วันนี้ 14 พฤศจิกายน 2025 เวลา 03:57 ตามเวลาประเทศไทย จรวดยักษ์ New Glenn ของ Blue Origin ได้ทะยานขึ้นจากฐานปล่อย SLC-37 ณ Cape Canaveral Space Force Station ในเที่ยวบินทดสอบลำที่สองของปีนี้ หลังจากเที่ยวบินแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ประสบความสำเร็จไปก่อนแล้ว คราวนี้สิ่งที่เปลี่ยนเกมคือการบรรทุก “ยานอวกาศจริง” ขึ้นไปด้วยเป็นครั้งแรก ซึ่งคือภารกิจ ESCAPADE ของ NASA ที่กำลังจะเดินทางไปศึกษาสภาพแวดล้อมของดาวอังคารแบบละเอียดที่สุดครั้งหนึ่ง
หลังปล่อยขึ้น New Glenn แยกท่อนตามลำดับได้อย่างเรียบร้อย ก่อนที่ไฮไลต์ของภารกิจจะเกิดขึ้นเมื่อ ท่อนแรกของจรวดลงจอดบนเรือ Jacklyn ได้สำเร็จ กลายเป็นจรวดขนาดใหญ่ระดับ Orbital Class ลำที่สองของโลกที่ลงจอดบนเรือได้ ตามรอย Falcon 9 ของ SpaceX อย่างสมบูรณ์ ถือเป็นก้าวสำคัญของ Blue Origin ในการเข้าสู่โลกของการนำจรวดกลับมาใช้ใหม่อย่างจริงจัง

ก่อนจะมาถึงการปล่อยวันนี้ NG-2 ต้องเจอการเลื่อนหลายครั้งตั้งแต่วันที่ 9–13 พฤศจิกายน ทั้งจากสภาพอากาศบริเวณ Cape Canaveral และโดยเฉพาะปัญหา การระเบิด CME ของดวงอาทิตย์ ที่ทำให้รังสีระดับสูงเสี่ยงต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าของยาน ESCAPADE NASA จึงต้องสั่งเลื่อนเพื่อความปลอดภัย ในวันก่อนหน้าเคยมีการนับถอยหลังไปจนถึง T-20 วินาที ก่อนจะยกเลิกแบบกระชั้นชิด รวมถึงการถือที่ T-17 นาที และรอบ Readiness Poll แต่ทุกอย่างถูกรีเซ็ตจนกระทั่งวันนี้ สภาพแวดล้อมทุกอย่างผ่านเกณฑ์ และ New Glenn ก็ได้เดินทางสู่อวกาศในที่สุด

หลังจากทะยานขึ้นเหนือผืนดินฟลอริดา จรวด New Glenn ก็โน้มเอียงหัวลำตัวไปทางทิศตะวันออก มุ่งหน้าออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติกตามโปรไฟล์การบินมาตรฐานของภารกิจสู่วงโคจรต่ำ เครื่องยนต์ BE-4 ทั้งเจ็ดยังคงทำงานอย่างสม่ำเสมอจนถึงจุดแยกท่อนแรกที่เวลาประมาณสามนาทีหลังปล่อย ก่อนที่ท่อนแรกจะหันกลับและเริ่มกระบวนการลงสู่เรือ Jacklyn ที่อยู่ห่างออกไปราว 600 กิโลเมตรกลางทะเล ในขณะที่ท่อนสองเร่งเครื่องนำยาน ESCAPADE ไปยังวงโคจรเป้าหมาย
ภาพที่เกิดขึ้นคือจรวดขนาดมหึมาลำเดียวกันกำลังทำงานสองบทบาทพร้อมกัน คล้ายกับจรวด Falcon 9 หรือ Starship ของ SpaceX ส่วนหนึ่งพายานอวกาศเดินทางต่อ ส่วนอีกส่วนกำลังค่อย ๆ หมุนตัว ควบคุมเวกเตอร์แรงขับ และปรับความเร็วเพื่อให้แตะลงบนดาดฟ้าเรือได้อย่างแม่นยำ ผลลัพธ์คือการลงจอดที่นิ่มและเสถียร ทำให้วันนี้กลายเป็นจุดที่ New Glenn แสดงศักยภาพแบบ “บิน-ขึ้น-ลง-ครบ-จบ-ใน-ลำเดียว” ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกอย่างสมบูรณ์

33 นาทีหลังการปล่อย ยาน ESCAPADE ลำแรก “Blue” ค่อย ๆ แยกตัวออกจากอะแดปเตอร์ ตามด้วย “Gold” อีกลำในอีก 30 วินาทีถัดมา ทั้งคู่ลอยตัวอย่างนิ่มในความมืดของวงโคจร ก่อนจะกางแผงโซลาร์และสื่อสารกลับมายังพื้นโลกเพื่อยืนยันสุขภาพของระบบ ทุกอย่างดำเนินไปตามแผน
ภารกิจ ESCAPADE หรือ Escape and Plasma Acceleration and Dynamics Explorers ประกอบด้วยยานแฝดสองลำชื่อ “Blue” และ “Gold” ขนาดราวตู้เย็นบ้านเรา แต่มากับภารกิจระดับดาวอังคารเต็มตัว น้ำหนักประมาณ 535 กิโลกรัมเมื่อเติมเชื้อเพลิงเต็มลำ และเมื่อกางแผงโซลาร์ออกจะมีความยาวกว่า 5 เมตร ทั้งสองลำจะบินทำงานคู่กันเพื่อศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างลมสุริยะ สนามแม่เหล็ก และบรรยากาศชั้นบนของดาวอังคาร ทำให้เราเห็นภาพ “ระบบสภาพอากาศอวกาศ” ที่ปะทะดาวอังคารแบบสเตอริโอเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ผลกระทบของ Solar Wind ไปจนถึงการสูญเสียชั้นบรรยากาศที่เป็นต้นเหตุหนึ่งของการเปลี่ยนสภาพดาวอังคารจากโลกสีฟ้าในอดีตให้กลายเป็นทะเลทรายสีแดงในปัจจุบัน EscaPADE ภารกิจสำรวจดาวอังคารต้นทุนต่ำของ NASA ที่ใช้เงินแค่ 70 ล้านเหรียญฯ

หลังถูกปล่อยเข้าสู่วงโคจรต่ำของโลก ESCAPADE จะใช้เส้นทาง Gravity Assist ในช่วงปลายปี 2026 ก่อนจะเดินทางถึงดาวอังคารในปี 2027 วิธีนี้ช่วยให้ส่งภารกิจไปดาวอังคารได้แม้ไม่ใช่ Launch Window มาตรฐานแบบเดิม เป็นการเปิดทางให้ภารกิจดาวอังคารเกิดขึ้นได้ถี่ขึ้นในอนาคต
ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี 2025 Blue Origin ประสบความสำเร็จใน New Glenn เที่ยวบินแรก แต่ยังลงจอดบูสเตอร์ไม่สำเร็จ ความสำเร็จของการปล่อยและลงจอด New Glenn ในเที่ยวบินที่สองนี้คือหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนว่า Blue Origin มาไกลเกินกว่าที่หลายคนคาดไว้มาก จากเดิมที่ถูกมองว่าเป็นบริษัทที่ “ช้าแต่ชัวร์” หรือยังไม่มีผลงานระดับวงโคจรให้จับต้องได้ วันนี้พวกเขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าจรวดระดับ Heavy-Lift ที่ออกแบบมาเพื่อบินซ้ำตั้งแต่แรกอย่าง New Glenn ไม่ได้เป็นเพียงคอนเซปต์บนกระดาษ แต่คือระบบขับดันขนาดยักษ์ที่ทำงานได้จริงทั้งในขั้นตอนการปล่อย แยกขั้น และลงจอดบนเรือกลางทะเล ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ยากที่สุดอย่างหนึ่งในอุตสาหกรรมนี้ ความสำเร็จนี้ยังตอกย้ำว่าการพัฒนา BE-4 ที่ยืดเยื้อหลายปีได้เข้าสู่จุดที่พร้อมใช้งานจริงแล้วอย่างเต็มที่

เมื่อพิสูจน์ระบบหลักผ่านภารกิจทดสอบได้อย่างสวยงาม Blue Origin จึงอยู่ในสถานะที่พร้อมเดินหน้าสู่การให้บริการเชิงพาณิชย์ของ New Glenn แบบเต็มตัว ทั้งในตลาดดาวเทียมวงโคจรสูง ดาวเทียมขนาดใหญ่ที่ต้องการ Fairing ใหญ่พิเศษ ไปจนถึงภารกิจวิทยาศาสตร์ลึกในอนาคต ความพร้อมครั้งนี้ไม่เพียงสร้างแรงกดดันให้คู่แข่ง แต่ยังเพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับผู้ใช้งานด้านอวกาศทั่วโลก เพราะตลาดต้องการจรวดยักษ์แบบ “Reusable” ที่มีความสามารถต่อเนื่องและสเกลใหญ่พอจะรองรับภารกิจยุคใหม่ ซึ่งวันนี้ Blue Origin แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาเริ่มมีทุกอย่างครบในมือ และกำลังจะก้าวเข้าสู่การแข่งขันระดับสูงสุดบนเวทีอวกาศของโลกอย่างแท้จริง
เราเคยพาทุกคนไปแอบส่องฐานปฏิบัติการทางทะเลของ Blue Origin ในบทความ พาไปส่องเรือลงจอดจรวด Jacklyn และฐานปฏิบัติการของ Blue Origin
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co