ยาน Hera ของ ESA บินโฉบดาวอังคาร ส่งข้อมูลกลับโลก

Hera ยานสำรวจขององค์การอวกาศยุโรป หรือ ESA ออกเดินทางจากโลกเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2024 โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษาผลกระทบของการชนจากภารกิจ DART ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มนุษย์สามารถเปลี่ยนวงโคจรของวัตถุท้องฟ้าได้ ยานพัฒนาขึ้นภายใต้โครงการป้องกันดาวเคราะห์ หรือ Planetary Defense เพื่อทำความเข้าใจว่าการเปลี่ยนวิถีโคจรของดาวเคราะห์น้อยสามารถนำมาใช้เป็นมาตรการป้องกันโลกจากการชนของวัตถุอวกาศในอนาคตได้หรือไม่

ESA ได้อธิบายการทำงานของ Hera ในขณะบินโฉบไว้ในบทความ Hera asteroid mission spies Mars’s Deimos moon

หลังจากเดินทางในอวกาศมากว่า 5 เดือน Hera ได้เดินทางมาถึงดาวอังคารเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2025 เพื่อใช้แรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์ในการเปลี่ยนทิศทางโคจร หรือที่เรียกว่า Gravity Assist วิธีนี้ช่วยให้ยานสามารถเดินทางสู่จุดหมายได้เร็วขึ้นและประหยัดเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับที่ยาน Europa Clipper ของ NASA ใช้เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้เพื่อมุ่งหน้าไปยังดวงจันทร์ Europa ของดาวพฤหัสบดี

ภาพจากห้องควบคุม ESOC ของ ESA ในเยอรมนีหลังจากที่ได้รับภาพถ่ายชุดแรก ในภาพเราจะเห็น Brian May นั่งอยู่ในห้องด้วย ที่มา – ESA

แม้ว่าการบินโฉบดาวอังคารของ Hera จะเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของการเดินทางไปยัง Dimorphos แต่ ESA ได้ใช้โอกาสนี้ในการศึกษาดวงจันทร์ Deimos ซึ่งเป็นดวงจันทร์ขนาดเล็กของดาวอังคารที่ยังมีปริศนาเกี่ยวกับที่มา นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่า Deimos และ Phobos เกิดขึ้นจากเศษซากที่พุ่งออกมาหลังจากดาวอังคารถูกชน หรือเป็นวัตถุจากแถบดาวเคราะห์น้อยที่ถูกแรงโน้มถ่วงของดาวอังคารดึงเข้ามา การศึกษาองค์ประกอบและพื้นผิวของ Deimos อาจช่วยตอบคำถามนี้ได้

Hera บินผ่านดาวอังคารที่ระยะ 5,000 กิโลเมตร โดยมีความเร็วสัมพัทธ์ 9 กิโลเมตรต่อวินาที และสามารถเข้าใกล้ Deimos ได้ถึงระยะ 1,000 กิโลเมตร อุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลในครั้งนี้มีทั้งหมดสามชนิด ได้แก่

  • กล้องถ่ายภาพขาวดำ หรือ Asteroid Framing Camera ซึ่งใช้ทั้งในงานนำทางและการศึกษาทางวิทยาศาสตร์
  • กล้องถ่ายภาพสเปกตรัมกว้าง หรือ Hyperscout H ที่สามารถตรวจจับแสงในช่วงความถี่ที่ตามองไม่เห็น เพื่อศึกษาส่วนประกอบแร่ของพื้นผิว
  • กล้องถ่ายภาพอินฟราเรด หรือ Thermal Infrared Imager ที่พัฒนาโดย JAXA ใช้ในการตรวจวัดอุณหภูมิพื้นผิวของ Deimos ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงคุณสมบัติต่าง ๆ เช่น ความขรุขระ ขนาดอนุภาค และความพรุนของวัสดุบนพื้นผิว
ภาพถ่ายดวงจันทร์ Deimos ของดาวอังคาร จากกล้อง  Asteroid Framing Camera ที่มา – ESA

ESA ยังได้ประสานงานกับยาน Mars Express ซึ่งโคจรรอบดาวอังคารมากว่าสองทศวรรษ เพื่อทำการสำรวจ Deimos ร่วมกัน ข้อมูลจากการบินโฉบครั้งนี้จะช่วยวางแผนภารกิจสำรวจดวงจันทร์ของดาวอังคารในอนาคต โดยเฉพาะภารกิจ Martian Moons eXploration หรือ MMX ของ JAXA ที่จะสำรวจทั้ง Phobos และ Deimos อย่างละเอียด และนำตัวอย่างจาก Phobos กลับมายังโลก

หลังจากนี้ Hera จะเดินทางสู่เป้าหมายหลัก นั่นคือระบบของดาวเคราะห์น้อย Didymos และดวงจันทร์ Dimorphos ซึ่งเป็นวัตถุเพียงชิ้นเดียวในระบบสุริยะที่มนุษย์สามารถเปลี่ยนวงโคจรได้ การเดินทางของ Hera จะกินเวลาต่อไปอีก 21 เดือน ก่อนจะถึงจุดหมายในเดือนธันวาคม 2026 ข้อมูลจาก Hera จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจกลไกของการเปลี่ยนแปลงวิถีโคจรของดาวเคราะห์น้อย ซึ่งอาจกลายเป็นแนวทางป้องกันโลกจากวัตถุอวกาศในอนาคต

อ่านบทความเกี่ยวกับยาน Hera ได้ที่ Hera ยานสำรวจร่องรอยการพุ่งชนของยาน DART

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.