วุฒิสภาสหรัฐฯ ลงมติเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ด้วยคะแนน 67 ต่อ 30 เสียง รับรอง Jared Isaacman ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ NASA อย่างเป็นทางการ ปิดฉากช่วงเวลาความไม่แน่นอนยาวนานกว่าหนึ่งปี ที่หน่วยงานอวกาศสหรัฐฯ ต้องบริหารงานโดยผู้อำนวยการรักษาการต่อเนื่องหลายคน ท่ามกลางแรงกดดันทั้งจากโครงการ Artemis การแข่งขันกับจีน และงบประมาณที่ผันผวนทางการเมือง
Jared Isaacman วัย 42 ปี เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทชำระเงิน Shift4 และเป็นหนึ่งในนักบินอวกาศเอกชนที่เป็นสัญลักษณ์ของยุค Space Commercial เขาเป็นผู้บัญชาการภารกิจ Inspiration4 และ Polaris Dawn ซึ่งใช้ยาน Dragon ของ SpaceX ทั้งสองภารกิจไม่เพียงสร้างหมุดหมายใหม่ให้วงการบินอวกาศภาคเอกชน แต่ยังทำให้ Isaacman เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ “เคยขึ้นไปทำงานจริง” ผ่านภารกิจอวกาศยุคใหม่ และการพูดคุยกับบริษัทอวกาศเอกชน ในสายตาคนในวงการ เขาไม่ใช่แค่มหาเศรษฐีที่สนใจอวกาศ แต่เป็นคนที่เข้าใจ Supply Chain, Decision-Making และ Risk ของการบินอวกาศในโลกจริง

อย่างไรก็ตาม เส้นทางของ Isaacman สู่ตำแหน่งนี้ไม่ตรงไปตรงมา เขาถูกเสนอชื่อครั้งแรกโดย Donald Trump ในเดือนธันวาคม 2024 ก่อนจะผ่านการรับฟังวิสัยทัศน์ของคณะกรรมาธิการวุฒิสภาในเดือนเมษายน 2025 และดูเหมือนจะผ่านฉลุย ตามที่เราเคยรายงานไปในบทความ สรุปใจความการฟังความเห็น Jared Isaacman ก่อนเป็นผู้อำนวยการ NASA แต่ปลายเดือนพฤษภาคม การเสนอชื่อกลับถูกถอนอย่างกะทันหัน ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่าง Trump กับ Elon Musk และประเด็นเรื่องเงินบริจาค ที่ถูกหยิบมาเป็นเหตุผลทางการเมือง NASA จึงตกอยู่ในสภาวะ “ไร้ผู้นำถาวร” โดยมีทั้ง Janet Petro และต่อมา Sean Duffy รัฐมนตรีคมนาคม ทำหน้าที่รักษาการไปแบบไม่มีกำหนด
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นอีกครั้งต้นเดือนพฤศจิกายน เมื่อเอกสาร 62 หน้าในชื่อ Project Athena หลุดออกมาผ่าน Politico A confidential manifesto lays out Isaacman’s sweeping new vision for NASA เผยวิสัยทัศน์ของ Isaacman ต่อ NASA ตั้งแต่การทำงานแบบ Lean การลดขั้นตอน ไปจนถึงการจัดลำดับความสำคัญของภารกิจ ในจังหวะเดียวกัน รัฐบาล Trump ตัดสินใจเสนอชื่อเขาอีกครั้งในวันที่ 4 พฤศจิกายน ท่ามกลางเสียงสนับสนุนจากคนในวงการ รวมถึงจดหมายจากนักบินอวกาศ NASA 36 คน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่เกิดขึ้นบ่อย และสะท้อนว่าภายในองค์กรเองก็ต้องการ “คนตัดสินใจ” มากกว่าการประคองสถานการณ์ไปวัน ๆ
การรับรองในครั้งนี้เกิดขึ้นบนฉากหลังที่ซับซ้อน งบประมาณปี 2026 ของรัฐบาลเสนอให้ตัดงบ NASA เกือบ 25% และตัดงบ Science เกือบครึ่งหนึ่ง ขณะที่ Isaacman ในการรับฟังวิสัยทัศน์ยืนยันชัดว่าจะดำเนินนโยบายตามทิศทางรัฐบาล ทั้งการพามนุษย์กลับไปดวงจันทร์ก่อนจีน และเป้าหมายระยะยาวอย่าง Mars แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องทำงานร่วมกับสภาคองเกรสที่พยายามดึงงบประมาณกลับสู่ระดับเดิม คำพูดของวุฒิสมาชิก Maria Cantwell ที่เน้นเรื่อง Pipeline ของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกร จึงสะท้อนโจทย์ใหญ่ของ NASA ยุคนี้ ไม่ใช่แค่ “จะไปไหน” แต่คือ “จะมีคนพอไหมที่จะไปต่อ”

ถ้ามองภาพรวมตรงไปตรงมา NASA ตอนนี้อยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทุกเส้นทางที่เลือกเดินมีต้นทุนทางการเมืองและยุทธศาสตร์ซ่อนอยู่หมด Artemis ถูกกดดันให้ “ต้องสำเร็จเร็ว” เพื่อรักษาภาพของผู้นำด้านอวกาศเหนือจีน ทั้งที่ความจริงเชิงวิศวกรรมมันคือโครงการที่ซับซ้อน หนัก และแพง ในขณะที่ Mars Sample Return กลายเป็นตัวอย่างคลาสสิกของงานผลักดันวิทยาศาสร์ที่ NASA ถนัดแต่ดันถูกถามซ้ำ ๆ ว่า “คุ้มไหม” ในโลกที่งบประมาณถูกบีบและความต้องการด้านความมั่นคงกลับมานำหน้า NASA ต้องแข่งกับจีน แต่กลับต้องทำงานภายใต้ระบบการเมืองที่เสถียรภาพต่ำ เสี่ยง Government Shutdown ทุกปี งบประมาณผ่านแบบชั่วคราวทีละก้อน และผู้นำองค์กรเปลี่ยนมือบ่อยจนการตัดสินใจเชิงโครงสร้างแทบทำไม่ได้ทั้งหมดนี้ทำให้ NASA ไม่ได้ขาดวิสัยทัศน์ แต่ขาดการวางแผนระยะยาว และนั่นคือบริบทจริงที่ผู้อำนวยการ NASA คนใหม่ต้องเผชิญตั้งแต่วันแรก
ในภาพรวม การขึ้นมาของ Jared Isaacman ไม่ใช่แค่การแต่งตั้งผู้บริหารคนใหม่ แต่เป็นการเลือกทิศทางว่า NASA จะเดินหน้าในยุคที่อวกาศกลายเป็นทั้งสนามแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และตลาดเชิงพาณิชย์อย่างเต็มตัวหรือไม่ เขาคือคนที่ยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างรัฐกับเอกชน ระหว่างความต้องการของการผลักดันการสำรวจ กับความจริงของงบประมาณและความคล่องตัว และนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไม ทั้งจากภายใน NASA และจากภายนอกองค์กร ถึงพร้อมใจกันบอกว่า “ตอนนี้ NASA ต้องการคนแบบนี้” มากกว่าที่เคยเป็นมา
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co