สรุปทุกอย่างที่เราควรรู้เกี่ยวกับกรณี Kosmos 482 ตกกลับสู่โลก

ประมาณวันที่ 9-11 พฤษภาคม 2025 โลก0tต้อนรับการกลับบ้านของ “ยานอวกาศเก่าแก่” ที่ออกจากโลกไปเมื่อครึ่งศตวรรษก่อน แต่ไม่เคยไปถึงจุดหมาย นั่นคือ Kosmos 482 ยานอวกาศของสหภาพโซเวียตที่ตอนนี้กำลังโคจรวนอยู่รอบโลกเป็นวงท้าย ๆ ก่อนจะตกลงมาด้วยน้ำหนักกว่า 500 กิโลกรัม พร้อมความกังวลนิด ๆ (แต่ไม่ถึงขั้นต้องเตรียมหลุมหลบภัย) ก่อนจะตื่นตูมไปมากกว่านี้ เรามาดูกันแบบเจาะลึกว่า Kosmos 482 คืออะไร ตกลงมาได้ยังไง และเราควรจะรู้สึกยังไงกับมัน

เรื่องนี้เริ่มต้นในยุคสงครามเย็น ปี 1972 สหภาพโซเวียตมีเป้าหมายสำรวจดาวศุกร์อย่างจริงจัง หนึ่งในนั้นคือภารกิจฝาแฝดของ Venera 8 ซึ่งถูกวางแผนไว้ให้ลงจอดบนพื้นผิวดาวศุกร์เพื่อวัดค่าต่าง ๆ ในบรรยากาศอันรุนแรง แต่มันพลาดตั้งแต่ยังไม่ทันออกจากวงโคจรโลก Kosmos 482 ถูกปล่อยขึ้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 1972 ด้วยจรวด Molniya แต่เกิดปัญหาทางเทคนิค ทำให้จรวดพายานออกจากวงโคจรโลกไม่สำเร็จ ผลคือ ยานถูกทิ้งให้โคจรรอบโลกแบบไม่มีภารกิจ กลายเป็น “ขยะอวกาศ” ที่หลงทางตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ยานอวกาศ Venera 4 ของโซเวียต ที่เดินทางไปพยายามลงจอดบนดาวศุกร์ เป็นหนึ่งในความพยายามของยานลงจอดาวศุกร์ชุดแรก ที่มา – ESA

ที่น่าสนใจก็คือ เมื่อยานไม่สามารถไปดาวศุกร์ได้ สหภาพโซเวียตจึงตั้งชื่อใหม่เป็น “Kosmos 482” เพื่อปิดบังความล้มเหลวตามธรรมเนียม ถ้าภารกิจสำเร็จค่อยเปิดตัว ถ้าเฟลก็ใช้ชื่อรหัส “Kosmos” กลบเกลื่อนไป โดยปัจจุบันมีวัตถุตระกูล Kosmos โคจรอยู่เหนือหัวเราเต็มไปหมด ทั้งในลักษณะของชิ้นส่วนยานอวกาศต่าง ๆ ที่แยกตัวออกจากกันในวงโคจร หรือดาวเทียมเก่าปลดประจำการ

Kosmos 482 ไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา มันแยกตัวออกเป็น 4 ชิ้น โดย 2 ชิ้นตกลงสู่โลกในช่วงปี 1972 และ 1978 หนึ่งในนั้นตกลงกลางไร่นิวซีแลนด์ เผาพืชจนเกิดรูโหว่ในดิน สร้างความตกใจเล็กน้อยแต่ไม่มีผู้บาดเจ็บ ชิ้นส่วนนั้นหนัก 13.6 กิโลกรัม และเป็นโลหะไทเทเนียม เบาเท่ากับมอเตอร์ไซค์เล็ก ๆ แต่ก็ตกลงมาด้วยความเร็วสูง

ตอนนี้ชิ้นส่วนอีก 2 ชิ้นยังคงโคจรอยู่ หนึ่งในนั้นคือ Landing Module ที่ถูกออกแบบมาให้ “ทนได้มาก” เพราะเดิมทีจะต้องฝ่าชั้นบรรยากาศหนาแน่นของดาวศุกร์ ซึ่งหนากว่าของโลกหลายเท่า มันจึงมีโครงสร้างที่สามารถ รอดผ่านบรรยากาศโลกได้ แบบไม่ไหม้กลางทาง ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะขยะอวกาศส่วนใหญ่มักจะเผาไหม้จนหมดก่อนถึงพื้น น้ำหนักของมัน ประมาณ 500 กิโลกรัม ขนาดราว ๆ 1 เมตร ความเร็วตอน Reentry จะอยู่ที่ประมาณ 233 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเทียบง่าย ๆ นี่คือก้อนเหล็กหนักเท่ารถกอล์ฟที่พุ่งลงมาจากฟ้า

แล้วเราตรวจจับวัตถุในวงโคจรได้อย่างไร

เนื่องจากขยะอวกาศไม่ได้ส่งข้อมูลกลับมาหาเรา ทำให้เราไม่มีข้อมูลว่ามันอยู่ตรงไหน นอกจากนี้วัตถุที่เป็นขยะหรือพวกดาวเทียมปลดประจำการแปลว่ามันไม่สามารถเปิดใช้ระบบ Altitude Control เพื่อจุดเครื่องยนต์ปรับทิศทางและระดับความสูงของวงโคจรได้ และที่สำคัญมันอาจจะไม่มีแบตเตอร์รี่และพลังงานหลงเหลือด้วยซ้ำ ทำให้เวลาที่เรามองขยะอวกาศ เราจะไม่ได้มองมันเหมือนดาวเทียม หรือยานอวกาศทั่ว ๆ ไปที่ใช้งานอยู่ และจำเป็นต้องอาศัย “การสังเกตฝ่ายเดียว” จากกล้องต่าง ๆ รอบโลก

การติดตามวัตถุในวงโคจรโลกไม่ใช่การมองด้วยกล้องอย่างเดียว ทุกวันนี้มีระบบติดตามวัตถุอวกาศมากมาย ทั้งจากฝั่ง กองทัพอวกาศสหรัฐฯ US Space Force, ESA, JAXA, DLR ไปจนถึงบริษัทเอกชนและนักดาราศาสตร์สมัครเล่น ที่บางคนถึงขั้นสามารถถ่ายภาพมันในวงโคจรได้ ยกตัวอย่างเช่น Ralf Vandebergh นักถ่ายภาพวัตถุพวกขยะอวกาศบนวงโคจร ที่ล่าสุดก็สามารถบันทึกภาพ Kosmos 482 ได้ด้วย

ภาพของ Kosmos 482 ที่ช่างภาพ Ralf Vandebergh ถ่ายได้ด้วยกล้องโทรทรรศน์ ขนาดกระจก 25 เซนติเมตร ในช่วงปี 2024 ที่มา – Ralf Vandebergh

หรือระบบขนาดใหญ่ของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ อย่างระบบ US Space Force Space Surveillance Network หรือ SSN ประกอบด้วยเรดาร์หลายแห่งทั่วโลก กล้อง Optical ในตำแหน่งต่าง ๆ และฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า Space-Track.org ที่รวบรวม TLE หรือ Two-Line Element ซึ่งเป็นข้อมูลตำแหน่งของวัตถุในอวกาศ รวมวัตถุมากกว่า 47,500 ชิ้น SSN ใช้ข้อมูลนี้ในการแจ้งเตือน Collision Avoidance หรือการชนกันของวัตถุในอวกาศ ให้กับหน่วยงานและบริษัททั่วโลก และคอยอัปเดตสถานะของวัตถุที่อาจกำลัง Reenter

ระบบเหล่านี้ใช้ข้อมูลจาก Radar, Optical Telescope, และ Tracking Software ที่สามารถประเมินวงโคจรของวัตถุทุกชิ้นที่ใหญ่พอ ประมาณลูกเบสบอลขึ้นไป การจะบอกว่าวัตถุใดจะ “ตกกลับโลกเมื่อไร” ต้องใช้ข้อมูล พารามิเตอร์วงโคจร ที่เราคุ้นเคยกัน เนื่องจากวัตถุทุกชนิดจะโคจรรอบโลกเป็นวงรี ดังนั้นถ้าเรารู้ว่า มันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าไหร่ ณ บริเวณต่าง ๆ ที่สามารถมองเห็นมันได้ เราจะสามารถคำนวณย้อนกลับเพื่อหา จุดใกล้โลกที่สุด Apogee, จุดไกลโลกที่สุด Perigee และ Inclination หรือความชันของการโคจรเทียบกับเส้นศูนย์สูตร ข้อมูลพวกนี้ทำให้เราสามารถตีเส้นเป็นลักษณะเหมือนกับกราฟคลื่น Sine หรือ Sinusoidal เพื่อให้เห็นว่ามันจะโคจรผ่านจุดใดบนโลกบ้าง

ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเปลี่ยนตลอดเวลา เพราะอิทธิพลจากแรงต้านอากาศ แม้ในอวกาศระดับต่ำก็มี, แรงโน้มถ่วงจากดวงจันทร์, และแม้กระทั่งแรงสุริยะ Solar Radiation Pressure ดังนั้นข้อมูลพวกนี้ต้องอัพเดทกันรายชั่วโมง หากเราจะคำนวณจุดตกกลับของมันอย่างแม่นยำ

แล้วมันจะตกกลับตรงไหน ทำไมเราถึงไม่รู้

ณ ตอนนี้มีข้อมูลจากหลายสำนัก แต่ละสำนักก็จะมีโมเดลที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดก็ระบุประมาณว่า โซนที่มีโอกาสตกอยู่ระหว่างละติจูด 52 องศาเหนือถึง 52 องศาใต้ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ใหญ่มาก รวมถึง อียิปต์, ตุรกี, ซีเรีย, อาเซอร์ไบจาน, อินเดีย, จีน, ญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย, ไปจนถึงไทย ซึ่งเอาจริง ๆ แล้ว ก็คือ เกือบทั้งโลกยกเว้นขั้วโลก

อย่างเช่นข้อมูลจากทีม TU Delft ซึ่งใช้ซอฟต์แวร์จำลองการโคจรชื่อ TU Delft Astrodynamics Toolbox คำนวณว่า Kosmos 482 อาจตกในช่วงวันที่ 8–14 พฤษภาคม 2025 โดยข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ระบุเวลาตกอยู่ที่ 6:39 เวลาสากล UTC บวกลบอยู่ที่ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ในขณะที่ข้อมูลจาก ESA ในหน้าเว็บ Reentry Prediction of Soviet Venera Lander ระบุจุดกลางอยู่ที่ 10 พฤษภาคม เวลา 06:37 เวลาสากล UTC บวกลบประมาณ 3 ชั่วโมง จะเห็นว่าข้อมูลจากการทำ Prediction จะไม่ต่างกันมาก เพราะเรากำลัง Track วัตถุชิ้นเดียวกันนั่นเอง

ข้อมูลจาก ESA แสดงถึงวงโคจรท้าย ๆ ของ Kosmos 482 จะตกกลับสู่โลก ที่มา – ESA

วัตถุในวงโคจรเคลื่อนที่เร็วมาก ประมาณ 28,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หมายความว่าถ้ามัน Reenter เร็วกว่าหรือช้ากว่าแค่ 10 นาที มันอาจจะอยู่ห่างจากตำแหน่งที่เราคำนวณไว้เป็นพันกิโลเมตร จากภาพด้านบนเราจะเห็นเส้นทางบนแผนที่โลกที่วัตถุจะบินผ่าน โดยจุดสีเดียวของภาพที่เขียนว่า COIW นั้นคือ Centre of Impact Window ซึ่งเป็น “จุดกึ่งกลางของพื้นที่คาดว่าจะตก” ซึ่งไม่ได้หมายความว่ามันจะตกตรงนั้นเป๊ะ ๆ หรือมีโอกาสที่จะตกตรงนั้นมากกว่าจุดอื่น เพราะอย่างที่บอกไปว่ามันมีปัจจัยหลายอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อมันแตะกับชั้นบรรยากาศ เราไม่รู้ว่า Profile การ Reentry ของมันจะเป็นแบบไหน เพราะเราไม่รู้ทิศทางการหมุนของมัน หรือมันจะเด้งบนบรรยากาศ เหมือนก้อนหิ้นที่เด้งเวลาเราปาลงน้ำในแนวเฉียงแค่ไหน

ตัวอย่างของแหล่งข้อมูลที่คอยรายงานการตกกลับของ Kosmos 482 เช่น เว็บของ ESA Reentry Prediction Soviet-era Venera Venus Lander รายงานของ The Aerospace Corporation และ SatTrackCam Leiden หรือจากทีม TU Delft จาก Marco Langbroek

แล้วเราควรรู้สึกยังไงกับมันดีควรตกใจแค่ไหน

คำตอบสั้น ๆ “ไม่ต้องกลัว” ข้อมูลจาก ESA ระบุว่า “โอกาสที่ใครสักคนจะได้รับบาดเจ็บจากเศษขยะอวกาศมีเพียง 1 ใน 100,000,000,000 ต่อปี” ในขณะเดียวกัน คนเรามีโอกาสโดนฟ้าผ่ามากกว่านั้นถึง 65,000 เท่า และในความเป็นจริง วัตถุจากอวกาศระดับกลางแบบนี้ตกลงมาเกือบทุกวันหรือไปตกในมหาสมุทร เพราะพื้นที่บนโลกที่คนอยู่จริง ๆ แล้วน้อยมากเมื่อเทียบกับพื้นที่ทั้งหมด แม้กระทั้งวัตถุอวกาศรุ่นใหม่ ๆ ยังสร้างปัญหานี้ ซึ่งเราก็ปรับแก้กันไปเป็นกรณี เช่น SpaceX ย้ายฐานปฏิบัติการเก็บกู้ยาน Dragon ไปฝั่งแปซิฟิก หลับพบว่า Trunk เผาไหม้ไม่หมด หรือกรณีของจรวด Second Stage ต่าง ๆ ที่บางทีก็ไม่ได้ตกกลับสู่โลกในบริเวณที่กำหนด ครั้งนี้เราจับตา Kosmos 482 เพราะมัน “ไม่ธรรมดา” และดู “น่าสนใจ” และสื่อค่อนข้างเล่นใหญ่กับมัน

ซากของชิ้นส่วนของ Trunk จากภารกิจ Crew-1 ในออสเตรเลีย ที่มา – Brad Tucker

สิ่งที่น่าพูดถึงมากกว่าว่ามันจะตกใส่เรามั้ยก็คือ ถ้าตกขึ้นมาจริง ๆ เราจะทำยังไงต่อ ตามกฎหมายอวกาศระหว่างประเทศ ซึ่งเราเคยเล่าไปในบทความ ถ้าเราก่ออาชญากรรมในอวกาศ ใครจะมาจับเรา รู้จักสนธิสัญญาอวกาศ หากวัตถุอวกาศตกลงมา เจ้าของดั้งเดิมต้อง “รับผิดชอบ” แต่ในอดีต อย่างกรณีนิวซีแลนด์ปี 1972 โซเวียตปฏิเสธความเกี่ยวข้อง สุดท้ายเจ้าของไร่ก็เก็บไว้เป็นของที่ระลึกเฉย ๆ

Kosmos 482 เป็นตัวอย่างที่ดีของการที่เทคโนโลยีในอดีตยังมีอิทธิพลในปัจจุบัน แม้จะหลงทางไป 50 ปี มันคือ ซากอารยธรรมโซเวียตที่ยังวนเวียนอยู่ในอวกาศ เป็นเหมือนกับเครื่องเตือนใจว่ายุคแรกที่มนุษย์มีความทะเยอทะยานอยากจะสำรวจอวกาศนั้นมันเป็นยังไง และการเฝ้าดูการตกของมันไม่ใช่เพราะความกลัว แต่อาจเป็นโอกาสดีที่จะทำความเข้าใจการทำงานของวงโคจร เรียนรู้ระบบติดตามขยะอวกาศ และที่สำคัญ ไม่ต้องเอาข่าวนี้มาปั่นให้คนกลัวจนตกใจโดยไม่สนใจข้อมูลทั้งหมด

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.