พาชมฐานปล่อย LC-39B ฐานปล่อยในตำนานแห่ง NASA Kennedy Space Center

สวัสดีจาก NASA Kennedy Space Center อีกครั้ง ในตอนที่แล้ว เราได้พาทุกคนไป ชมการประกอบจรวด SLS ในอาคาร VAB กันไปแล้ว ในตอนนี้เราจะพาทุกคนไปเยี่ยมชมฐานปล่อยที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสองฐานปล่อยในตำนานที่อยู่คู่กับวงการอวกาศมาอย่างยาวนาน นั่นก็คือ Launch Complex 39B ใน NASA Kennedy Space Center ฐานปล่อยที่ถูกใช้ตั้งแต่โครงการ Apollo ผ่านยุคกระสวยอวกาศ และปัจจุบันเป็นฐานปล่อยหนึ่งเดียวของจรวด Space Launch System หรือ SLS สำหรับโครงการ Artemis ที่จะพามนุษย์กลับสู่ดวงจันทร์อีกครั้ง

ทีมงานขณะยืนมองฐานปล่อย LC-39B ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

การเยี่ยมชมนี้ เกิดขึ้นจากทางทีม NASA ได้อนุญาติให้ทีมงานสเปซทีเอช เข้าชม NASA Kennedy Space Center เป็นกรณีพิเศษ ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา เพื่อทำคอนเทนต์อัพเดทความคืบหน้าของภารกิจ Artemis II ที่จะเป็นการพาลูกเรือ 4 คนเดินทางไปโคจรรอบดวงจันทร์ในปี 2026 ทำให้เราเป็นหนึ่งในสื่อไม่กี่เจ้าในโลกที่ได้เก็บบรรยากาศการเตรียมพร้อมอย่างใกล้ชิด

จรวด SLS และ Mobile Launcher บนฐานปล่อย LC-39B สำหรับภารกิจ Artemis I ในปี 2022 ที่มา – NASA/Joel Kowsky

แต่ก่อนที่จะไปเยี่ยมชม ต้องขอเล่าประวัติและอธิบายภาพรวมของฐานปล่อยแห่งนี้ก่อน ฐานปล่อย LC-39B นั้น ตั้งอยู่ใน NASA Kennedy Space Center ณ แหลมคะเนอเวอรัล เป็นหนึ่งในสองฐานปล่อยที่ NASA เป็นเจ้าของ ได้แก่

  • LC-39A ที่ปัจจุบันได้ปล่อยเช่าให้กับ SpaceX ใช้สำหรับการปล่อยจรวด Falcon 9, Falcon Heavy และ Starship ในอนาคต
  • LC-39B ปัจจุบันถูกใช้งานสำหรับเป็นฐานปล่อยจรวด Space Launch System หรือ SLS

โดยทั้งสองฐานนั้น ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน ห่างจากอาคาร Vehicle Assembly Buidling ที่ NASA ใช้สำหรับประกอบจรวดประมาณ 7 กิโลเมตร โดยมีทางสำหรับรถขนจรวด “Crawler” ที่เป็นทางหินขนาดใหญ่ วิ่งจากอาคาร VAB ไปยังฐานปล่อยทั้งสอง

ฐานปล่อย LC-39B นั้น แม้จะไม่ได้มีการใช้บ่อยเท่ากับ LC-39A แต่ก็ถูกใช้งานในภารกิจสำคัญ ๆ อย่าง Apollo 10 ในปี 1969 ซึ่งเป็นภารกิจแรกที่ใช้ฐานปล่อยแห่งนี้, ภารกิจ Apollo-Soyuz ปี 1975, ภารกิจ STS-51L ที่เป็นโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ Challenger ในปี 1986 และที่สำคัญคือภารกิจ Artemis I ที่เป็นการเปิดศักราชของการกลับสู่ดวงจันทร์อีกครั้ง

จรวด Saturn V สำหรับภารกิจ Apollo 10 บนฐานปล่อย LC-39B ในปี 1969 ที่มา – NASA
กระสวยอวกาศ Challenger บินขึ้นในภารกิจสุดท้ายก่อนเกิดความสูญเสีย ที่มา – NASA

สำหรับเรื่องราวประวัติศาสตร์ของฐานปล่อยทั้งสอง ก็สามารถอ่านได้ในบทความ ประวัติศาสตร์ที่ดินของแหลมคะเนอเวอรัล และทำไม NASA ต้องปล่อยจรวดที่นั่น

พาเดินทางไปยังฐานปล่อยประวัติศาสตร์

ทีมงานเริ่มต้นการเดินทางจากบริเวณที่เรียกได้ว่าเป็นใจกลางของ NASA Kennedy Space Center นั่นก็คือบริเวณอาคาร Vehicle Assembly Building หรือ VAB โดยเราจะนั่งรถตู้ของทีมสื่อ NASA ไป เนื่องจากเรามีสถานะเป็น Forigen National ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนใน Kennedy Space Center ได้เองโดยไม่มีการ Escort จากเจ้าหน้าที่ ซึ่งในบริเวณนี้จะถือว่าเป็นเขตหวงห้ามพิเศษแล้ว มีเฉพาะเจ้าหน้าที่ภายใน NASA เท่านั้นที่สามารถเข้ามาได้ และเราได้ผ่านกระบวนการตรวจโดยสุนัขตำรวจ K-9 มาแล้ว ก่อนหน้านี้

แสดงพื้นที่ใน NASA Kennedy Space Center ที่มา – Google Earth

ในการเดินทางเราจะวิ่งผ่านถนนด้านข้าง “Crawler Way” ซึ่งเป็นทางสำหรับขนเอาตัวจรวดบนโครงสร้างตัว Mobile Launcher ไปยังฐานปล่อย โดยเส้นทางนี้จะมีระยะทางทั้งสิ้น 7 กิโลเมตร นับจากอาคาร VAB ไปยังตรงกลางของฐานปล่อยพอดี

เราเริ่มต้นออกเดินทางจากหน้าอาคาร VAB ไปยังถนนที่ขนาบข้างทาง Crawler Way ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

ทางตรงนี้ในตอนที่ NASA ลากเอาจรวด SLS และ Mobile Launcher ออกมาจาก VAB ไปยังฐานปล่อยสำหรับภารกิจ Artemis I เมื่อปี 2022 นั้น ใช้เวลานานกว่า 9 ชั่วโมง เนื่องจากตัวรถ Crawler ที่ใช้แบกนั้นทำความเร็วได้เพียงแค่ประมาณ 1 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เมื่อขับมาได้ประมาณ 3 กิโลเมตร เราก็จะเจอกับทางแยกเบี่ยงซ้ายจะไป LC-39B และตรงไปจะไป LC-39A ซึ่งแน่นอนว่าหากเราเป็นทีมงาน SpaceX เราก็จะต้องตรงไป ซึ่งเส้นทางนี้นี่แหละที่ SpaceX ใช้ในการขนย้ายเอาจรวด Falcon 9 มายังฐานปล่อย แต่ในกรณีนี้ เราจะเบี่ยงซ้ายและไปยังฐานปล่อย LC-39B

ด้านหน้าเราจะเห็นตัวฐานปล่อย LC-39B ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

เมื่อเบี่ยงซ้ายมา เราก็จะเห็นฐานปล่อย LC-39B ปรากฎอยู่ที่เส้นขอบฟ้า ซึ่งต้องบอกก่อนว่าเนื่องจากพื้นที่บริเวณแหลมคะเนอเวอรัลนี้มันโล่งมาก ๆ ภาพที่เห็นมันก็จะดูเหมือนใกล้ ๆ แต่จริง ๆ แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันห่างกันมาก อย่างในภาพนี้เราถ่ายตอนอยู่ห่างจากฐานปล่อยประมาณ 3 กิโลเมตรได้

ด้านขวาของภาพจะเห็นอาคารอำนวยการฐานปล่อย ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

เมื่อเข้ามาใกล้ ๆ เราก็จะเห็นตัวฐานปล่อยแบบชัด ๆ พร้อมกับอาคารบริเวณด้านขวาของภาพบน ซึ่งอาคารนี้จะเป็นศูนย์อำนวยการ ในการปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับฐานปล่อย LC-39B และที่จอดรถสำหรับเจ้าหน้าที่ เวลาที่เตรียมการฐานปล่อยสำหรับการปล่อย ซึ่งแน่นอนว่าในตอนปล่อยจริง ตรงนี้ไม่มีใครอยู่ เนื่องจากความปลอดภัย

ภาพแสดงโครงสร้างต่าง ๆ รอบฐานปล่อย ถนนรอบฐานปล่อยคือจุดที่เราจะขับรถวน ที่มา – Google Earth

แม้จะอยู่ในบริเวณเขตหวงห้ามอยู่แล้ว แต่ที่ฐานปล่อย LC-39B ก็จะมีรั้วกั้นอีกชั้นเพื่อให้มีเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นเข้าไปได้ อย่างเราในกรณีนี้ก็จำเป็นที่จะต้องจอดรถและทำการ Check-in กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่บริเวณอาคารอำนวยการนี้ก่อน หลังจากนั้นเราจะผ่านรั้วกั้นเข้ามา ซึ่งเราจะไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขณะที่ผ่านการตรวจที่รั้ว

พาชมบริเวณโดยรอบ ณ จุดตั้งกล้องรอบฐานปล่อย

เส้นทางที่เราจะทัวร์กันในวันนี้คือการขับรถวนรอบถนนที่เป็น Perimeter Road รอบฐานปล่อย กินระยะทางประมาณ 2,700 เมตร และเราไม่ได้รับอนุญาตให้หยุดรถ แต่จะหยุดได้ในบริเวณที่เป็นเนินเขาที่ NASA ใช้สำหรับตั้งกล้องบันทึกภาพการบินขึ้นของจรวด ซึ่งทั้งถนนและจุดตั้งกล้องนี้จะอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางของฐานปล่อยประมาณ 400 เมตร

ถังน้ำสีขาวที่เห็นในภาพก็จะเป็นถังน้ำสำหรับระบบ Sound Suspression System ที่จะปล่อยน้ำปริมาณมากกว่า 1 ล้านลิตร ออกมาเพื่อปกป้องฐานปล่อยจากเสียงและการสั่นสะเทือนในขณะที่จรวดบินขึ้นจากฐาน

มองไปยังศูนย์กลางของฐานปล่อย ซึ่งห่างจากเราไปประมาณ 400 เมตร ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

เราจะเห็นว่าตัวฐานปล่อยนั้นจะตั้งอยู่บนเนิน ซึ่งเนินนี้เกิดจากการก่อสร้างขึ้นมา โดยการออกแบบฐานปล่อยแบบนี้ช่วยให้ด้านล่างสามารถออกแบบให้มีช่องว่างเป็นทางสำหรับไอของจรวด เราเรียกว่า Flame Deflector หรือ Flame Trench (ที่เดี๋ยวในภาพต่อ ๆ ไปจะเห็นชัด) แถมยังช่วยให้การวางงานระบบต่าง ๆ ไม่ต้องวางลงใต้ดิน และทำให้ไม่เกิดน้ำขังเวลาฝนตก ช่วยปกป้องโครงสร้างต่าง ๆ จากสภาพอากาศ

โดยตัวฐานปล่อย LC-39A นั้นจะยกสูงขึ้นมาจากระดับพื้น 18 เมตร และ LC-39B ยกสูงขึ้นมาจากระดับพื้น 20 เมตร

สายล่อฟ้าทั้งสามที่อยู่บริเวณโดยรอบฐานปล่อย ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

ด้วยการที่ตัวฐานปล่อยยกสูงขึ้นมาจากพื้นขนาดนี้ทำให้จำเป็นต้องมีทางลาดที่ค่อย ๆ ให้ตัว Crawler Transporter สามารถที่จะไต่พาเอาตัวจรวดขึ้นมาได้ โดยทางลาดนี้จะมีความชันอยู่ที่ 5 องศา แน่นอนว่าตอนที่ Crawler ไต่ขึ้นมานั้น มันจะต้องใช้ไฮดรอลิก รักษาระดับเอาไว้ไม่ให้จรวดเอียงแล้วล้ม

ทางลาดนี้มีทิศทางขึ้นไปยังบริเวณตรงกลางของฐานปล่อย ซึ่งจะเป็นจุดที่ Mobile Launcher ตั้งอยู่ตรงนั้น ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth
ให้ดูความชันของทางลาด ซึ่งมองจากไกล ๆ มันดูชันแต่ว่าจริง ๆ แล้ว มันชันแค่ 5 องศาแค่นั้นเอง ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

จากตรงนี้หากซูมเข้าไปดู จะเห็นว่าโครงสร้างต่าง ๆ ของฐานปล่อยนั้นใหญ่มาก โคตรใหญ่ โครงสร้างที่เราเห็นทั้งหมดในนี้จะเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับฐานปล่อยอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับตัวจรวดเลย (เนื่องจาก Mobile Launcher ในตอนนี้อยู่ในอาคาร VAB เพื่อประกอบจรวด SLS สำหรับภารกิจ Artemis II)

ฐานปล่อยจริง ๆ นั้นใหญ่มาก หากลองเปรียบเทียบขนาดขั้นบันไดในภาพ ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

โดยระบบของฐานที่ว่านั้น ก็จะเป็นระบบเติมเชื้อเพลิง, ระบบป้องกันไฟไหม้, ระบบไฟฟ้า สายสื่อสาร และกล้องถ่ายภาพ (ในภาพจะเห็นกล้องถ่ายภาพสีขาว ๆ) และที่สำคัญคือ Water Sound Suspression System หรือระบบปล่อยน้ำใส่ฐานปล่อย เพื่อลดเสียงและความเสียหายที่เกิดจากแรงสั่นสะเทือนของตัวจรวด

ทีมงานขณะยืนมองฐานปล่อย LC-39B ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

เราขับรถวนต่อมาเรื่อย ๆ ตามเข็มนาฬิกา เมื่อมาถึงมุมนี้ของฐานปล่อย เราก็จะเห็นว่าใต้ตัวฐานนั้น มีช่องว่างสำหรับเข้าไปได้ นั่นคือช่องสำหรับการเข้าไป Service ระบบต่าง ๆ ของฐานปล่อย ในตรงนี้เราจะเห็นลานจอดรถสำหรับเจ้าหน้าที่ด้วย (ซึ่งย้ำว่าตอนปล่อยจริง ไม่มีใครอยู่ตรงนี้แน่ ๆ)

ฐานปล่อย LC-39B เมื่อมองจากบริเวณที่อาจเรียกได้ว่าเป็นด้านข้างของฐาน ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

วนต่อมาเรื่อย ๆ เราก็จะเห็นกับมอเตอรชักรอกเหลืองทั้งหมด 4 ตัว มอเตอร์นี้จะใช้งานกับสำหรับการอพยพฉุกเฉิน (Emergency Egress) ที่นักบินอวกาศหรือเจ้าหน้าที่ฐานปล่อยจะโดยสารลงมายังจุดปลอดภัยหากเกิดอันตรายในขณะที่ตัวจรวดอยู่บนฐานปล่อย เช่น ไฟไหม้ หรือต้องออกจากฐานปล่อยอย่างรวดเร็ว

ระบบอพยพฉุกเฉิน Emergency Egress ที่ใช้กับฐานปล่อย LC-39B ที่มา – Nattanon Dungsunenarn

การทำงานของระบบนี้เราเคยเขียนเล่าไว้ในบทความ Emergency Egress แผนการอพยพออกจากฐานปล่อยหากเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยคร่าว ๆ ก็คือ เวลาที่ Mobile Launcher ถูกนำมาตั้งไว้ที่ฐานปล่อย จะมีการขึงสลิงเอาไว้เพื่อให้ระบบตะกร้าอพยพนี้ใช้งานได้ แต่เนื่องจากในตอนนี้ Mobile Launcher ไม่ได้อยู่ที่ฐานปล่อย เราจึงยังไม่เห็นการขึงสลิงแต่อย่างใด

อีกมุมนึงของระบบอพยฉุกเฉิน ลองจินตนาการว่ามีสลิงโรยลงมาจากหอ Mobile Launcher ที่มา – Nattanon Dungsunenarn

ดังนั้นบริเวณที่เห็นในภาพตรงนี้ เรียกได้ว่าเป็นจุดสำคัญที่ถ้าหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น ก็จะมีการอพยพพาเอาทั้งลูกเรือ และเจ้าหน้าที่ฐานปล่อยไปยังจุดปลอดภัย ซึ่งโดยปกติจะมีรถหุ้มเกราะมาจอด Standby เอาไว้ตรงนี้ด้วย

ถังออกซิเจนและไฮโดรเจนที่ใหญ่ที่สุดในโลก

หนึ่งในระบบโครงสร้างที่สำคัญของฐานปล่อยนั้นก็คือระบบการเติมเชื้อเพลิงเข้าไปที่ตัวจรวด อย่างในกรณีของ SLS นั้น ใช้เชื้อเพลิงแบบ Liquid Hydrogen และ Liquid Oxygen ทำให้เราจำเป็นต้องมีถังเชื้อเพลิงขนาดใหญ่อยู่ที่ฐานปล่อย เพราะกระบวนการเติมเชื้อเพลิงจรวดนั้นเป็นกระบวนการที่อันตรายมาก จึงต้องทำในตอนท้าย ๆ ก่อนปล่อยเท่านั้น

จรวด SLS นั้นใช้ Liquid Oxygen มากถึง 741,940 ลิตร และใช้ Liquid Hydrogen ถึง 2,763,350 ลิตร ให้นึกภาพว่าเกือบสามล้านลิตรนี่มากแค่ไหน ก็มากกว่าเชื้อเพลิงของเครื่อง Boeing 747 ที่เติมแบบเต็มถัง 11.4 เท่า หรือมากกว่าสระน้ำขนาดโอลิมปิกอีก เชื้อเพลิงมากขนาดนี้จำเป็นต้องถูกลำเรียงมายังฐานปล่อยด้วยรถบรรทุก เพื่อพักในถังขนาดใหญ่ก่อนที่จะเติมไปที่ตัวจรวด เรียกว่า Farm

ถังบรรจุ Liquid Oxygen ขนาดใหญ่ ความจุ 3,406,870 ลิตร ด้านข้างฐานปล่อย ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

ที่ฐานปล่อย LC-39B นั้น มีระบบ Liquid Oxygen Farm ที่สามารถจุ Liquid Oxygen มากกว่า 3,406,870 ลิตร ซึ่ง NASA บอกว่าการเติมถังนี้ให้เต็มต้องใช้เวลาเป็นเดือนเลยทีเดียว

เราได้ขับวนต่อมาเรื่อย ๆ โดยรอบเราก็จะเส้นเส้นทางต่าง ๆ ตรงเข้าไปยังฐานปล่อย ซึ่งถ้าดูจากมุมด้านข้างอาจจะนึกภาพไม่ออก เราแนะนำให้ย้อนกลับขึ้นไปดูภาพถ่ายดาวเทียมจะพอเห็นภาพ

ป้ายแสดงขั้นตอนสำหรับการอพยพและสัญญาณไฟที่แจ้งอันตราย ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

อีกสิ่งที่เรายังไม่ได้เล่าให้ฟังคือเสาที่ทำหน้าที่เป็นสายล่อฟ้าทั้ง 3 เสานี้ มีความสูงมากถึง 182 เมตร ซึ่งแน่นอนว่าสูงกว่าและจำเป็นต้องสูงกว่าตัวจรวดที่ตั้งอยู่บนฐานปล่อย เพื่อป้องกันไม่ให้ฟ้าไปผ่าตัวจรวดนั่นเอง นอกจากนี้ในภาพล่าง เราจะเห็นเสาอยู่ด้านขวาสุดสีดำ ๆ เสานั้นคือเสาสำหรับระบายเชื้อเพลิงส่วนเกินทิ้งนั่นเอง

ภาพถ่ายจากอีกฝั่งก่อนที่เราจะวนครบรอบฐานปล่อย LC-39B ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

และสุดท้าย เราก็ขับรถวนตามเข็มนาฬิกากลับมายังที่เดิมและได้ทำการ Check-Out เพื่อออจากบริเวณฐานปล่อย LC-39B เพื่อกลับไปยังอาคาร Vehicle Assembly Building ในที่สุด เป็นการจบสิ้นการขับรถบนรอบฐานปล่อย ใช้เวลาไปทั้งสิ้นเกือบ 30 นาที

ฐานปล่อย LC-39B อย่างที่บอกไปว่าเป็นฐานปล่อยประวัติศาสตร์ ที่เป็นมรดกสำคัญตั้งแต่ยุค Apollo เราจะเห็นว่ากระบวนการต่าง ๆ แม้จะผ่านไป 50 ปี แต่เราก็ยังใช้วิธีการเดิม ๆ เหมือนกับในยุค Apollo อยู่ ในขณะที่สิ่งใหม่ ๆ นั้นก็จะเป็นเทคโนโลยีใหม่ ๆ กระบวนการคิด มาตรฐานความปลอดภัย ที่จะช่วยให้เราเดินทางไปได้ไกลขึ้น

ในช่วงบ่ายวันนี้ ดวงจันทร์ปรากฎเห็นเด่นชัดบนท้องฟ้าด้วย เหมือนกับเป็นการยั่วยวนให้มนุษยชาติได้เดินทางกลับขึ้นไปสำรวจบนนั้นอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าการเดินทางของพวกเราก็จะเริ่มต้นที่ LC-39B แห่งนี้

ดวงจันทร์ปรากฎในช่วงบ่ายวันที่เราถ่ายทำ ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

สำหรับในบทความต่อไป เราจะพาทุกคนไปดูรถยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Crawler ที่ใช้สำหรับการยกเอาโครงสร้าง Mobile Launcher และจรวด SLS เคลื่อนไปยังฐานปล่อยกัน

ห้องควบคุมการปล่อย Launch Control Center และ Crawler ที่อยู่ด้านข้างอาคาร VAB ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

ย้ำกันอีกรอบว่าทั้งหมดที่เห็นนี้ เราเรียกรวม ๆ กันว่า Exploration Ground System หรือ EGS ซึ่งเป็นระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องออกแบบมาให้รองรับการทำงานกับตัว SLS ดังนั้นถามว่าอะไรที่เป็น EGS บ้าง ก็คือทุกอย่างที่ไม่ใช่ตัวจรวด SLS และยานอวกาศ Orion นั่นเอง ทำให้ที่ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมากันว่า รัฐบาล Trump กระทบอย่างไรต่อโครงการ Artemis จะยกเลิก SLS จริงหรือไม่ นั้น บอกได้ว่าการยกเลิกโครงการ SLS ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ

สุดท้ายเราก็หวังว่าฐานปล่อย LC-39B นี้จะได้กลับมาพามนุษย์เดินทางขึ้นสู่ดวงจันทร์อีกครั้งในปี 2026

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer - 21, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.