สวัสดีจาก NASA Kennedy Space Center อีกครั้ง ในตอนที่แล้ว เราได้พาทุกคนไป ชมการประกอบจรวด SLS ในอาคาร VAB กันไปแล้ว ในตอนนี้เราจะพาทุกคนไปเยี่ยมชมฐานปล่อยที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสองฐานปล่อยในตำนานที่อยู่คู่กับวงการอวกาศมาอย่างยาวนาน นั่นก็คือ Launch Complex 39B ใน NASA Kennedy Space Center ฐานปล่อยที่ถูกใช้ตั้งแต่โครงการ Apollo ผ่านยุคกระสวยอวกาศ และปัจจุบันเป็นฐานปล่อยหนึ่งเดียวของจรวด Space Launch System หรือ SLS สำหรับโครงการ Artemis ที่จะพามนุษย์กลับสู่ดวงจันทร์อีกครั้ง

การเยี่ยมชมนี้ เกิดขึ้นจากทางทีม NASA ได้อนุญาติให้ทีมงานสเปซทีเอช เข้าชม NASA Kennedy Space Center เป็นกรณีพิเศษ ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา เพื่อทำคอนเทนต์อัพเดทความคืบหน้าของภารกิจ Artemis II ที่จะเป็นการพาลูกเรือ 4 คนเดินทางไปโคจรรอบดวงจันทร์ในปี 2026 ทำให้เราเป็นหนึ่งในสื่อไม่กี่เจ้าในโลกที่ได้เก็บบรรยากาศการเตรียมพร้อมอย่างใกล้ชิด

แต่ก่อนที่จะไปเยี่ยมชม ต้องขอเล่าประวัติและอธิบายภาพรวมของฐานปล่อยแห่งนี้ก่อน ฐานปล่อย LC-39B นั้น ตั้งอยู่ใน NASA Kennedy Space Center ณ แหลมคะเนอเวอรัล เป็นหนึ่งในสองฐานปล่อยที่ NASA เป็นเจ้าของ ได้แก่
- LC-39A ที่ปัจจุบันได้ปล่อยเช่าให้กับ SpaceX ใช้สำหรับการปล่อยจรวด Falcon 9, Falcon Heavy และ Starship ในอนาคต
- LC-39B ปัจจุบันถูกใช้งานสำหรับเป็นฐานปล่อยจรวด Space Launch System หรือ SLS
โดยทั้งสองฐานนั้น ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน ห่างจากอาคาร Vehicle Assembly Buidling ที่ NASA ใช้สำหรับประกอบจรวดประมาณ 7 กิโลเมตร โดยมีทางสำหรับรถขนจรวด “Crawler” ที่เป็นทางหินขนาดใหญ่ วิ่งจากอาคาร VAB ไปยังฐานปล่อยทั้งสอง
ฐานปล่อย LC-39B นั้น แม้จะไม่ได้มีการใช้บ่อยเท่ากับ LC-39A แต่ก็ถูกใช้งานในภารกิจสำคัญ ๆ อย่าง Apollo 10 ในปี 1969 ซึ่งเป็นภารกิจแรกที่ใช้ฐานปล่อยแห่งนี้, ภารกิจ Apollo-Soyuz ปี 1975, ภารกิจ STS-51L ที่เป็นโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ Challenger ในปี 1986 และที่สำคัญคือภารกิจ Artemis I ที่เป็นการเปิดศักราชของการกลับสู่ดวงจันทร์อีกครั้ง


สำหรับเรื่องราวประวัติศาสตร์ของฐานปล่อยทั้งสอง ก็สามารถอ่านได้ในบทความ ประวัติศาสตร์ที่ดินของแหลมคะเนอเวอรัล และทำไม NASA ต้องปล่อยจรวดที่นั่น
พาเดินทางไปยังฐานปล่อยประวัติศาสตร์
ทีมงานเริ่มต้นการเดินทางจากบริเวณที่เรียกได้ว่าเป็นใจกลางของ NASA Kennedy Space Center นั่นก็คือบริเวณอาคาร Vehicle Assembly Building หรือ VAB โดยเราจะนั่งรถตู้ของทีมสื่อ NASA ไป เนื่องจากเรามีสถานะเป็น Forigen National ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนใน Kennedy Space Center ได้เองโดยไม่มีการ Escort จากเจ้าหน้าที่ ซึ่งในบริเวณนี้จะถือว่าเป็นเขตหวงห้ามพิเศษแล้ว มีเฉพาะเจ้าหน้าที่ภายใน NASA เท่านั้นที่สามารถเข้ามาได้ และเราได้ผ่านกระบวนการตรวจโดยสุนัขตำรวจ K-9 มาแล้ว ก่อนหน้านี้

ในการเดินทางเราจะวิ่งผ่านถนนด้านข้าง “Crawler Way” ซึ่งเป็นทางสำหรับขนเอาตัวจรวดบนโครงสร้างตัว Mobile Launcher ไปยังฐานปล่อย โดยเส้นทางนี้จะมีระยะทางทั้งสิ้น 7 กิโลเมตร นับจากอาคาร VAB ไปยังตรงกลางของฐานปล่อยพอดี

ทางตรงนี้ในตอนที่ NASA ลากเอาจรวด SLS และ Mobile Launcher ออกมาจาก VAB ไปยังฐานปล่อยสำหรับภารกิจ Artemis I เมื่อปี 2022 นั้น ใช้เวลานานกว่า 9 ชั่วโมง เนื่องจากตัวรถ Crawler ที่ใช้แบกนั้นทำความเร็วได้เพียงแค่ประมาณ 1 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เมื่อขับมาได้ประมาณ 3 กิโลเมตร เราก็จะเจอกับทางแยกเบี่ยงซ้ายจะไป LC-39B และตรงไปจะไป LC-39A ซึ่งแน่นอนว่าหากเราเป็นทีมงาน SpaceX เราก็จะต้องตรงไป ซึ่งเส้นทางนี้นี่แหละที่ SpaceX ใช้ในการขนย้ายเอาจรวด Falcon 9 มายังฐานปล่อย แต่ในกรณีนี้ เราจะเบี่ยงซ้ายและไปยังฐานปล่อย LC-39B

เมื่อเบี่ยงซ้ายมา เราก็จะเห็นฐานปล่อย LC-39B ปรากฎอยู่ที่เส้นขอบฟ้า ซึ่งต้องบอกก่อนว่าเนื่องจากพื้นที่บริเวณแหลมคะเนอเวอรัลนี้มันโล่งมาก ๆ ภาพที่เห็นมันก็จะดูเหมือนใกล้ ๆ แต่จริง ๆ แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันห่างกันมาก อย่างในภาพนี้เราถ่ายตอนอยู่ห่างจากฐานปล่อยประมาณ 3 กิโลเมตรได้

เมื่อเข้ามาใกล้ ๆ เราก็จะเห็นตัวฐานปล่อยแบบชัด ๆ พร้อมกับอาคารบริเวณด้านขวาของภาพบน ซึ่งอาคารนี้จะเป็นศูนย์อำนวยการ ในการปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับฐานปล่อย LC-39B และที่จอดรถสำหรับเจ้าหน้าที่ เวลาที่เตรียมการฐานปล่อยสำหรับการปล่อย ซึ่งแน่นอนว่าในตอนปล่อยจริง ตรงนี้ไม่มีใครอยู่ เนื่องจากความปลอดภัย

แม้จะอยู่ในบริเวณเขตหวงห้ามอยู่แล้ว แต่ที่ฐานปล่อย LC-39B ก็จะมีรั้วกั้นอีกชั้นเพื่อให้มีเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นเข้าไปได้ อย่างเราในกรณีนี้ก็จำเป็นที่จะต้องจอดรถและทำการ Check-in กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่บริเวณอาคารอำนวยการนี้ก่อน หลังจากนั้นเราจะผ่านรั้วกั้นเข้ามา ซึ่งเราจะไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขณะที่ผ่านการตรวจที่รั้ว
พาชมบริเวณโดยรอบ ณ จุดตั้งกล้องรอบฐานปล่อย
เส้นทางที่เราจะทัวร์กันในวันนี้คือการขับรถวนรอบถนนที่เป็น Perimeter Road รอบฐานปล่อย กินระยะทางประมาณ 2,700 เมตร และเราไม่ได้รับอนุญาตให้หยุดรถ แต่จะหยุดได้ในบริเวณที่เป็นเนินเขาที่ NASA ใช้สำหรับตั้งกล้องบันทึกภาพการบินขึ้นของจรวด ซึ่งทั้งถนนและจุดตั้งกล้องนี้จะอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางของฐานปล่อยประมาณ 400 เมตร
ถังน้ำสีขาวที่เห็นในภาพก็จะเป็นถังน้ำสำหรับระบบ Sound Suspression System ที่จะปล่อยน้ำปริมาณมากกว่า 1 ล้านลิตร ออกมาเพื่อปกป้องฐานปล่อยจากเสียงและการสั่นสะเทือนในขณะที่จรวดบินขึ้นจากฐาน

เราจะเห็นว่าตัวฐานปล่อยนั้นจะตั้งอยู่บนเนิน ซึ่งเนินนี้เกิดจากการก่อสร้างขึ้นมา โดยการออกแบบฐานปล่อยแบบนี้ช่วยให้ด้านล่างสามารถออกแบบให้มีช่องว่างเป็นทางสำหรับไอของจรวด เราเรียกว่า Flame Deflector หรือ Flame Trench (ที่เดี๋ยวในภาพต่อ ๆ ไปจะเห็นชัด) แถมยังช่วยให้การวางงานระบบต่าง ๆ ไม่ต้องวางลงใต้ดิน และทำให้ไม่เกิดน้ำขังเวลาฝนตก ช่วยปกป้องโครงสร้างต่าง ๆ จากสภาพอากาศ
โดยตัวฐานปล่อย LC-39A นั้นจะยกสูงขึ้นมาจากระดับพื้น 18 เมตร และ LC-39B ยกสูงขึ้นมาจากระดับพื้น 20 เมตร

ด้วยการที่ตัวฐานปล่อยยกสูงขึ้นมาจากพื้นขนาดนี้ทำให้จำเป็นต้องมีทางลาดที่ค่อย ๆ ให้ตัว Crawler Transporter สามารถที่จะไต่พาเอาตัวจรวดขึ้นมาได้ โดยทางลาดนี้จะมีความชันอยู่ที่ 5 องศา แน่นอนว่าตอนที่ Crawler ไต่ขึ้นมานั้น มันจะต้องใช้ไฮดรอลิก รักษาระดับเอาไว้ไม่ให้จรวดเอียงแล้วล้ม


จากตรงนี้หากซูมเข้าไปดู จะเห็นว่าโครงสร้างต่าง ๆ ของฐานปล่อยนั้นใหญ่มาก โคตรใหญ่ โครงสร้างที่เราเห็นทั้งหมดในนี้จะเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับฐานปล่อยอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับตัวจรวดเลย (เนื่องจาก Mobile Launcher ในตอนนี้อยู่ในอาคาร VAB เพื่อประกอบจรวด SLS สำหรับภารกิจ Artemis II)

โดยระบบของฐานที่ว่านั้น ก็จะเป็นระบบเติมเชื้อเพลิง, ระบบป้องกันไฟไหม้, ระบบไฟฟ้า สายสื่อสาร และกล้องถ่ายภาพ (ในภาพจะเห็นกล้องถ่ายภาพสีขาว ๆ) และที่สำคัญคือ Water Sound Suspression System หรือระบบปล่อยน้ำใส่ฐานปล่อย เพื่อลดเสียงและความเสียหายที่เกิดจากแรงสั่นสะเทือนของตัวจรวด

เราขับรถวนต่อมาเรื่อย ๆ ตามเข็มนาฬิกา เมื่อมาถึงมุมนี้ของฐานปล่อย เราก็จะเห็นว่าใต้ตัวฐานนั้น มีช่องว่างสำหรับเข้าไปได้ นั่นคือช่องสำหรับการเข้าไป Service ระบบต่าง ๆ ของฐานปล่อย ในตรงนี้เราจะเห็นลานจอดรถสำหรับเจ้าหน้าที่ด้วย (ซึ่งย้ำว่าตอนปล่อยจริง ไม่มีใครอยู่ตรงนี้แน่ ๆ)

วนต่อมาเรื่อย ๆ เราก็จะเห็นกับมอเตอรชักรอกเหลืองทั้งหมด 4 ตัว มอเตอร์นี้จะใช้งานกับสำหรับการอพยพฉุกเฉิน (Emergency Egress) ที่นักบินอวกาศหรือเจ้าหน้าที่ฐานปล่อยจะโดยสารลงมายังจุดปลอดภัยหากเกิดอันตรายในขณะที่ตัวจรวดอยู่บนฐานปล่อย เช่น ไฟไหม้ หรือต้องออกจากฐานปล่อยอย่างรวดเร็ว

การทำงานของระบบนี้เราเคยเขียนเล่าไว้ในบทความ Emergency Egress แผนการอพยพออกจากฐานปล่อยหากเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยคร่าว ๆ ก็คือ เวลาที่ Mobile Launcher ถูกนำมาตั้งไว้ที่ฐานปล่อย จะมีการขึงสลิงเอาไว้เพื่อให้ระบบตะกร้าอพยพนี้ใช้งานได้ แต่เนื่องจากในตอนนี้ Mobile Launcher ไม่ได้อยู่ที่ฐานปล่อย เราจึงยังไม่เห็นการขึงสลิงแต่อย่างใด

ดังนั้นบริเวณที่เห็นในภาพตรงนี้ เรียกได้ว่าเป็นจุดสำคัญที่ถ้าหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น ก็จะมีการอพยพพาเอาทั้งลูกเรือ และเจ้าหน้าที่ฐานปล่อยไปยังจุดปลอดภัย ซึ่งโดยปกติจะมีรถหุ้มเกราะมาจอด Standby เอาไว้ตรงนี้ด้วย
ถังออกซิเจนและไฮโดรเจนที่ใหญ่ที่สุดในโลก
หนึ่งในระบบโครงสร้างที่สำคัญของฐานปล่อยนั้นก็คือระบบการเติมเชื้อเพลิงเข้าไปที่ตัวจรวด อย่างในกรณีของ SLS นั้น ใช้เชื้อเพลิงแบบ Liquid Hydrogen และ Liquid Oxygen ทำให้เราจำเป็นต้องมีถังเชื้อเพลิงขนาดใหญ่อยู่ที่ฐานปล่อย เพราะกระบวนการเติมเชื้อเพลิงจรวดนั้นเป็นกระบวนการที่อันตรายมาก จึงต้องทำในตอนท้าย ๆ ก่อนปล่อยเท่านั้น
จรวด SLS นั้นใช้ Liquid Oxygen มากถึง 741,940 ลิตร และใช้ Liquid Hydrogen ถึง 2,763,350 ลิตร ให้นึกภาพว่าเกือบสามล้านลิตรนี่มากแค่ไหน ก็มากกว่าเชื้อเพลิงของเครื่อง Boeing 747 ที่เติมแบบเต็มถัง 11.4 เท่า หรือมากกว่าสระน้ำขนาดโอลิมปิกอีก เชื้อเพลิงมากขนาดนี้จำเป็นต้องถูกลำเรียงมายังฐานปล่อยด้วยรถบรรทุก เพื่อพักในถังขนาดใหญ่ก่อนที่จะเติมไปที่ตัวจรวด เรียกว่า Farm

ที่ฐานปล่อย LC-39B นั้น มีระบบ Liquid Oxygen Farm ที่สามารถจุ Liquid Oxygen มากกว่า 3,406,870 ลิตร ซึ่ง NASA บอกว่าการเติมถังนี้ให้เต็มต้องใช้เวลาเป็นเดือนเลยทีเดียว
เราได้ขับวนต่อมาเรื่อย ๆ โดยรอบเราก็จะเส้นเส้นทางต่าง ๆ ตรงเข้าไปยังฐานปล่อย ซึ่งถ้าดูจากมุมด้านข้างอาจจะนึกภาพไม่ออก เราแนะนำให้ย้อนกลับขึ้นไปดูภาพถ่ายดาวเทียมจะพอเห็นภาพ

อีกสิ่งที่เรายังไม่ได้เล่าให้ฟังคือเสาที่ทำหน้าที่เป็นสายล่อฟ้าทั้ง 3 เสานี้ มีความสูงมากถึง 182 เมตร ซึ่งแน่นอนว่าสูงกว่าและจำเป็นต้องสูงกว่าตัวจรวดที่ตั้งอยู่บนฐานปล่อย เพื่อป้องกันไม่ให้ฟ้าไปผ่าตัวจรวดนั่นเอง นอกจากนี้ในภาพล่าง เราจะเห็นเสาอยู่ด้านขวาสุดสีดำ ๆ เสานั้นคือเสาสำหรับระบายเชื้อเพลิงส่วนเกินทิ้งนั่นเอง

และสุดท้าย เราก็ขับรถวนตามเข็มนาฬิกากลับมายังที่เดิมและได้ทำการ Check-Out เพื่อออจากบริเวณฐานปล่อย LC-39B เพื่อกลับไปยังอาคาร Vehicle Assembly Building ในที่สุด เป็นการจบสิ้นการขับรถบนรอบฐานปล่อย ใช้เวลาไปทั้งสิ้นเกือบ 30 นาที
ฐานปล่อย LC-39B อย่างที่บอกไปว่าเป็นฐานปล่อยประวัติศาสตร์ ที่เป็นมรดกสำคัญตั้งแต่ยุค Apollo เราจะเห็นว่ากระบวนการต่าง ๆ แม้จะผ่านไป 50 ปี แต่เราก็ยังใช้วิธีการเดิม ๆ เหมือนกับในยุค Apollo อยู่ ในขณะที่สิ่งใหม่ ๆ นั้นก็จะเป็นเทคโนโลยีใหม่ ๆ กระบวนการคิด มาตรฐานความปลอดภัย ที่จะช่วยให้เราเดินทางไปได้ไกลขึ้น
ในช่วงบ่ายวันนี้ ดวงจันทร์ปรากฎเห็นเด่นชัดบนท้องฟ้าด้วย เหมือนกับเป็นการยั่วยวนให้มนุษยชาติได้เดินทางกลับขึ้นไปสำรวจบนนั้นอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าการเดินทางของพวกเราก็จะเริ่มต้นที่ LC-39B แห่งนี้

สำหรับในบทความต่อไป เราจะพาทุกคนไปดูรถยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Crawler ที่ใช้สำหรับการยกเอาโครงสร้าง Mobile Launcher และจรวด SLS เคลื่อนไปยังฐานปล่อยกัน

ย้ำกันอีกรอบว่าทั้งหมดที่เห็นนี้ เราเรียกรวม ๆ กันว่า Exploration Ground System หรือ EGS ซึ่งเป็นระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องออกแบบมาให้รองรับการทำงานกับตัว SLS ดังนั้นถามว่าอะไรที่เป็น EGS บ้าง ก็คือทุกอย่างที่ไม่ใช่ตัวจรวด SLS และยานอวกาศ Orion นั่นเอง ทำให้ที่ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมากันว่า รัฐบาล Trump กระทบอย่างไรต่อโครงการ Artemis จะยกเลิก SLS จริงหรือไม่ นั้น บอกได้ว่าการยกเลิกโครงการ SLS ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
สุดท้ายเราก็หวังว่าฐานปล่อย LC-39B นี้จะได้กลับมาพามนุษย์เดินทางขึ้นสู่ดวงจันทร์อีกครั้งในปี 2026
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co