สรุปบรรยากาศ การส่งยาน HTV-X เทียบสถานีอวกาศนานาชาติครั้งแรก

ในที่สุด หลังจากการรอคอยที่ยาวนานกว่าครึ่งทศวรรษ วันที่ 27 ตุลาคม 2025 ก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญของวงการอวกาศญี่ปุ่น เมื่อองค์การอวกาศญี่ปุ่น JAXA ส่งยาน HTV-X1 ขึ้นสู่วงโคจรสำเร็จจาก Tanegashima Space Center โดยใช้จรวด H3 นับเป็นเที่ยวบินที่ 7 ซึ่งถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของยานขนส่งเสบียงสู่สถานีอวกาศนานาชาติ ภายใต้ชื่อที่ย่อมาจาก H-II Transfer Vehicle-X หรือ “HTV-X” ยานลำนี้ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อสืบทอดภารกิจของ “Kounotori” รุ่นเดิม ที่ญี่ปุ่นใช้มานับตั้งแต่ปี 2009 แต่คราวนี้มาพร้อมโครงสร้างที่ล้ำสมัยกว่าเดิม ระบบนำทางอัตโนมัติที่ฉลาดขึ้น และอายุการทำงานที่ยาวนานขึ้นเกือบเท่าตัว สำหรับรายละเอียดฉบับเต็มของยาน HTV-X สามารถอ่านได้จากบทความ เจาะลึกทุกรายละเอียด HTV-X ยานส่งเสบียงสู่สถานีอวกาศแห่งอนาคตของญี่ปุ่น

จรวด H3 ของ JAXA บนฐานปล่อยไม่กี่ชั่วโมงก่อนการปล่อย ที่มา – JAXA
ทีมงาน Flight Controller ในห้องควบคุมที่ Tsukuba Space Center ที่มา – JAXA

HTV-X แตกต่างจากรุ่นก่อนในแทบทุกด้าน ทั้งในเชิงวิศวกรรมและแนวคิดการออกแบบ ตัวลำยานแบ่งเป็นสองส่วนหลักคือ Pressurized Logistics Module และ Unpressurized Module ซึ่งสามารถขนส่งชิ้นส่วนภายนอกสถานีได้โดยตรง ระบบพลังงานและการสื่อสารถูกออกแบบใหม่ให้สามารถควบคุมได้จากศูนย์ภาคพื้นโดยไม่ต้องพึ่งพาการสั่งการจากนักบินอวกาศมากนัก ขณะที่ระบบนำทางใช้การคำนวณด้วย Machine Learning แบบเรียลไทม์ ร่วมกับสัญญาณ GPS และการสะท้อนแสงจากรีเฟลกเตอร์ เพื่อให้ยานสามารถเข้าใกล้สถานีได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังมีภารกิจทดสอบเทคโนโลยีติดไปด้วย เช่น H-SSOD สำหรับการปล่อย CubeSat และ Mt.FUJI ซึ่งเป็นอุปกรณ์สะท้อนแสงเลเซอร์เพื่อการวัดระยะจากโลกอย่างละเอียด

เจ้าหน้าที่ขณะทำการโหลด Late Access Cargo เข้าสู่ตัวยานไม่กี่ชั่วโมงก่อนการปล่อย ที่มา – JAXA

หนึ่งในความสามารถที่โดดเด่นของ HTV-X คือการรองรับการบรรทุกสัมภาระล่าช้าหรือ Late Access Cargo ได้จนถึง 24 ชั่วโมงก่อนปล่อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ยานรุ่นก่อนอย่าง HTV ทำไม่ได้ ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อรองรับของที่ต้องเก็บในอุณหภูมิควบคุม เช่น อาหารสด เซลล์ชีวภาพ หรือตัวอย่างทางวิทยาศาสตร์ที่เสื่อมสภาพได้รวดเร็ว ภายในโครงสร้างของ HTV-X ถูกปรับใหม่ให้มี “ช่องทางเข้าด้านบน” ที่สามารถเปิดได้แม้ยานถูกติดตั้งอยู่บนจรวดแล้ว โดยมีการเชื่อมต่อระบบไฟและควบคุมอุณหภูมิโดยตรงจากภายนอกจรวด ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถนำของเข้าไปบรรจุได้ในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนปล่อย ช่วยลดความเสี่ยงของการเสื่อมสภาพของตัวอย่าง และเพิ่มความยืดหยุ่นในการวางแผนภารกิจได้อย่างมาก—เป็นการยกระดับมาตรฐานการขนส่งของญี่ปุ่นให้ทัดเทียมกับยานขนส่งรุ่นใหม่ระดับโลกอย่าง Cargo Dragon ของ SpaceX หรือ Dream Chaser ของ Sierra Space.

จรวด H3 บนฐานปล่อย Yoshinobu Launch Complex 1 ที่มา – Mitsubishi Heavy Industries

การปล่อยเริ่มต้นขึ้นในช่วงเช้าเวลา 09:00 น. ตามเวลาญี่ปุ่น หลังจากที่ภารกิจเลื่อนมาจากวันที่ 21 ตุลาคมเนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย จรวด H3 ค่อย ๆ ทะยานขึ้นจากฐานยิง Yoshinobu Launch Complex 1 ท่ามกลางเสียงปรบมือของทีมควบคุมภารกิจ ยาน HTV-X1 แยกตัวออกจากจรวดได้อย่างสมบูรณ์ในเวลาเพียง 15 นาทีหลังปล่อย และกางแผง Solar Arrays สำเร็จ ข้อมูล Telemetry จากวงโคจรถูกส่งกลับมาที่ศูนย์ควบคุมของ JAXA ในเมือง Tsukuba ยืนยันว่าระบบทั้งหมดทำงานตามปกติ

จรวด H3 บินขึ้นจาก Tanegashima Space Center ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น ที่มา – JAXA

จากนั้นยานใช้เวลาราวสามวันในการค่อย ๆ ปรับวงโคจรให้สูงขึ้น เพื่อเข้าสู่ระดับเดียวกับสถานีอวกาศนานาชาติที่ราว 400 กิโลเมตรเหนือพื้นโลก ขั้นตอนนี้เรียกว่า Phasing Maneuver เป็นกระบวนการละเอียดอ่อนที่ต้องอาศัยการคำนวณการจุดเครื่องยนต์ Thruster เพื่อให้ยานไล่จังหวะโคจรให้ตรงกับสถานีโดยไม่เร่งหรือชะลอเกินไป เมื่อเข้าสู่ระยะ 4 กิโลเมตรจากสถานี ยาน HTV-X1 ก็เริ่มต้นกระบวนการที่เรียกว่า Rendezvous หรือ “การนัดพบในอวกาศ” ซึ่งใช้ทั้งระบบนำทางด้วย GPS และการสะท้อนสัญญาณเลเซอร์จากรีเฟลกเตอร์ที่ติดตั้งอยู่รอบสถานี และ “เข้ามาจากด้านล่างของสถานี” หรือ R-Bar Approach 

การทำ R-Bar Approach หรือที่เรียกอีกชื่อว่า Radial Bar Approach เป็นหนึ่งในวิธีมาตรฐานที่ใช้สำหรับให้ยานอวกาศเข้าเทียบกับสถานีอวกาศนานาชาติ โดย “R” ในที่นี้หมายถึง “Radial” หรือแนวเส้นรัศมีจากศูนย์กลางของโลกไปยังสถานีอวกาศ การเข้ามาทางแนวนี้มีข้อดีทางฟิสิกส์คือแรงโน้มถ่วงของโลกช่วยควบคุมความเร็วของยานให้ช้าลงอย่างเป็นธรรมชาติ ต่างจากการเข้าทางแนว “V-Bar” ซึ่งเป็นแนวขนานกับทิศทางการโคจรของสถานีที่มักต้องอาศัยแรงขับมากกว่าในการรักษาตำแหน่ง

กระบวนการทำ Radial Bar Approach ของยาน HTV-X ในการเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติ ที่มา – JAXA

ในเชิงการปฏิบัติ ยาน HTV-X1 จะเริ่มจากจุด Hold Point ที่อยู่ใต้สถานีประมาณ 250 เมตร แล้วค่อย ๆ ใช้แรงขับย่อยปรับระยะขึ้นทีละขั้นจนถึงจุดที่ Canadarm2 สามารถเข้าจับได้ R-Bar Approach จึงเป็นกระบวนการที่เน้นความแม่นยำสูง ยานต้องคำนวณทั้งแรงโน้มถ่วง ความเร็วสัมพัทธ์ และทิศทางการเคลื่อนที่ให้สอดคล้องกับการหมุนรอบโลกของสถานี ขณะเดียวกันยังต้องคงความปลอดภัยของลูกเรือภายในสถานีด้วย ด้วยเหตุนี้เอง R-Bar Approach จึงกลายเป็นมาตรฐานที่ยานขนส่งเสบียงหลายรุ่นของ JAXA และ NASA เลือกใช้ เพราะให้สมดุลระหว่างประสิทธิภาพทางพลังงานกับความปลอดภัยในระดับสูงสุด

ในวันที่ 29 ตุลาคม เวลาประมาณ 15:00 เวลาสากล UTC ยานมาถึงตำแหน่ง Hold Point ที่ห่างจากสถานีราว 250 เมตร ก่อนจะสาธิตการ Retreat Test หรือการถอยห่างจำลองในกรณีฉุกเฉิน เพื่อพิสูจน์ว่ายานสามารถออกจากตำแหน่งได้อย่างปลอดภัยหากเกิดปัญหา นับเป็นขั้นตอนบังคับของทุกภารกิจที่เกี่ยวข้องกับสถานีอวกาศนานาชาติ จากนั้น HTV-X1 ได้รับสัญญาณอนุญาตให้เข้าประชิดจนถึงตำแหน่งสำหรับการจับยึด

ยาน HTV-X ณ​ตำแหน่ง Hold Point ห่างออกไปจากสถานีอวกาศนานาชาติราว 250 เมตร ที่มา – JAXA

จนกระทั่งเมื่อเวลา 15:58 เวลา UTC ยานถูกจับด้วยแขนกล Canadarm2 โดยลูกเรือชาวญี่ปุ่น Kimiya Yui ทำหน้าที่ควบคุม ร่วมกับนักบินอวกาศ Zena Cardman จาก NASA และมี Akihiko Hoshide รับหน้าที่ Capcom ที่ Tsukuba คอยประสานงานระหว่างศูนย์ควบคุมกับลูกเรือบนสถานี การจับแบบนี้ต่างจากยานขนส่งบางรุ่นที่สามารถ “Dock” เข้าสถานีได้เองโดยอัตโนมัติ ยาน HTV-X ใช้วิธีที่เรียกว่า Berthing คือให้สถานี “คว้า” มันเข้ามาด้วยแขนกล ซึ่งแม้จะใช้เวลามากกว่า แต่ให้ความปลอดภัยและความยืดหยุ่นสูงสุด

หัวใจสำคัญของการทำงานของ Canadarm2 คือ Grapple Fixture หรือ “จุดจับยึด” ที่ติดอยู่บนวัตถุที่ต้องการให้แขนกลจับ ไม่ว่าจะเป็นยานขนส่งอย่าง HTV, Cygnus, หรือโมดูลของสถานีเอง Grapple Fixture มีหน้าตาเป็นขั้วโลหะทรงกระบอกเล็ก ๆ พร้อมโครงสร้างวงแหวนที่ออกแบบมาให้ Canadarm2 สามารถ “เกี่ยวและล็อก” ได้อย่างมั่นคง ภายในหัวจับของแขนกลจะมี End Effector ซึ่งเป็นกลไกแบบ “snare cable” หรือสายโลหะเส้นบางสามเส้นที่พันอยู่รอบวงกลม เมื่อแขนกลเข้าประชิด Grapple Fixture ได้ในระยะไม่กี่เซนติเมตร สาย snare จะคลายออกเล็กน้อยแล้วหมุนเข้าด้านในเพื่อ “รัด” และ “ดึง” แกนของ Grapple Fixture เข้าหาจุดศูนย์กลางอย่างแน่นหนา

HTV-X ขณะถูกจับไว้โดยแขนกล Canadarm2 ของสถานีอวกาศนานาชาติ ที่มา – JAXA

เมื่อ End Effector รัดตัว Fixture จนแน่น แขนกลจะเริ่มตรวจสอบแรงดันไฟและสัญญาณข้อมูลผ่านขั้วต่อภายใน ทำให้ระบบควบคุมบนสถานีสามารถสั่งการให้ยกหรือหมุนวัตถุได้โดยตรง กระบวนการนี้ต้องการความละเอียดสูงมาก ด้วยเหตุนี้ การควบคุม Canadarm2 จึงเป็นงานที่ต้องใช้ทั้งนักบินอวกาศฝึกเฉพาะทางบนสถานี และเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินช่วยคำนวณเส้นทางการเคลื่อนที่แบบเรียลไทม์

หลังจากถูกจับเข้าที่เรียบร้อย ทีมภาคพื้นและลูกเรือใช้เวลาราว 12 ชั่วโมงเพื่อเคลื่อนยานเข้าหาพอร์ตด้านล่างของโมดูล Harmony กระบวนการเชื่อมต่อผ่าน Common Berthing Mechanism หรือ CBM ต้องใช้การจัดแนวระดับมิลลิเมตร และเมื่อสลักทั้งหมดล็อกเข้าที่ ก็เป็นสัญญาณว่ายาน HTV-X1 ได้ “เทียบ” เข้ากับสถานีสำเร็จในวันที่ 30 ตุลาคม เวลา 12:58 ตามเวลาญี่ปุ่น ถือเป็นครั้งแรกของยานรุ่นใหม่ที่เข้าสู่สถานีอวกาศได้อย่างสมบูรณ์

บรรยากาศในห้องควบคุมที่ Tsukuba Space Center ขณะที่การเชื่อมต่อยาน HTV-X ประสบความสำเร็จ ที่มา – JAXA

CBM แบ่งเป็นสองส่วนคือ Active CBM ติดตั้งอยู่บนสถานี และ Passive CBM ติดอยู่บนยานหรือโมดูลที่เข้ามาเทียบ ทั้งสองส่วนมีโครงสร้างวงแหวนอลูมิเนียมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 127 เซนติเมตร โดยบนวงแหวนจะมี Guide Fins หรือแผ่นนำแนวช่วยให้การเชื่อมต่อเข้าศูนย์กลางได้ตรงตำแหน่ง หลังจาก Canadarm2 นำยานมาวางในตำแหน่งแล้ว ระบบ Latching ชั้นแรกจะทำงาน เป็น “สลักเบื้องต้น” จำนวน 4 ชุดที่ดึงวงแหวนทั้งสองเข้าหากันอย่างหลวม ๆ เพื่อจัดแนวและตรวจสอบแรงกด จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอน Bolting ซึ่งเป็นหัวใจของ CBM การเทียบและเชื่อมต่อยาน รู้จักมาตรฐาน Docking Port ในปัจจุบัน

ในชั้นนี้จะมี สกรูขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 16 ตัว กระจายรอบวงแหวนของ Active CBM ทำหน้าที่ขันเข้ากับ Capture Latch ของ Passive CBM ทีละตัวจนแน่นทุกจุด แรงบิดแต่ละตัวอยู่ในระดับหลายร้อยนิวตันเมตร ทำให้โครงสร้างทั้งสองยึดแน่นจนกลายเป็นผนังเดียวกัน เมื่อระบบยึดทั้งหมดล็อกครบ วงแหวนด้านในจะถูกกดเข้าหากันจน ซีลยางแบบ Dual O-ring ซีลสองชั้น เกิดการปิดผนึกแน่นหนา ป้องกันการรั่วของอากาศระหว่างโมดูล จากนั้นจึงเริ่มขั้นตอนตรวจสอบแรงดันหรือ Leak check เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีช่องว่างระหว่างยานกับสถานี

ผังตำแหน่งที่นั่งในห้อง Flight Control ของ Tsukuba Space Center ที่มา – JAXA

ประตูของ HTV-X1 ถูกเปิดในวันเดียวกันหลังการตรวจสอบความดันและการรั่วซึม ลูกเรือเริ่มขนส่งสิ่งของภายในทันที ตั้งแต่อาหารสด ตัวอย่างชีวภาพ ไปจนถึงอุปกรณ์ทดลองใหม่ ๆ ที่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมอุณหภูมิ ตลอดหลายสัปดาห์ต่อจากนี้ ยานจะทำหน้าที่เป็นห้องเก็บของชั่วคราวให้กับสถานี ก่อนจะถูกบรรจุด้วยขยะและอุปกรณ์ที่หมดอายุการใช้งานเพื่อเตรียมทำลายเมื่อกลับสู่ชั้นบรรยากาศ

แม้ HTV-X จะไม่สามารถนำสัมภาระกลับโลกได้เหมือนยาน Dragon ของ SpaceX แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าญี่ปุ่นจะขาดขีดความสามารถในด้าน “Return Logistics” เสมอไป แนวโน้มใหม่ของเทคโนโลยีอวกาศกำลังเปลี่ยนแนวคิดเรื่องการขนส่งกลับจาก “ยานใหญ่กลับทีเดียว” ไปสู่การส่งของกลับแบบ Distributed Return คือการใช้ยานขนาดเล็กหรือแคปซูลขนส่งเฉพาะภารกิจ ที่สามารถปล่อยจากสถานีได้บ่อยขึ้นและเฉพาะทางมากขึ้น เช่น การส่งตัวอย่างชีวภาพที่ต้องกลับอย่างรวดเร็ว หรือชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ต้องตรวจสอบบนโลกโดยไม่ต้องรอภารกิจใหญ่รอบถัดไป

HTV-X ขณะเชื่อมต่ออยู่กับสถานีอวกาศนานาชาติ ที่มา – JAXA

HTV-X1 จะเทียบอยู่กับสถานีไปจนถึงประมาณเดือนเมษายน 2026 จากนั้นจะเข้าสู่ภารกิจต่อเนื่องเพื่อทดสอบเทคโนโลยีอัตโนมัติขั้นสูง เช่น การนำทางด้วย AI การปล่อยดาวเทียมขนาดเล็ก และการประเมินความทนทานของระบบก่อนเผาไหม้เหนือมหาสมุทรแปซิฟิกในช่วงกลางปี 2026 ภารกิจนี้ไม่เพียงเป็นการส่งเสบียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการประกาศศักยภาพของญี่ปุ่นในยุคใหม่ ที่ไม่เพียงสร้างยานอวกาศที่ปลอดภัยและแม่นยำที่สุดลำหนึ่งในโลก แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะเป็นกำลังสำคัญในระบบโลจิสติกส์อวกาศโลก ทั้งในปัจจุบันและยุคหลังสถานีอวกาศนานาชาติในอนาคต

การกลับมาของยานขนส่งญี่ปุ่นสู่สถานีอวกาศในรอบกว่า 5 ปีคือภาพที่เต็มไปด้วยทั้งความภาคภูมิใจและความรู้สึก “สมกับการรอคอย” เพราะหลังจากภารกิจ Kounotori 9 สิ้นสุดในปี 2020 ญี่ปุ่นก็เว้นช่วงยาวในการพัฒนายานรุ่นใหม่ที่ไม่ใช่แค่การอัปเกรดเทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างระบบขนส่งรุ่นต่อไปของประเทศอย่างแท้จริงภารกิจครั้งนี้คือการกลับมาที่ไม่ได้มีเพียง “สัมภาระ” แต่บรรทุกทั้งศักดิ์ศรี ความพากเพียร และความฝันของชาติที่ไม่เคยละทิ้งความฝันจะเป็นส่วนหนึ่งของอนาคต

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.