สรุปเนื้อหาสำคัญจากงาน International Astronautical Congress 2025 งานอวกาศที่ใหญ่ที่สุดในโลก

การประชุม International Astronautical Congress หรือ IAC ครั้งที่ 76 ซึ่งจัดขึ้นที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ระหว่างวันที่ 29 กันยายน ถึง 3 ตุลาคม 2025 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของชุมชนอวกาศระดับโลก ที่นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร นักนโยบาย และผู้นำจากทั่วโลกมารวมตัวกันเพื่อขับเคลื่อนแนวคิดเรื่อง “ความยั่งยืนของอวกาศ” หรือ Sustainable Space ไปข้างหน้า ภายใต้ธีมหลักของปีนี้คือ “Sustainable Space: Resilient Earth” 

ธีมนี้เน้นย้ำความสัมพันธ์ระหว่าง “นวัตกรรมในอวกาศ” กับ “ความยั่งยืนบนโลก” โดยเฉพาะบทบาทของเทคโนโลยีอวกาศในการช่วยให้มนุษย์รับมือกับวิกฤตภูมิอากาศ ภัยพิบัติ และการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การประชุมครั้งนี้จัดโดย International Astronautical Federation หรือ IAF ร่วมกับ Space Industry Association of Australia หรือ SIAA และ Australian Space Agency หรือ ASA ซึ่งได้เปลี่ยนศูนย์ประชุม International Convention Centre  กลางอ่าว Darling Harbour ให้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งการทูต เทคโนโลยี และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านอวกาศของโลก เพียงวันแรกของงานก็มีผู้เข้าร่วมกว่า 7,000 คน จากทั่วโลก

บรรยากาศจากหน้า International Convention Centre ที่มา – Australian Space Agency

ผู้เข้าร่วมจากกว่า 90 ประเทศได้มาร่วมการประชุมทางเทคนิค Technical Sessions การอภิปราย Plenaries และกิจกรรม Networking มากมาย รวมถึงนิทรรศการขนาดใหญ่ที่มีผู้แสดงกว่า 200 องค์กร ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ยานอวกาศ ดาวเทียม ไปจนถึงเทคโนโลยีสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคาร ไฮไลต์ของงานอยู่ที่ Public Day ในวันที่ 3 ตุลาคม ที่เปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรีโดยมี LEGO เป็นพันธมิตรร่วมจัดกิจกรรม ให้ผู้เข้าชมได้พบปะนักบินอวกาศ เล่นกิจกรรม STEM และสำรวจนิทรรศการเชิงการศึกษา เหมือนเปิดโลกอวกาศให้ทุกคนมีส่วนร่วม ไม่ใช่แค่คนในวงการ

บรรยากาศในพิธีเปิด ซึ่งในวันแรกมีผู้ชมมากกว่า 7,000 คนจากทั่วโลก เข้าร่วมงาน ที่มา – Australian Space Agency

การเลือกจัดงานในซิดนีย์สะท้อนบทบาทของออสเตรเลียที่กำลังขยายตัวในวงการ ตั้งแต่การเป็นพันธมิตรกับ NASA ในโครงการ Artemis ไปจนถึงการพัฒนาเทคโนโลยี Earth Observation เพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อม งานนี้จึงไม่เพียงแสดงถึงความพร้อมทางเทคโนโลยี แต่ยังเปิดทางให้ประเทศก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจอวกาศในภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก สร้างงานด้านเทคโนโลยีขั้นสูง และขยายความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน บทความนี้จะมาเจาะลึกงาน IAC 2025 งานประชุมที่แสดงให้เห็นถึงพลังของความร่วมมือระดับโลก ตั้งแต่พิธีเปิดที่เริ่มต้นด้วยการ Welcome to Country ของชนพื้นเมือง ไปจนถึงการประชุมลับระหว่างผู้นำองค์การอวกาศ

การมอบรางวัลให้กับงานอวกาศดีเด่นประจำปี

ผู้จัดงานยังได้ประกาศมอบรางวัลสูงสุดของปีนั่นก็คือ IAF World Space Award 2025 ซึ่งถือเป็นเกียรติยศในวงการอวกาศโลก มอบให้แก่บุคคลและทีมที่สร้างผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อความก้าวหน้าของกิจกรรมอวกาศทั่วโลก ปีนี้รางวัลประเภทบุคคลตกเป็นของ Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งบริษัท Blue Origin จากสหรัฐอเมริกา โดยคณะกรรมการให้เหตุผลว่า “Bezos คือผู้ที่วางวิสัยทัศน์ในการสร้างถนนสู่อวกาศเพื่อประโยชน์ของโลก” ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับธีมของปีนี้ “Sustainable Space: Resilient Earth” อย่างสมบูรณ์แบบ ปี 2025 ยังเป็นปีสำคัญของ Blue Origin หลังจากการเปิดตัวครั้งแรกของจรวด New Glenn ที่ประสบความสำเร็จ ทำให้รางวัลนี้ถูกมองว่าเป็นการยกย่องทั้งตัวบุคคลและเส้นทางความฝันที่ผลักดันเทคโนโลยีอวกาศให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน

ตัวแทนจากทีมภารกิจ Chang’e-6 ของจีนขึ้นกล่าวขณะรับรางวัล IAF World Space Award 2025 ที่มา – Australian Space Agency

ส่วนรางวัลประเภททีม มอบให้กับ ทีมภารกิจ Chang’e-6 ของจีน สำหรับความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ในการนำตัวอย่างจาก “ด้านไกลของดวงจันทร์” กลับมายังโลกได้เป็นครั้งแรกของมนุษยชาติ ซึ่งนอกจากจะเป็นก้าวสำคัญในวิทยาศาสตร์ดวงจันทร์แล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์ของ “ความร่วมมือข้ามพรมแดน” เพราะภารกิจนี้มีส่วนร่วมจากหลายประเทศ รวมถึงฝรั่งเศส อิตาลี และปากีสถาน ความสำเร็จของ Chang’e-6 จึงไม่ได้เป็นเพียงชัยชนะทางเทคนิค แต่คือหลักฐานว่าการสำรวจอวกาศยุคใหม่กำลังเดินไปสู่ “ยุคของความร่วมมือเพื่อความรู้ร่วมกันของมนุษย์” อย่างแท้จริง.

การเซ็นสนธิสัญญาระหว่างหน่วยงานอวกาศนานาชาติ

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญที่สุดของงานคือการลงนามใน สนธิสัญญาความร่วมมือด้านอวกาศระหว่างสหรัฐฯ–ออสเตรเลีย US–Australia Space Framework Agreement เมื่อวันที่ 30 กันยายน ข้อตกลงระดับสนธิสัญญาฉบับนี้ลงนามโดย Sean Duffy รักษาการผู้บริหารของ NASA และ Enrico Palermo หัวหน้า Australian Space Agency เพื่อวางกรอบความร่วมมือทางกฎหมายในด้านการบินและอวกาศ การสำรวจ การแพทย์อวกาศ และการแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อตกลงนี้ต่อยอดจากความสัมพันธ์ที่ยาวนานกว่า 60 ปี นับตั้งแต่ยุคที่ออสเตรเลียช่วยสนับสนุนภารกิจ Apollo ของ NASA และยังเชื่อมโยงกับ Technology Safeguards Agreement 2024 ซึ่งช่วยให้ออสเตรเลียมีส่วนร่วมในโครงการ Artemis

การลงนามความร่วมมือ US–Australia Space Framework Agreement ที่มา – Australian Space Agency

ในฝั่งยุโรป รัฐบาลออสเตรเลียได้ประกาศ มอบอำนาจในการเริ่มเจรจาข้อตกลงความร่วมมือกับองค์การอวกาศยุโรป ESA เมื่อวันที่ 29 กันยายน เพื่อเปิดทางให้ความร่วมมือด้านการผลิตขั้นสูง การปล่อยดาวเทียม การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และภารกิจมนุษย์อวกาศขยายตัวมากขึ้น โดยการเจรจาได้ดำเนินต่อเนื่องตลอดทั้งสัปดาห์

อีกหนึ่งความร่วมมือสำคัญคือการต่ออายุ UK–Australia Space Bridge Framework Arrangement เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม โดย UK Space Agency และ Australian Space Agency ฝั่งออสเตรเลีย ข้อตกลงนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2021 และการต่ออายุครั้งนี้จะช่วยเสริมความร่วมมือในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และการค้า รวมถึงการสนับสนุนบริษัทอวกาศอย่าง Space Machines Company ในขณะที่ด้านความร่วมมือในภูมิภาค รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ประกาศ ลงทุน 5.3 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนโครงการอวกาศร่วมกับออสเตรเลีย หรือ Trans-Tasman Space Projects เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม

บรรยากาศจากการประชุม Artemis Accords Principals Meeting ที่มา – NASA

ในมิติพหุภาคี มีการประชุม Artemis Accords Principals Meeting เมื่อวันที่ 29 กันยายน ซึ่งออสเตรเลียร่วมเป็นเจ้าภาพกับ NASA และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีตัวแทนจาก 56 ประเทศผู้ลงนามใน Accords เข้าร่วมเพื่อยืนยันหลักการสำคัญในการสำรวจดวงจันทร์อย่างสันติ โดยประเทศไทยของเราก็ได้เข้าร่วมด้วย

ESA และ KASA ลงนามความร่วมมือกันในการศึกษาการสร้างสถานีภาคพื้นดิน และการสำรวจอวกาศ ที่มา – ESA

ขณะเดียวกัน ESA ยังได้ลงนาม MoU ฉบับใหม่กับ Korean Aerospace Administration หรือ KASA เพื่อความร่วมมือด้านสถานีภาคพื้นดินสำหรับภารกิจการสำรวจอวกาศ รวมถึงการหารือเพิ่มเติมกับ ISRO อินเดีย, CNES ฝรั่งเศส และ Canadian Space Agency เพื่อขยายความร่วมมือในอนาคต

ความร่วมมือในภาคธุรกิจ สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจอวกาศ

ในส่วนของภาคเอกชน ไฮไลต์สำคัญคือข้อตกลงระหว่าง Southern Launch ออสเตรเลีย และ Varda Space Industries จากสหรัฐฯ ที่ประกาศเมื่อวันที่ 30 กันยายน ว่าจะดำเนินการปล่อยและนำยานกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศจำนวน 20 ครั้งภายในปี 2028 ที่สนามทดสอบ Koonibba Test Range รัฐเซาท์ออสเตรเลีย เพื่อเสริมขีดความสามารถด้านการปล่อยและการผลิตในอวกาศของประเทศ

วันที่ 2 ตุลาคม มหาวิทยาลัย University of Western Australia หรือ UWA ประกาศความสำเร็จในการสร้างเครือข่ายสถานีภาคพื้นดินแบบ Optical ในนาม TeraNet ซึ่งเป็นระบบแรกในซีกโลกใต้ที่สามารถใช้งานได้จริง โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก Australian Space Agency เพื่อเพิ่มความสามารถในการสื่อสารกับยานสำรวจและภารกิจดวงจันทร์

การเซ็นความร่วมมือระหว่าง Starlab และ Saber ในงานนิทรรศการ ที่มา – Voyager Technologies

ส่วนวันที่ 3 ตุลาคม บริษัท Saber Astronautics และ Starlab Space บริษัทลูกของ Voyager Technologies ได้ประกาศความร่วมมือเพื่อขยายเครือข่ายเชิงพาณิชย์ระดับโลกของ Starlab โดยมุ่งเน้นไปที่การให้บริการ Payload สำหรับลูกค้าระหว่างประเทศ ในขณะเดียวกัน Curtin University ได้ลงนามในข้อตกลงสองฉบับกับพันธมิตรต่างประเทศเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีสำรวจดาวอังคารในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาชีวิตในจักรวาล ข้อตกลงอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ การขยายความร่วมมือระหว่าง Kongsberg Satellite Services หรือ KSAT กับ Nara Space เพื่อเสริมศักยภาพกลุ่มดาวเทียม Constellation รวมถึงแผนการดำเนินงานร่วมของ South Africa–Angola ในด้านการสังเกตโลกและการเฝ้าระวังสถานการณ์อวกาศหรือ Space Situational Awareness

เวทีความคิดระดับโลกจากผู้นำอวกาศทั่วโลก นั่งพูดคุยกันตัวต่อตัว

หัวใจของการประชุม IAC 2025 อยู่ที่การเสวนาและบรรยายใหญ่ Plenary Sessions และ Highlight Lectures ที่รวบรวมผู้นำองค์การอวกาศระดับโลก นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และนักนโยบายมาพูดคุยถึงประเด็นสำคัญของอนาคตอวกาศ ภายใต้ธีม “Sustainable Space: Resilient Earth” ทุกเวทีต่างสะท้อนแนวคิดเดียวกันว่า “อวกาศและโลกไม่สามารถแยกจากกันได้” การร่วมมือระหว่างประเทศ ความรู้ของชนพื้นเมือง หรือ Indigenous Knowledge และการจัดการขยะอวกาศ ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ต้องดำเนินไปพร้อมกันเพื่อให้มนุษยชาติอยู่รอดได้ในระยะยาว ด้านล่างคือสรุปของไฮไลต์สำคัญในแต่ละวัน ตั้งแต่พิธีเปิดจนถึงวันปิดการประชุม

ในวันแรกนั้นมีการเปิดงานด้วยพิธีตามประเพณีของชนพื้นเมืองออสเตรเลีย ตามด้วยสุนทรพจน์จาก Sam Mostyn ผู้ว่าการเครือรัฐออสเตรเลีย, Katherine Bennell-Pegg นักบินอวกาศหญิงชาวออสเตรเลีย, และ Enrico Palermo หัวหน้า Australian Space Agency ภายในงานมีการจัดแสดงเทคโนโลยีอวกาศของออสเตรเลีย เช่น Roo-ver ยานสำรวจดวงจันทร์ต้นแบบ ซึ่งสะท้อนความตั้งใจที่จะผสานองค์ความรู้ของชนพื้นเมืองเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่

Enrico Palermo แห่ง Australian Space Agency และ Sreedhara Somanath จาก ISRO, ที่มา – Australian Space Agency

ช่วงบ่ายคือไฮไลต์ของวันเป็นการเสวนา “One-to-One with Heads of Space Agencies” ที่มีผู้นำองค์การอวกาศจากทั่วโลกขึ้นเวทีเดียวกันมีผู้ร่วมพูดคุยอย่าง Josef Aschbacher จาก ESA, Lisa Campbell จาก CSA, Hiroshi Yamakawa จาก JAXA, Sreedhara Somanath จาก ISRO, Sean Duffy จาก NASA และตัวแทนจาก CNSA จีน
เวทีนี้พูดถึง “การใช้พื้นที่อวกาศอย่างยั่งยืน” และ “การจัดทำนโยบายร่วมระหว่างประเทศ” โดยมีจุดเน้นที่ความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ–ออสเตรเลีย ซึ่งสอดคล้องกับการลงนามใน US–Australia Space Framework Agreement และการเริ่มเจรจากับ ESA ที่ประกาศในวันเดียวกัน

Enrico Palermo แห่ง Australian Space Agency และ Josef Aschbacher จาก ESA ที่มา – Australian Space Agency

ค่ำวันเดียวกันยังมี Host Plenary Beyond Integration – Building Earth-Sky Knowledge Infrastructure for Co-Discovery in Space and Sustainability  ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในเวทีที่โดดเด่นที่สุดของทั้งงาน เพราะเป็นการผสมผสานระหว่าง “วิทยาศาสตร์ตะวันตก” และ “องค์ความรู้ของชนพื้นเมือง” วิทยากรจากออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา ร่วมแบ่งปันมุมมองต่อการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน และแนวคิด “การค้นพบร่วมกัน” หรือ Co-Discovery เพื่อสร้างอนาคตที่ยืดหยุ่นและเท่าเทียม

โดยหนึ่งในประโยคที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ “No nation is too small to contribute to space.” หมายความว่าไม่มีชาติไหนเล็กไปที่จะร่วมทำงานอวกาศ สะท้อนจิตวิญญาณของการมีส่วนร่วมในยุคอวกาศที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน

เมื่ออวกาศกลายเป็นเศรษฐกิจวัฒนธรรมกลายเป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจ

สามวันกลางของ IAC 2025 คือช่วงเวลาที่ทุกคนหันมาพูดเรื่องเดียวกัน ว่าเราจะอยู่ในอวกาศ อย่างรับผิดชอบ ได้อย่างไร ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเทคโนโลยี เช้าวันที่ 30 กันยายน เปิดด้วยเวทีที่มีชื่อเรียบง่ายแต่เนื้อหาหนักแน่นคือ “How a Circular Economy Framework Unlocks Commercial Success in Space” ซึ่งตั้งคำถามตรง ๆ ว่า “เศรษฐกิจหมุนเวียนจะเกิดขึ้นได้จริงในวงโคจรหรือไม่” นักธุรกิจและนักนโยบายจากหลายประเทศร่วมอภิปรายถึงการนำแนวคิด Circular Economy มาปรับใช้กับกิจกรรมในอวกาศ ตั้งแต่การรีไซเคิลเชื้อเพลิงและโครงสร้าง ไปจนถึงการสร้างเศรษฐกิจใหม่จากการผลิตในอวกาศ หรือ In-space Manufacturing

เวทีนี้ถูกมองว่าเป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างภาคอุตสาหกรรมและนักอนุรักษ์ เพราะแนวคิดเดียวกันนี้ได้ถูกต่อยอดไปสู่ข้อตกลงเชิงพาณิชย์ระหว่าง Southern Launch และ Varda Space Industries ที่เปิดทางให้มีการนำยานกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศจากออสเตรเลียกว่า 20 ครั้งภายในปี 2028 เป็นการผสมระหว่าง “เศรษฐกิจอวกาศ” กับ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” อย่างแท้จริง

Will Bruey จาก Varda Space Industries ในบูทกำลังพูดถึงเทคโนโลยีการนำการทดลองกลับจากอวกาศ ที่มา – Australian Space Agency

ช่วงบ่ายของวันเดียวกันมีหัวข้อ “Learning to Live on Another World: The International Community’s Return to the Moon” ที่พูดถึงการกลับไปดวงจันทร์ของมนุษย์ในโครงการ Artemis บนเวทีมีทั้งนักบินอวกาศ วิศวกร และผู้กำหนดนโยบายจากหลายหน่วยงาน อาทิ Frank de Winne จาก ESA ที่อธิบายถึง “Human Factors” หรือปัจจัยทางสังคมและจิตใจของการอยู่อาศัยนอกโลก พร้อมมุมมองจาก NASA เกี่ยวกับมาตรฐานร่วม หรือ Interoperability และการลดขยะอวกาศที่ได้ข้อสรุปมาจากเวที Artemis Accords Meeting ในวันก่อนหน้า สิ่งที่ชัดเจนจากเวทีนี้คือ “การกลับไปดวงจันทร์ในครั้งนี้ไม่ใช่การแข่งขันแบบ Apollo อีกต่อไป” แต่เป็นความร่วมมือแบบข้ามทวีปและออสเตรเลียก็ถูกพูดถึงหลายครั้งในฐานะพันธมิตรสำคัญของโครงการ

ต่อมาในวันที่ 1 ตุลาคม ธีมของการประชุมเริ่มเปลี่ยนจาก “เศรษฐกิจและเทคโนโลยี” มาสู่ “วัฒนธรรมและจริยธรรมของการสำรวจอวกาศ” เวที “Healing Earth, Envisioning Space” เปิดขึ้นด้วยเสียงของชนพื้นเมืองจากออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา ที่พูดถึงแนวคิด “ดูแลโลกก่อนจะไปดาวอื่น” และเสนอว่าความรู้แบบ Indigenous Knowledge ควรถูกบูรณาการเข้ากับการออกแบบนโยบายอวกาศอย่างจริงจัง หนึ่งในประโยคที่สะท้อนใจมากที่สุดมาจากนักวิชาการชาวออสเตรเลียที่ว่า “Space governance begins with how we treat our own planet.”
หรือ “ธรรมาภิบาลอวกาศ เริ่มจากวิธีที่เราปฏิบัติต่อโลกของเราเอง”

หัวข้อที่พูดถึงดูแลโลกก่อนจะไปดาวอื่น ธรรมาภิบาลอวกาศ เริ่มจากวิธีที่เราปฏิบัติต่อโลกของเราเอง ที่มา – Australian Space Agency

ค่ำวันเดียวกันคือช่วงเวลาที่สายวิศวกรรมตั้งตารอ นั่นคือการบรรยาย “ADRAS-J – First Encounter with Space Debris” โดยบริษัท Astroscale ที่เล่าถึงภารกิจตรวจสอบเศษซากอวกาศครั้งแรกของโลก ซึ่งประสบความสำเร็จในการเข้าใกล้ขยะอวกาศจริง ๆ และถ่ายภาพได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ภารกิจนี้ถูกยกให้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ Space Sustainability เพราะเป็นหลักฐานว่าการจัดการขยะอวกาศไม่ใช่เพียงแนวคิดบนกระดาษอีกต่อไป

Chris Blackerby แห่งบริษัท Astroscale ที่เล่าถึงภารกิจตรวจสอบเศษซากอวกาศครั้งแรกของโลก ที่มา – Australian Space Agency

วันที่ 2 ตุลาคม งานยังคงดำเนินต่อในธีม “Sustainability” ด้วยเวทีใหญ่ของวันคือ “Space Sustainability: Regional Priorities, Global Responsibility” ที่มี Simonetta Cheli จาก ESA พูดถึงระบบเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับดาวเทียมและภัยจากเศษซากอวกาศ

การพูดถึงระบบเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับดาวเทียมและภัยจากเศษซากอวกาศ ที่มา – Australian Space Agency

ในวันเดียวกันยังมีการบรรยาย “Astronomy from the Moon – A Science Cornucopia, with Challenges” ที่ถอดรหัสแนวคิดการสร้างหอดูดาวบนดวงจันทร์ โดยเปรียบเทียบกับความท้าทายของกล้อง James Webb ที่อยู่ในจุด L2 เป็นการพูดถึง “วิทยาศาสตร์จากอวกาศเพื่ออวกาศ” ที่อาจเปลี่ยนวิธีสังเกตจักรวาลไปตลอดกาล นอกจากเวทีทางวิชาการ ยังมีงานภาคอุตสาหกรรมอย่าง Outback to Orbit ที่จัดแสดงเทคโนโลยีของออสเตรเลียเอง เช่น เซนเซอร์นำทางจาก Advanced Navigation, ระบบพลังงานจาก ELO 2, และเทคโนโลยีชีวภาพจาก Lunaria One ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกพัฒนาให้รองรับภารกิจ Artemis ในอนาคต

การปิดงานประชุมด้วยการอัพเดทข่าววงการอวกาศ

วันที่ 3 ตุลาคม 2025 คือวันสุดท้ายของการประชุม เช้าในวันนั้นเริ่มต้นด้วยเวทีที่ชื่อเรียบแต่มีความหมายลึกคือ “Late Breaking News Sessions” ซึ่งรวมการอัปเดต “ข่าวใหญ่ที่ยังร้อนอยู่” จากทั่วโลกอวกาศ หนึ่งในนั้นคือการบรรยาย “NISAR: Dual Frequencies – Single Purpose – For a Resilient Earth” ที่เปิดเผยข้อมูลล่าสุดของภารกิจเรดาร์ร่วมระหว่าง NASA และ ISRO ภารกิจที่ตั้งใจใช้คลื่นเรดาร์สองย่าน L-band และ S-band เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงของพื้นผิวโลกอย่างละเอียดระดับเซนติเมตร ตั้งแต่การละลายของน้ำแข็งขั้วโลกจนถึงการทรุดตัวของพื้นดินในเขตเมือง

Adam Gilmour แห่ง Gilmour Space บรรยายถึงความยากลำบางในการพัฒนาจรวดระดับวงโคจรลำแรกของออสเตรเลีย ที่มา – Australian Space Agency

ตามมาด้วยการบรรยาย “Launching Australia’s First Orbital Rocket – Lessons Learnt” ที่ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของออสเตรเลียในปีนี้จาก Gilmour Space เพราะเป็นครั้งแรกที่ประเทศสามารถปล่อยจรวดขึ้นสู่วงโคจรได้สำเร็จจริง ๆ วิศวกรจากบริษัทผู้พัฒนาเล่าถึงปัญหาเฉพาะหน้าที่พบระหว่างการบิน การปรับปรุงระบบขับดัน และการบริหารความเสี่ยงเชิงเทคนิคแบบ “เรียนรู้ระหว่างเดินทาง” เวทีนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแบบเข้าอกเข้าใจจากผู้ร่วมงาน เพราะทุกคนรู้ดีว่า “ความสำเร็จในวงการอวกาศไม่เคยเรียบร้อย” และสิ่งสำคัญคือการเรียนรู้จากสิ่งที่ไม่สมบูรณ์เพื่อให้ก้าวต่อไปได้

บรรยากาศก่อนพิธีปิดงาน International Astronautical Congress 2025 ที่มา – Australian Space Agency

ช่วงเย็นคือพิธีปิดงานอย่างเป็นทางการ Closing Ceremony ที่ Pyrmont Theatre ภายในงานมีการสรุปผลของตลอดสัปดาห์ ตั้งแต่การลงนามข้อตกลงระหว่างประเทศไปจนถึงความสำเร็จของภาคเอกชน พร้อมวิดีโอไฮไลต์ที่ฉายภาพความหลากหลายของผู้เข้าร่วมกว่า 90 ประเทศ Enrico Palermo ขึ้นเวทีอีกครั้งเพื่อกล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยให้ออสเตรเลียได้เป็นเจ้าภาพของ “การประชุมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ” และในช่วงท้าย เวทีได้ส่งต่อเจ้าภาพต่อไปคือ IAC 2026 ที่เมือง Antalya ประเทศตุรกี ภายใต้เสียงปรบมือก้องฮอลล์

โซนนิทรรศการ แสดงเทคโนโลยีอวกาศ

ตลอดห้าวันในศูนย์ประชุม Sydney International Convention Centre ฮอลล์ 1–4 ถูกเนรมิตให้กลายเป็นโลกจำลองของอุตสาหกรรมอวกาศแห่งอนาคต มีผู้ร่วมแสดงผลงานกว่า 200 องค์กรจากทั่วโลก ทั้งองค์การอวกาศระดับชาติ มหาวิทยาลัย สตาร์ทอัป และบริษัทเทคโนโลยีขั้นสูง ที่ต่างนำของจริงมาให้จับต้อง ตั้งแต่โมเดลสถานีอวกาศขนาดเท่าจริง ยานสำรวจดวงจันทร์รุ่นทดลอง ไปจนถึงระบบสื่อสารเลเซอร์แบบติดรถเคลื่อนที่

ในโซนสถานีอวกาศหรือ Space Habitats ผู้ชมต่างต่อคิวแน่นหน้า Pavilion ของ Vast’s Haven-1 ซึ่งจัดแสดงชิ้นส่วนต้นแบบของสถานีอวกาศเชิงพาณิชย์แห่งแรกของโลกที่เตรียมจะปล่อยขึ้นสู่วงโคจรในปี 2026 ด้วยจรวด Falcon 9 ของ SpaceX ภายในบูธเต็มไปด้วยองค์ประกอบจริงจากชิ้นส่วนที่ผลิตด้วย 3D Printing ทั้งระบบเชื่อมต่อ ชุดควบคุมภายใน และแผงควบคุมจำลองให้ผู้ชมได้ทดลองเดินสำรวจผ่านแว่น VR ที่จำลองสภาพไร้น้ำหนักอย่างสมจริง ข้าง ๆ กันมีการแสดงชุดอวกาศ IVA Suit ของ SpaceX และการสาธิตระบบอาหารในวงโคจร

การจัดแสดงเทคโนโลยีของ Vast ที่พูดถึงสถานีอวกาศเอกชนที่ร่วมมือกับ SpaceX ที่มา – Vast

ส่วน Starlab Space Station ก็นำเสนออุปกรณ์ครัวและระบบน้ำรีไซเคิลสำหรับภารกิจอวกาศระยะยาว ขณะที่ UAE Pavilion ดึงดูดสายตาด้วยโมเดล Airlock ขนาดใหญ่ที่จะใช้ในสถานี Gateway ของ NASA พร้อมอุปกรณ์จาก Rashid Rover และแนวคิดสถานีอวกาศของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เอง ด้านอิตาลีก็ไม่แพ้กัน นำเสนอส่วนประกอบทางวิศวกรรมจากบริษัท Alma Sistemi และ Aerospace District Campania ที่พัฒนาต่อยอดจากประสบการณ์ในโครงการสถานีอวกาศนานาชาติ

บริษัท Voyager Technologies โชว์เทคโนโลยีในสถานีอวกาศ Starlab ที่มา – Voyager Technologies

พื้นที่แสดงยานสำรวจหรือ Rover ก็กลายเป็นหนึ่งในโซนที่มีคนล้นที่สุด โดยเฉพาะ Roo-ver ยานต้นแบบของออสเตรเลียที่จะเดินทางไปดวงจันทร์ในโครงการ Artemis ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่หน้าทางเข้าให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด พร้อมกิจกรรม “Send Your Face to the Moon” ที่ให้หุ่นยนต์แขนกลวาดภาพใบหน้าผู้เข้าชมแล้วบันทึกไว้ใน Payload สำหรับส่งขึ้นดวงจันทร์จริง ๆ ใกล้กันคือ “Moon Spider” ยานหกขาแบบชีวกล ที่สามารถเคลื่อนที่บนภูมิประเทศขรุขระของดวงจันทร์ได้อย่างน่าทึ่ง

แบบจำลองโรเวอร์ที่ชื่อว่า Roo-ver ที่จะเดินทางไปลงจอดบนดวงจันทร์ ที่มา – Australian Space Agency

ส่วนเกาหลีใต้จัดแสดงยานสำรวจรุ่น Scarab และต้นแบบเครื่องยนต์ Blue Whale ภายในบูธของตนเอง ในขณะที่ Crest Robotics จากออสเตรเลียโชว์หุ่นหกขาคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา และ Morrison Rovers จากควีนส์แลนด์ก็นำเสนอล้อแบบ Compressive Wheel ที่ปรับแรงกดได้ตามสภาพพื้นผิว ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อจำลองสภาพแวดล้อมบนดาวอังคารโดยเฉพาะ

ในโซนดาวเทียม Earth Observation มีการจัดแสดงดาวเทียม Optimus Viper จาก Australian Space Agency เป็นไฮไลต์สำคัญ ด้วยแนวคิด “ดาวเทียมพร้อมปล่อยใน 24 ชั่วโมง” สำหรับภารกิจติดตามภัยพิบัติและตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานบนโลก ส่วน OrbView Luna ก็สร้างความตื่นตาด้วยโมเดลดาวเทียมจริงขนาด 180 กิโลกรัมที่ใช้กล้อง SAR ความละเอียดสูงระดับ 0.15 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มดาวเทียม 18 ดวงที่เตรียมจะปล่อยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ส่วนดาวเทียม Spirit ของออสเตรเลียเองก็จัดแสดงระบบสื่อสาร Patch Antenna สำหรับภารกิจนำตัวอย่างจากอวกาศกลับโลก

Josef Aschbacher พาผู้บริหารองค์การอวกาศและสื่อชม ESA Pavilion ในงาน ที่มา – ESA

ขณะที่โซน Pavilion ขององค์การอวกาศระดับโลก ESA Pavilion เป็นศูนย์กลางความสนใจตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน เมื่อผู้อำนวยการใหญ่ Josef Aschbacher พาผู้นำหน่วยงานอวกาศทั่วโลกเยี่ยมชมบูธและนำเสนอภารกิจ Ramses Asteroid Mission ที่เตรียมพบกับดาวเคราะห์น้อย Apophis ในปี 2029 ซึ่งถูกมองว่าเป็นหนึ่งในโครงการป้องกันดาวเคราะห์ หรือ Planetary Defense ที่โลกกำลังจับตา วันที่ 3 ที่บูธเดียวกัน ESA ยังจัดการประกวดสตาร์ทอัปยุโรป–ออสเตรเลีย โดยผู้ชนะจาก 4 ประเทศ ได้แก่ GyroPlant จากสหราชอาณาจักร, SharpSat จากเยอรมนี, Solidflow จากเนเธอร์แลนด์ และ Solidkosmos จากกรีซ ซึ่งได้สิทธิ์เข้าถึงตลาดออสเตรเลียในฐานะพันธมิตรใหม่ของ ESA

ชิ้นส่วนจากภารกิจ Hayabusa2 ที่เดินทางไปยังดาวเคราะห์น้อย Ryugu ที่มา – JAXA

นอกจากนี้ JAXA Pavilion จากญี่ปุ่นยังนำของจริงมาจัดแสดง ทั้งแคปซูลตัวอย่างจากภารกิจ Hayabusa2, โมเดลจรวด H3 และเซนเซอร์อุณหภูมิภาคพื้น ส่วน Pavilion ของจีนก็จัดเต็มด้วยโมเดลจรวด Long March และห้องทดสอบ Thermal Vacuum ที่ใช้จริงในการพัฒนายานอวกาศตระกูล Chang’e ด้านออสเตรเลียเองก็มีพื้นที่ NSW Pavilion ที่เชื่อมโยงธุรกิจอวกาศในภูมิภาคอินโด–แปซิฟิก และบูธของ University of Western Australia ที่แสดงระบบสื่อสารเลเซอร์เคลื่อนที่ TeraNet ซึ่งสามารถส่งข้อมูลจากอวกาศผ่านเมฆได้เป็นระบบแรกของซีกโลกใต้

เจ้าหน้าที่ JAXA กำลังแสดงแคปซูลสำหรับส่งตัวอย่างดาวเคราะห์น้อย Ryugu กลับโลก ที่มา – JAXA

ในอีกมุมหนึ่งของฮอลล์คือส่วนจัดแสดงนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เรียกเสียงฮือฮา Varda Space Industries นำเสนอการกลับสู่โลกสำเร็จของแคปซูล Winnebago-3 พร้อมสาธิตเทคโนโลยีการผลิตวัสดุชีวการแพทย์ในอวกาศจริง ๆ ส่วนบูธของ Australian Space Agency เองก็มีการสาธิต Topoloki Blocks โดยนักคณิตศาสตร์ Riss Wiese ที่ออกแบบบล็อกเชื่อมต่อแบบไม่ใช้ปูน หรือ Mortarless Construction เพื่อการก่อสร้างบนดวงจันทร์ในอนาคต ซึ่งเป็นการผสมผสานคณิตศาสตร์กับสถาปัตยกรรมอย่างงดงาม

บริษัท Varda Space Industries กับ Winnebago-3 การนำส่งการทดลองจากอวกาศกลับโลก ที่มา – Varda

Lockheed Martin ก็สร้างแถวคิวยาวด้วยบูธถ่ายภาพจำลองภายในยาน Orion ที่ให้ผู้เข้าชมสวมหมวก VR และควบคุมยานจำลองได้เหมือนนักบินอวกาศจริง ๆ ขณะที่ Southern Launch นำรถควบคุมภารกิจเคลื่อนที่มาตั้งโชว์ พร้อมเชื่อมต่อสัญญาณสดกับ Parkes Telescope เพื่อแสดงการติดตามจรวดแบบเรียลไทม์ และในหลายบูธยังมีการสาธิตเครื่องพิมพ์ 3 มิติสำหรับหัวฉีดและเทอร์โบปั๊มเครื่องยนต์มีเธนแบบกำลังทำงานจริง

ภายนอกอาคาร ในย่าน Martin Place ใจกลางเมือง ยังมีการติดตั้ง “Inflatable Astronaut” ขนาดสูง 10 เมตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม Space Week ที่เล่าเรื่องราวของการสำรวจอวกาศผ่านแสง สี และเสียง เป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ที่ทำให้คนทั่วไปได้สัมผัส “อวกาศในเมือง” อย่างแท้จริง

LEGO หนึ่งในพันธมิตรร่วมจัดกิจกรรมในฝั่งการศึกษาของงาน ที่มา – Australian Space Agency

นอกจากนี้ยังมีพื้นที่กิจกรรมของ LEGO ในวัน Public Day ที่เชื่อมโยงของเล่นเข้ากับการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ เด็ก ๆ ได้ต่อยานอวกาศ ดวงจันทร์ และสถานีอวกาศจากตัวต่อ LEGO จริง ๆ ขณะที่นักบินอวกาศและวิศวกรออสเตรเลียเดินพูดคุยอยู่ข้าง ๆ เพื่ออธิบายหลักการทางฟิสิกส์และการออกแบบในชีวิตจริง

สรุปงานประชุมอวกาศระดับโลกที่ประสบความสำเร็จอีกปี

งาน International Astronautical Congress 2025 ในปีนี้ไม่ได้เพียงเฉลิมฉลองความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการทูต แต่ยังนำมิติทางวัฒนธรรมและความรู้ดั้งเดิมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนา ตั้งแต่พิธีเปิดด้วย Welcome to Country ไปจนถึงเวทีสำคัญอย่าง Beyond Integration: Building Earth–Sky Knowledge Infrastructure for Co-Discovery in Space and Sustainability ที่ผู้บรรยายจากชนพื้นเมืองออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดาแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องดวงดาวและการดูแลโลก เพื่อวางรากฐานของธรรมาภิบาลอวกาศที่ยั่งยืน

Eric Philips ลูกเรือภารกิจ Fram2 ที่ไปโคจรตัดขั้วเหนือใต้ของโ,ก ซึ่งเป็นนักสำรวจชาวออสเตรเลียเข้าร่วมงาน IAC ด้วย ที่มา – Australian Space Agency

อีกจุดเปลี่ยนสำคัญคือการเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะ Public Space Day ในวันที่ 3 ตุลาคม ซึ่งร่วมจัดกับ LEGO และกลายเป็นวันเดียวที่มีผู้เข้าชมกว่า 12,000 คน เด็ก ๆ ได้ต่อยานจากตัวต่อ ได้สัมผัสของจริงจากภารกิจ Artemis, Varda, และ JAXA พร้อมฟังนักบินอวกาศและวิศวกรเล่าถึงเบื้องหลังการทำงานแบบใกล้ชิด กิจกรรมอย่าง “Send Your Face to the Moon” หรือการสาธิตของ TeraNet Jeep ช่วยจุดประกายคำถามใหม่ ๆ ให้กับคนรุ่นต่อไปว่าวิทยาศาสตร์อวกาศเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันอย่างไร ในขณะที่กลางเมืองซิดนีย์เองก็มีกิจกรรม “Inflatable Astronaut” สูงสิบเมตรที่ดึงดูดผู้คนทุกวัยให้มามีส่วนร่วม

งาน IAC ในปีนี้ถือว่าเปลี่ยนภาพจำงานประชุมวิชาการเป็นงานที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ที่มา – Australian Space Agency

เราจะเห็นว่าความเข้าใจใหม่ว่าความยั่งยืนในอวกาศไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยวัฒนธรรมของ “การฟังและร่วมสร้าง” ไปพร้อมกัน จากข้อตกลงระหว่างประเทศอย่าง US–Australia Space Framework, ความร่วมมือกับ ESA, ไปจนถึงความสำเร็จของภาคเอกชนในโครงการอย่าง Southern Launch และ Varda และ TeraNet, ทุกอย่างล้วนสะท้อนว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมอวกาศจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนเดินไปด้วยกัน IAC 2025 จึงไม่เพียงเป็นเวทีของความรู้ แต่เป็นบทพิสูจน์ว่าการสำรวจอวกาศยุคใหม่คือการสร้างอนาคตร่วมกันของมนุษย์ทั้งโลก อนาคตที่เทคโนโลยี วัฒนธรรม และความรับผิดชอบต่อโลกเดินเคียงกันได้อย่างงดงาม

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.