เจาะลึกศาสตร์และปรัชญาของการตั้งชื่อยานอวกาศ ของแต่ละวัฒนธรรม

การตั้งชื่อยานอวกาศอาจดูเหมือนเรื่องเล็กแต่ในความเป็นจริง ชื่อนั้นเปรียบเสมือน “ประตูแรก” ที่เปิดให้สาธารณชนเข้าถึงความฝันทางวิทยาศาสตร์ได้ หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ทำให้ใครสักคนที่ไม่เคยสนใจฟิสิกส์รู้สึกว่าอยากเรียนรู้เรื่องจักรวาลขึ้นมา

ลองดูชื่อคลาสสิกอย่าง Voyager ของ NASA ซึ่งหมายถึงนักเดินทาง นี่เป็นตัวอย่างของการตั้งชื่อที่ “สมบูรณ์” ในเชิงสัญลักษณ์อย่างแท้จริง ฟังครั้งแรกก็เข้าใจได้ทันทีว่ายานลำนี้กำลังจะออกเดินทางไกลเกินขอบฟ้าที่มนุษย์เคยไปถึง ชื่อสั้น กระชับ และไม่ต้องมีความรู้พิเศษก็สัมผัสได้ถึงน้ำหนักของมัน ต่างจากชื่อประเภทที่ต้องอาศัยการอธิบายยาวเหยียดเพื่อเข้าใจว่าเกี่ยวข้องกับอะไร

อีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ Pioneer ซึ่งถูกใช้ในภารกิจสำรวจระบบสุริยะช่วงแรก ๆ อย่าง Pioneer 10 และ Pioneer 11 แม้คำว่า Pioneer จะไม่ซับซ้อน แต่กลับชี้ตรงถึงจิตวิญญาณของยุคสมัยได้ พวกเขาไม่เพียงสำรวจ แต่คือผู้บุกเบิกเส้นทางใหม่ในจักรวาล เหมือนบอกกับคนทั้งโลกว่า “มนุษย์เราจะไม่หยุดอยู่แค่โลกใบนี้”

หรือชื่ออย่าง Pathfinder ที่มีความหมายเดียวกับ Wayfinder คือสมัยก่อน เราไม่มี GPS ไม่มีแผนที่ดาวเทียม ก็จะต้องมีคนหน้าที่เป็ Pathfinder คอยคลำหาทางไปเรื่อย ๆ ว่าสมมติจะไปยังสถานที่แห่งนี้ต้องทำยังไง ชื่อพวกนี้เลยมีความเกี่ยวข้องกับการเดินทางของมนุษย์

ภาพจำลองยานอวกาศ Cassini ในวงโคจรท้าย ๆ ก่อนที่จะจบสิ้นภารกิจ ที่มา – NASA/JPL-Caltech

ในขณะที่ชื่อแบบ Cassini ซึ่งตั้งตามชื่อนักดาราศาสตร์ Giovanni Cassini มีชั้นเชิงทางประวัติศาสตร์ที่งดงาม เป็นการเชื่อมอดีตกับอนาคตโดยตรง เพราะยาน Cassini ก็ไปสำรวจดาวเสาร์ที่นักดาราศาสตร์คนนี้เคยศึกษามาก่อน อย่างไรก็ตาม หากมองอย่างวิพากษ์ ชื่อนี้มีข้อจำกัดในตัวเอง เพราะต้องอาศัยพื้นความรู้ทางดาราศาสตร์จึงจะ “เก็ต” ความหมายเต็ม ๆ ไม่ได้เปิดกว้างสำหรับคนทั่วไปเท่าไหร่นัก เมื่อเทียบกับคำง่าย ๆ อย่าง Voyager หรือ Pioneer

อีกชื่อที่ได้รับการพูดถึงไม่น้อยคือ Juno ซึ่งตั้งตามเทพีโรมันผู้สามารถมองทะลุเมฆหมอกได้ เหมาะอย่างยิ่งกับภารกิจที่ต้องมุ่งเจาะเข้าไปสู่ความลับภายใต้ม่านเมฆของดาวพฤหัส การอ้างอิงถึงตำนานในที่นี้ไม่ได้ทำเพื่อความสวยงามอย่างเดียว แต่สร้าง Narrative ที่เสริมความลึกซึ้งให้กับภารกิจได้อย่างแนบเนียน อย่างไรก็ดี ชื่อแบบนี้ก็มีความเสี่ยงอยู่เช่นกัน คือถ้าผู้ฟังไม่รู้จักตำนานโรมันเลย ก็อาจไม่ “รู้สึก” กับชื่อได้อย่างเต็มที่

ใส่ความเนิร์ดลงไปในชื่อในแบบที่ต้องเข้าใจบริบทตำนาน

แล้วชื่อที่ดู Geek มาก ๆ ล่ะ เช่นยาน OSIRIS-REx ซึ่งย่อมาจาก Origins, Spectral Interpretation, Resource Identification, Security, Regolith Explorer นอกจากจะเล่นใหญ่มากกับการพยายามอัดทุกเป้าหมายของภารกิจเข้าไปในชื่อแล้ว (ฮา) ยังเลือกเล่นกับคำว่า Osiris เทพเจ้าแห่งชีวิตหลังความตายในอียิปต์โบราณ และเติม Rex ที่หมายถึง “King” เข้าไปเพื่อขยี้ Narrative ว่าเราจะเป็นเจ้าแห่งการสำรวจแร่ธาตุในอวกาศ เป็นการตั้งชื่อที่ซับซ้อนสูงมากจนเหมือนต้องใช้คู่มือช่วยอธิบาย แต่เมื่ออธิบายแล้ว กลับยิ่งขยายอารมณ์และความยิ่งใหญ่ของภารกิจได้อย่างน่าทึ่ง แม้จะแลกมาด้วยการที่ชื่ออาจไม่ Intuitive สำหรับคนทั่วไปเลยก็ตาม ยาน Psyche ก็เป็นอีกหนึ่งในชื่อที่คนที่ไม่เข้าใจ Myth อาจจะฟังดูแล้วรู้สึกว่าเนิร์ดจัง

ในอีกด้านหนึ่ง การเลือกชื่ออย่าง DAWN ก็เป็นตัวอย่างของความเฉียบแหลมที่เรียบง่ายมาก คำว่ารุ่งอรุณสื่อถึงการเริ่มต้นได้โดยไม่ต้องพึ่งพาภูมิหลังทางวัฒนธรรม ศาสนา หรือประวัติศาสตร์ใด ๆ เป็นชื่อที่ Universal อย่างแท้จริง และเหมาะกับภารกิจที่มุ่งศึกษาแหล่งกำเนิดแรกเริ่มของระบบสุริยะผ่านดาวเคราะห์น้อย Ceres และ Vesta

ยานอวกาศ DAWN ที่เดินทางไปสำรวจ Ceres และ Vesta ที่มา – NASA/JPL-Caltech

ถ้าไล่ดูตัวอย่างอื่น ๆ เช่น New Horizons ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อบอกว่าเรากำลังจะไปถึง “ขอบฟ้าใหม่” ของการสำรวจ หรือ Artemis ซึ่งแม้จะอิงตำนานกรีก แต่เลือกใช้เทพีแห่งดวงจันทร์เพื่อสื่อถึงการกลับไปดวงจันทร์ในยุคใหม่ ก็จะเริ่มเห็น Pattern ว่าชื่อที่ดีมักมีจุดร่วมกัน คือ “ต้องเล่าเรื่องได้” และ “ต้องส่งอารมณ์ได้” โดยไม่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอกวงความรู้

ตรงกันข้าม ชื่อที่เรายังแอบมองว่า อะไรของมันวะ และ “มนุษย์ทั่วไปอาจจะไม่อิน” เช่นชื่อแบบ MESSENGER ซึ่งแม้จะย่อมาจาก MErcury Surface, Space ENvironment, GEochemistry and Ranging แต่กลับฟังดูทั่วไปมากจนไม่สื่ออะไรพิเศษเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของภารกิจที่ไปสำรวจดาวพุธได้เลย แม้จะพยายามผูกกับไอเดีย “ผู้ส่งสาร” จากดาวพุธซึ่งเป็นเทพแห่งการสื่อสารก็ตาม

การตั้งชื่อยานอวกาศจึงไม่ใช่แค่การตั้ง “ป้าย” ให้โครงการวิจัย แต่มันเป็นการบีบอัด Narrative ที่ซับซ้อนหลายชั้น ให้เหลืออยู่ในคำเพียงหนึ่งหรือสองคำที่ต้องทำหน้าที่ทั้งเชิญชวน สร้างแรงบันดาลใจ และบอกเล่าเป้าหมายของมนุษยชาติไปพร้อมกัน ถ้าเลือกผิด มันไม่ใช่แค่ชื่อที่ไม่เท่ แต่คือโอกาสที่สูญเปล่าในการสร้าง Myth ใหม่ของยุคสมัย

แต่ละชาติก็มีวิธีการตั้งชื่อที่สะท้อนวิธีคิดของตัวเอง

European Space Agency หรือ ESA มีรสนิยมในการตั้งชื่อที่ “Classic” และมักจะอิงตำนาน กวีนิพนธ์ หรือศาสตร์ดั้งเดิมของยุโรป ชื่ออย่าง Rosetta (หิน Rosetta ที่ไขความลับภาษาของอียิปต์โบราณ), Giotto (ตามชื่อนักวาดภาพในยุค Renaissance), หรือ JUICE (JUpiter ICy moons Explorer) สะท้อนว่าพวกเขาให้คุณค่ากับการเชื่อมโยงระหว่างวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และประวัติศาสตร์ยุโรป

ยานอวกาศ Rosetta และ Philae ที่ตั้งชื่อตามจารึก Rosetta และบริเวณ Philae ที่ค้นพบ Rosetta ที่มา – ESA

อย่างไรก็ตาม Taste ของ ESA บางครั้งก็ “ลึกเกิน” สำหรับคนทั่วไป เช่น ชื่อ Huygens (ยานลงไททัน) ถ้าไม่ได้มีพื้นฐานดาราศาสตร์สมัยศตวรรษที่ 17 ก็อาจจะไม่รู้เลยว่านี่คือชื่อของ Christiaan Huygens คนที่ค้นพบดวงจันทร์ไททันนั่นแหละ ต้องยอมรับว่า ESA ไม่ค่อยแคร์ถ้าชื่อจะไม่ Intuitive เท่ากับ NASA

ญี่ปุ่นผ่าน JAXA มีสไตล์การตั้งชื่อที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยสัญลักษณ์ในเชิงวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น Hayabusa (เหยี่ยว) Hayabusa2 ก็สื่อถึงความเร็ว ความแม่นยำ และการกลับสู่รัง, Kaguya (ชื่อเจ้าหญิงจากนิทานพื้นบ้าน “เงาจันทร์”) ก็เป็นการส่ง narrative ที่ละเอียดอ่อนแบบญี่ปุ่นออกไปในระดับสากล

อีกตัวอย่างคือ Akatsuki (แปลว่ารุ่งอรุณ) ที่เป็นภารกิจไปดาวศุกร์ ก็มีความหมายลึก ๆ ถึงการเริ่มต้นใหม่และการเอาชนะความมืด ความเรียบง่ายของชื่อจาก JAXA มักไม่พยายามขาย Narrative ใหญ่โต แต่แฝง Symbolism ที่คนญี่ปุ่นจะเข้าใจทันที ในขณะที่ต่างชาติอาจต้องมีการค้นข้อมูลนิดหน่อย

ภาพจำลองยานอวกาศ​ Hayabusa2 ของญี่ปุ่นที่มีความหมายว่าเหยี่ยว คำนี้ถ้าใครนั่งชินคันเซ็นจะคุ้น ๆ ว่าเป็นชื่อรถไฟด้วย ที่มา – JAXA

ในขณะที่ CNSA ของจีนมีรูปแบบการตั้งชื่อที่เน้นการประกาศสถานะมากกว่าเจ้าอื่นชัดเจนมาก ยาน Chang’e (ฉางเอ๋อ) ตั้งตามนางฟ้าจีนผู้ไปดวงจันทร์, ยาน Yutu (กระต่ายหยก) เป็นสัญลักษณ์จากตำนานเดียวกัน, หรือสถานีอวกาศ Tiangong (พระราชวังสวรรค์) ก็บอกชัด ๆ ว่าจีนต้องการบอกเล่า Narrative ของการสร้างจักรวาลแห่งตน

สไตล์ของจีนเน้นสร้าง “Story” ที่คนจีนรู้สึก Familiar และภาคภูมิใจ บ่อยครั้งที่ชื่อเหล่านี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อ International Branding เท่าไหร่ เพราะเน้น Internal Legitimacy และการสร้าง Mythos แห่งชาติเป็นหลัก ถ้าเทียบกับ NASA หรือ ESA ที่ต้องคำนึงถึงการขายภาพลักษณ์กับคนทั่วโลกด้วย

หากมองไปที่อินเดีย Taste การตั้งชื่อยานอวกาศของพวกเขาก็ชัดเจนมาก คือการยึดโยงกับภาษา Sanskrit และอารยธรรมอินเดียอย่างเต็มตัว ไม่ใช่ยุโรป ไม่ใช่ญี่ปุ่น และไม่พยายามสวมรอยเป็นตะวันตกด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างชัด ๆ อย่าง Chandrayaan หรือ “จันทรายาน” ที่แปลตรงตัวได้เลยว่า “ยานแห่งจันทรา” โดยที่คำว่า “ยาน” ในที่นี้ ก็มีรากจากภาษาสันสกฤตเหมือนที่ภาษาไทยใช้ หรืออย่าง Mangalyaan ก็คือ “ยานไปดาวอังคาร” (Mangal แปลว่าดาวอังคาร) ไม่อ้อมค้อม ไม่เล่นคำให้ยุ่งยาก ยานสำรวจดวงอาทิตย์อย่าง Aditya-L1 ก็ใช้ชื่อ “Aditya” ซึ่งคือเทพสุริยันตามคติอินเดียโบราณอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงโครงการส่งมนุษย์สู่อวกาศอย่าง Gaganyaan ที่แปลว่า “ยานแห่งท้องฟ้า” แบบไม่ต้องตีความซับซ้อนอะไรเพิ่มเติมเลย

ภาพจำลองยานอวกาศ Chandrayaan 3 ของอินเดีย ที่ประสบความสำเร็จในการลงจอดบนดวงจันทร์ ที่มา – ISRO

จุดที่น่าสนใจคือ อินเดียไม่พยายามบิดให้ดู Poetic แบบยุโรป ไม่เล่นอักษรย่อซับซ้อนแบบอเมริกัน และไม่จำเป็นต้องสวมคำหรูหราแบบญี่ปุ่น Taste ของ ISRO ชัดเจนมากว่าเน้น “ความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมตัวเอง” (Self-Pride) เป็นหลัก ใช้ภาษาที่เข้าถึงง่าย ตรงไปตรงมา แต่ยังเต็มไปด้วยน้ำหนักทางวัฒนธรรมที่คนอินเดียเองก็รู้สึกเชื่อมโยงได้ทันที นี่ยังไม่นับว่าภาษา Sanskrit เองมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับภาษาไทยและภาษาบาลีอีกด้วย ดังนั้นเมื่อเราฟังชื่ออย่าง Chandrayaan หรือ Gaganyaan ก็จะมีความรู้สึก “คุ้นเสียง” อยู่ลึก ๆ โดยธรรมชาติ ทั้งในเชิงเสียงและไวยากรณ์

สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ในโลกอวกาศที่ดูเหมือนเป็น Global Endeavor อินเดียก็ยังเลือกยืนหยัดกับอัตลักษณ์ของตัวเองแบบไม่จำเป็นต้องทำตัวอินเตอร์หรือพยายาม Universalize อะไรเลย นั่นทำให้ทุกครั้งที่เราได้ยินชื่อยานอินเดีย มันไม่ใช่แค่ได้ยินชื่อภารกิจ แต่เหมือนเราได้ยินเสียงสะท้อนของอารยธรรมที่มีชีวิตอยู่จริง ๆ

ถ้าอินเดียเลือกจะภาคภูมิใจในภาษาสันสกฤต อาหรับกลับเลือกเดินอีกทาง ด้วยการตั้งชื่อยานอวกาศของตัวเองแบบ “Modern Minimalism” สไตล์โลกาภิวัตน์เต็มขั้น (ฮา) ตัวอย่างชัด ๆ คือ Hope หรือ Al-Amal ชื่อยานสำรวจดาวอังคารของ UAE ซึ่งตรงตัวเลยว่า “ความหวัง” ถ้าอ่านจากภาษาอังกฤษ จะไม่มีความรู้สึกว่าเชื่อมโยงกับโลกอาหรับเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่ในประวัติศาสตร์ดาราศาสตร์ อาหรับเคยเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่ “ตั้งชื่อดวงดาว” เยอะที่สุด เช่น Aldebaran (อัลดิบารัน), Betelgeuse (เบเทลจุส), Rigel, Altair ฯลฯ ชื่อเหล่านี้เต็มไปด้วยความลึกทางภาษาและกลิ่นอายของทะเลทราย ตำนาน และอารยธรรม

การเลือกชื่อว่า Hope จึงสะท้อน Taste ที่ไม่ใช่ “เอาอดีตมาใช้” แต่เป็น “สร้าง Branding ใหม่” ด้วยภาษาสากลที่โลกฟังแล้วเข้าใจทันที ไม่ต้องแปล ไม่ต้องมีรากวัฒนธรรมเฉพาะท้องถิ่นมาขวาง การตั้งชื่อแบบนี้จริง ๆ มีเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์อยู่ คือ UAE ต้องการ positioning ตัวเองว่าเป็น “ประเทศใหม่แห่งอนาคต” ไม่ใช่แค่ชาติอาหรับเก่าแก่ที่ถูกผูกติดกับภาพทะเลทรายและอาหรับในอดีตอีกต่อไป การตั้งชื่อยานว่า Hope จึงพูดภาษาเดียวกับโลกสากลทันที เป็นการออกแบบภาพจำที่คมกริบ

ภาพจำลองยานอวกาศ HOPE ของอเมริเรตส์ ที่ตั้งชื่อได้เฉยมาก ๆ ที่มา – MBRSC

แต่ในมุมหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เสน่ห์ของความลึกเชิงวัฒนธรรมที่อาหรับเคยมี เช่นกลิ่นอายแบบที่เราได้จากคำอย่าง “Aldebaran” หรือ “Altair” ก็หายไปด้วย Taste แบบนี้เลือกความเรียบง่าย (simplicity) เหนือความลึก (depth) เลือกโลกาภิวัตน์ (globalization) เหนือความเฉพาะถิ่น (local identity)

จะว่าไปก็อดคิดไม่ได้เหมือนกัน ว่าโลกวันนี้ ถ้ามียานอาหรับลำใหม่ที่ใช้ชื่อโบราณแบบ Al-Zuhal (ดาวเสาร์), Al-Najm (ดวงดาว) หรือ Al-Suhail (Canopus) มันจะมีรสนิยมอีกแบบ ที่ดึง Emotional Weight มหาศาลได้โดยไม่ต้องใช้แม้แต่คำภาษาอังกฤษเลยด้วยซ้ำ

ความหมายของชื่อยานคือสิ่งที่สะท้อนว่าเราคิดยังไง

เมื่อมองผ่านการตั้งชื่อยานอวกาศของแต่ละชาติ เราจะเห็นได้ชัดว่าชื่อเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องของภาษา แต่มันสะท้อนรากวัฒนธรรม วิสัยทัศน์ และตัวตนที่แต่ละประเทศอยากนำเสนอออกไปสู่โลก อินเดียเลือกใช้ Sanskrit อย่างภาคภูมิ เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยน้ำหนักทางประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นผสมผสานปรัชญาแบบ Poetic เข้ากับจิตวิญญาณของการเดินทางและธรรมชาติ ฝั่งยุโรปยังคงภาคภูมิใจกับมรดกกรีก-โรมัน ดึงเอาชื่อเทพและนักสำรวจเก่ามาสร้างความลึกทางวัฒนธรรม ขณะที่สหรัฐฯ เน้น Brandability และ Emotional Impact ผ่านชื่อที่สั้น ตรง แต่มีความหมายชวนฝัน

อาหรับในยุคใหม่อย่าง UAE เลือกแนวทางตรงข้ามกับอดีตของตัวเอง สลัดกลิ่นอายของชื่อโบราณที่เคยตั้งให้ดวงดาวออกไป เลือกความเรียบง่ายแบบสากลเพื่อประกาศตัวในโลกสมัยใหม่ ชื่ออย่าง “Hope” แทนที่จะดึงอดีตมาใช้ กลับกลายเป็นการสร้างอนาคตที่อยากจะเห็น

ในโลกที่การแข่งขันด้านเทคโนโลยีอวกาศรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ Taste ของการตั้งชื่อจึงไม่ใช่แค่เรื่องของ “ภาษาดี” หรือ “ความเท่” แต่เป็นการวาง Narrative ว่าเราจะเล่าเรื่องตัวเองให้จักรวาลฟังอย่างไรต่างหาก

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.