปทุกอย่างที่เรารู้ และ สรุปคลายข้อสงสัย Betelgeuse สว่างลดลง ข้อมูลจากฮับเบิลเผย เพียงแค่มีฝุ่นบัง จนทำให้คนที่รอดู Betelgeuse ระเบิดต้องแยกย้ายกลับบ้านไป ในขณะที่นักดาราศาสตร์ทีมอื่น ๆ ยังคงเฝ้าสังเกตถึงพฤติกรรมหลาย ๆ อย่างของมันอยู่ เพื่อไขปริศนาการมีตัวตนของดาว Companion การสังเกตการณ์เกิดขึ้นสองช่วงคือในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ซึ่งเป็นช่วง Great Dimming และในเดือนธันวาคม 2024 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทำนายว่า Companion จะอยู่ในตำแหน่ง Elongation สูงสุด หรือจุดที่ห่างจากตัว Betelgeuse มากที่สุดเมื่อมองจากโลก ซึ่งก็จะช่วยให้เราสังเกตการณ์มันได้ง่ายขึ้น

ทำไมเราจึงคิดว่า Betelguse น่าจะเป็นดาวคู่แต่แรก

อย่างที่เราทราบกันดี การที่ดาวฤกษ์อยู่ร่วมกันเป็นคู่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรในเอกภพนี้ งานวิจัยดาราศาสตร์เชิงสังเกตจำนวนมาก พบว่ากว่า 50% ของดาวฤกษ์มวลมาก มักจะอยู่ในระบบดาวคู่หรือระบบหลายดาว โดยเฉพาะดาวประเภท O และ B ซึ่งมีอัตราการอยู่เป็น Binary สูงถึง 70–80% เลยทีเดียว แม้แต่ดาวคล้ายดวงอาทิตย์ก็มีโอกาสเป็น Binary ถึงประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนทั้งหมด ซึ่งหมายความว่า ในสเกลจักรวาล “ดาวเดี่ยว” อาจเป็นข้อยกเว้นมากกว่ากฎ และการพิจารณาว่าดาวฤกษ์ใดมี Companion หรือไม่ จึงไม่ใช่แค่คำถามทางทฤษฎี แต่เป็นหัวใจของการเข้าใจวิวัฒนาการของดาว ระบบดาวเคราะห์ และซูเปอร์โนวา โดยเราเคยเล่าเรื่องนี้ไปใน สรุปแล้วดวงดาวในจักรวาล อยู่เป็นคู่หรืออยู่อย่างโดดเดี่ยว

แนวคิดว่า Betelgeuse อาจเป็นดาวคู่เป็นคำถามที่อยู่ในวงการดาราศาสตร์มานานกว่าศตวรรษ โดยมีการเสนอครั้งแรกในบริบทของ Spectroscopic Binary ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ในงานวิจัยชื่อ Radial Velocity and Astrometric Evidence for a Close Companion to Betelgeuse ในช่วงปลายปี 2024 ได้มีการนำข้อมูลกว่า 100 ปีของการวัด Radial Velocity, ความสว่างในแถบตามองเห็น, และตำแหน่งเชิงมุมของ Betelgeuse มารีวิเคราะห์ใหม่

Gemini North บนยอดเขา Maunakea ในฮาวาย กับกล้องโทรทรรศน์ขนาด 8 เมตรที่ใช้สร้างการค้นพบ ที่มา – International Gemini Observatory/NOIRLab/NSF/AURA

นักวิจัยพบว่าแม้ Betelgeuse จะมีการเปลี่ยนแปลงแบบ Stochastic จาก Convection หรือการไหลเวียนที่รุนแรงในชั้นบรรยากาศและการเต้นแบบ Quasiperiodic ตามคาบ Pulsation หลักหลายร้อยวัน แต่ยังมีสัญญาณชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงในระดับ Long Secondary Period หรือ LSP หรือ รูปแบบของความแปรปรวนในแสงของดาวฤกษ์ที่ยังไม่สามารถอธิบายได้แน่ชัดด้วยกลไกภายในดาวเพียงอย่างเดียว โดย LSP ที่คำนวณออกมาได้นั้นอยู่ที่ประมาณ 5.78 ปี 

ข้อมูลดังกล่าวตรงกันทั้งในชุดข้อมูลตำแหน่งและความเร็วแนวเล็ง นี่คือสัญญาณที่สื่อถึง “แรงดึงดูดแบบแฝง” ที่ไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมของดาวดวงเดียว และทีมวิจัยก็เสนอว่าสิ่งที่น่าจะอยู่เบื้องหลังคือ Companion ที่มีมวลน้อยกว่ามันมากและโคจรอยู่ห่างจากศูนย์กลางของ Betelgeuse เพียงสองเท่าของรัศมีมันเอง เรียกได้ว่าแทบจะ “จมอยู่ในบรรยากาศ” ของยักษ์แดงดวงนี้

และหากแบบจำลองนี้ถูกต้องจริง มันไม่ได้จบแค่เรื่องดาวคู่ แต่หมายถึงว่า อีกไม่เกิน 10,000 ปี ดาวลูกคู่นี้จะถูกกลืนโดย Betelgeuse กลายเป็นซูเปอร์โนวาที่มีความรุนแรงสูงมาก ๆ และกลายเป็นดาวนิวตรอนคู่ในอนาคต ทั้งหมดนี้อาจเกิดขึ้นกับดาวที่เราคุ้นตาที่สุดในท้องฟ้าโดยที่เราเพิ่งจะเข้าใจมันอย่างจริงจังวันนี้เอง

ความพยายามในการแยกแสงเพื่อหาดาวคู่ที่ถูกแย่งซีนโดยแสงของดาวแม่

ในการศึกษาช่วงปี 2020 นักวิจัยไม่พบวัตถุใด ๆ ใกล้ Betelgeuse ซึ่งสอดคล้องกับแบบจำลองที่บอกว่า Companion ควรถูกบดบังอยู่ด้านหลังดาวหลัก แต่ในปี 2024 เพียง 3 วันหลังจากช่วง Elongation ทีมงานพบสัญญาณของวัตถุจาง ๆ ที่ตำแหน่งห่างจาก Betelgeuse ไปประมาณ 52 Milliarcseconds ที่มุม 115 องศาตะวันออกของทิศเหนือ โดยมีความสว่างจางกว่าถึง 6 Magnitude ในช่วงความยาวคลื่น 466 นาโนเมตร หรือในแถบสีฟ้าของแสงที่ตามนุษย์มองเห็นได้

การค้นพบสัญญาณของวัตถุจาง ๆ ในช่วงปี 2024 ที่ควรจะเป็นช่วง Elongation ที่ดาวออกห่างจากดาวแม่ที่สุด ที่มา – International Gemini Observatory/NOIRLab/NSF/AURA

การตรวจจับวัตถุดังกล่าวแม้จะมีระดับความเชื่อมั่นเพียง 1.5 Sigma เท่านั้น (แปลว่าโอกาสที่สิ่งที่เราเห็นจะเกิดขึ้น “โดยบังเอิญ” Noise หรือ Background Fluctuation ยังสูงอยู่ถึงประมาณ 13–14% หรือเราเชื่อได้ประมาณ 80%) แต่ตำแหน่ง มุม ความสว่าง และเวลาที่ปรากฏล้วนตรงเป๊ะกับหลายเปเปอร์ก่อนหน้าที่ใช้ข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศอย่าง Hubble ใน Betelgeuse, Betelgeuse, Betelgeuse, Betel-buddy? Constraints on the dynamical companion to α Orionis from HST ซึ่งเคยศึกษา Betelgeuse มาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยพวกเขาเสนอว่า Betelgeuse อาจมี Companion ที่มวลประมาณ 0.6-2 เท่าของดวงอาทิตย์ของเรา โคจรในระยะห่างประมาณ 0.06 Arcsec และเป็นต้นเหตุของพฤติกรรม Photometric Modulation ที่มีคาบยาว 6 ปี ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยการสั่นของตัวดาวตามปกติ

และแน่นอนว่างานวิทยาศาสตร์ที่ดี ต้องพยายาม Counter มันให้ได้ว่ามันไม่ได้มาจากอย่างอื่นแน่ ๆ โดยทีมงานพยายามตัดข้อสงสัยว่า Detection นี้อาจเป็นดาวฉากหลังหรือดาวเบื้องหน้าที่โผล่มาตรงตำแหน่งพอดี โดยใช้ข้อมูล Proper Motion ของ Betelgeuse ซึ่งเคลื่อนที่ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือกว่า 0.12 Arcsec ตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา หากวัตถุดังกล่าวเป็นดาวฉากหลัง มันควรจะถูกแยกเห็นชัดเจนตั้งแต่ในปี 2020 แล้ว แต่กลับไม่มีสัญญาณใด ๆ จึงเป็นไปได้สูงว่าวัตถุนี้เป็นวัตถุที่โคจรรอบ Betelgeuse จริง ไม่ได้เป็นดาวอื่นมาก่อกวน

ลักษณะทางกายภาพ และการถกเถียงถึงขนาดที่แท้จริง

การวิเคราะห์ค่าความสว่างใน Filter B-band ประมาณการว่าดาวดวงนี้มี Absolute Magnitude อยู่ที่ประมาณ 2.4 บวกลบไม่เกิน 1 ซึ่งเมื่อนำไปวางบน Isochrone ของดาวที่มีอายุประมาณ 10 ล้านปี จะได้ค่ามวลประมาณ 1.6 เท่าของดวงอาทิตย์ และอุณหภูมิพื้นผิวประมาณ 7400 เคลวิน แต่ด้วยค่าความไม่แน่นอนของความสว่างที่บวกลบถึง 1 Magnitude ทำให้ยังเปิดกว้างว่าดาวดวงนี้อาจมีมวลต่ำกว่านั้นมาก

บางวิจัยในช่วงปี 2024 งานเช่น A Buddy for Betelgeuse: Binarity as the Origin of the Long Secondary Period in α Orionis ใช้ข้อมูลจาก FUV และ X-ray constraints ประเมินว่าดาว Companion อาจมีมวลแค่ 0.4-0.6 เท่าของดวงอาทิตย์เท่านั้น และอาจเป็นดาว Pre-Main-Sequence ที่ยังไม่เข้าสู่สถานะสมดุลสมบูรณ์ เหมือนเป็น “เด็กกำลังโต” ก่อนที่จะเข้าสู่ Main Sequence หรือช่วงที่ดาวผลิตพลังงานจากปฏิกิริยา ฟิวชันของไฮโดรเจนในแกนกลางอย่างเสถียร ซึ่งเป็นช่วงที่ยาวที่สุดในชีวิตของดาวฤกษ์ทั่วไป

หากการค้นพบนี้ได้รับการยืนยันในรอบ Elongation ถัดไปในปี 2027 หรือด้วยกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่กว่าที่ ณ​ ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้าง เช่น Extremely Large Telescope หรือ ELT ของยุโรป และ Thirty Meter Telescope หรือ TMT ของสหรัฐฯ นี่จะเป็นครั้งแรกที่เรายืนยันการมีอยู่ของ Companion ในระบบ Red Supergiant ที่ใกล้โลกที่สุดอย่าง Betelgeuse ได้สำเร็จ

กล้อง Extremely Large Telescope หรือ ELT ของ European Southern Observatory ที่จะเป็นกล้องโทรทรรศน์ภาคพื้นโลกแห่งอนาคต ที่ ณ ตอนนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ที่มา – ESO

มากไปกว่านั้น การค้นพบนี้ยังตอกย้ำความแข็งแกร่งของโครงสร้างวิจัยดาราศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา ที่ไม่ใช่แค่ด้าน Space Telescope หรือกล้องโทรทรรศน์อวกาศอย่าง Hubble, James Webb แต่รวมถึงการลงทุนในกล้องโทรทรรศน์ภาคพื้นดินบนยอดเขาสูง การพัฒนาเทคโนโลยีการถ่ายภาพความละเอียดสูง การวางระบบการเก็บข้อมูลระยะยาว โดยข้อมูลหลายชิ้น เป็นการรวบรวมมาตั้งแต่ยุคของหอดูดาว Lick Observatory และ Wilson Observatory ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของพัฒนาการด้านดาราศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา

การค้นพบว่าจริง ๆ แล้วมีคู่นะ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เกิดขึ้นเป็นปกติ

เหตุการณ์ที่นักดาราศาสตร์ค้นพบว่าดาวฤกษ์ที่เราคิดว่าเป็น “ดาวเดี่ยว” มาตลอด จริง ๆ แล้วเป็นระบบดาวคู่นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ และเคยเกิดขึ้นกับดาวที่โด่งดังหลายดวงในประวัติศาสตร์ เช่นกรณีของ Sirius ดาวที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้ายามค่ำคืน The discovery of Sirius B: a case of strategy or serendipity ได้บันทึกว่าในปี 1844 นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ Friedrich Bessel สังเกตเห็นความผิดปกติเล็ก ๆ ในตำแหน่งของ Sirius เมื่อเวลาผ่านไป และตั้งสมมติฐานว่าอาจมีวัตถุมืด ๆ บางอย่างโคจรร่วมอยู่ด้วย แม้ว่าตอนนั้นจะยังไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถมองเห็น Companion ได้โดยตรง กระทั่งในปี 1862 Alvan Clark ใช้กล้องโทรทรรศน์ที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นถ่ายภาพ Sirius B ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก มันคือดาวแคระขาว หรือ White Dwarf ที่จางจนแทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ทั้งที่อยู่ใกล้โลกเพียง 8.6 ปีแสง และเป็นเพื่อนร่วมทางของดาวฤกษ์ที่คนทั้งโลกรู้จักมานานหลายพันปี

การค้นพบลักษณะนี้ทำให้นักดาราศาสตร์เริ่มตระหนักว่า ท้องฟ้าที่เรามองเห็นด้วยตาเปล่าอาจซ่อนระบบซับซ้อนกว่าที่เราคิดไว้มาก และทุกการตรวจจับด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็มีโอกาสเปลี่ยนความเข้าใจพื้นฐานของเราไปอย่างสิ้นเชิง เหมือนที่ Betelgeuse กำลังทำอยู่ในตอนนี้

Betelgeuse เป็นเหมือน “ยักษ์แดง” ที่ยืนอยู่ในใจกลางความเข้าใจของมนุษย์ต่อจักรวาลมาเนิ่นนานนับแต่ยุคบรรพบุรุษของเรา และวันนี้ เราเพิ่งรู้ว่าเรายังไม่รู้จักมันดีพอเลยด้วยซ้ำ ดาวที่เคยดูเหมือนอยู่ตัวเดียว อาจกำลังเลี้ยงดูเพื่อนร่วมทางที่ซ่อนตัวอยู่ในเงาแสงของมันมาตลอด 10 ล้านปีที่ผ่านมา และนั่นอาจหมายความว่า เราอาจต้องกลับไปแก้หนังสือเรียนดาราศาสตร์ แอพดูดาว ในช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นมาก ๆ ว่าเรากำลังจะพูดได้เต็มปากแล้วว่า Belegeuse หรือไหล่ของนายพรานนั้น แท้จริงแล้วเป็นดาวสองดวง

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.