ดาวเทียม “NISAR” หรือ “NASA-ISRO Synthetic Aperture Radar” เป็นโครงการดาวเทียมสำรวจโลกด้วยความร่วมมือระหว่าง NASA และองค์การสำรวจอวกาศอินเดีย ISRO โดย NISAR นั้น มีการประมาณการงบประมาณไว้สูงถึง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ NISAR นั้นเป็นหนึ่งในดาวเทียมสำรวจโลกที่แพงมากที่สุดเท่าที่เคยมี
บทความนี้จะเจาะลึกประวัติความเป็นมาของ NISAR และเหตุใดมันจึงเป็นดาวเทียมที่แพงที่สุด และจะถูกนำไปใช้ในด้านใด โดยบทความนี้เราจะอ้างอิงจาก NASA-ISRO SAR (NISAR) Mission Science Users’ Handbook
ก่อนอื่นเราจะต้องเข้าใจก่อนว่าดาวเทียมนั้นมีหลายชนิด แบ่งแยกตามการใช้งานโดยกว้าง อย่างไรก็ตาม การแบ่งชนิดของดาวเทียมนั้นไม่ได้ตรงไปตรงมาและอาจจะมีชนิดย่อยอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมากได้ ในกรณีของ NISAR คือดาวเทียมประเภท “ดาวเทียมสำรวจโลก” หรือ “Earth Observing Satellite”

ดาวเทียมสำรวจโลกนั้นใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษาโลกหรือวัตถุประสงค์อื่นซึ่งเกี่ยวกับโลก ยกตัวอย่างเช่น ถ่ายรูป ศึกษาชั้นบรรยากาศของโลก หรือศึกษาพื้นผิวของโลก ดังนั้นก็หมายความว่าดาวเทียมสำรวจโลกนั้นสามารถแบ่งแยกชนิดย่อยลงไปได้อีก
ในกรณีของ NISAR นั้น คือดาวเทียมถ่ายรูปด้วยเรดาร์ (Radar imaging) ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า “Synthetic Aperture Radar” หรือ “SAR” ซึ่งเป็นเทคนิคในการใช้เรดาร์เพื่อสร้างแผนที่พื้นผิวของโลก

หากเห็นภาพที่ได้จาก SAR ข้างบนนี้แล้ว เราก็อาจจะสงสัยว่าทำไมภาพมันถึงความละเอียดสูงเช่นนี้ และอย่าลืมว่านี่คือภาพจากเทคโนโลยีเมื่อปี 1994 ซึ่งกล้องถ่ายรูปปกติยังไม่ชัดเช่นนี้เลย ภาพนี้เป็นไปได้เพราะเทคโนโลยี Synthetic Aperture Radar หรือ SAR
Synthetic Aperture Radar คืออะไร
“Synthetic Aperture Radar” หรือ “SAR” เป็นเทคนิคในการถ่ายรูปด้วยคลื่นวิทยุหรือเรดาร์แทนที่จะถ่ายรูปจากคลื่นแสงที่มองเห็นได้ (Optical) การถ่ายรูปแบบ Optical นั้นคือการตรวจจับแสงที่ถูกสะท้อนจากพื้นผิวของโลกด้วยกล้องถ่ายรูป คุณภาพของภาพที่ได้จากกล้อง Optical นั้นขึ้นอยู่กับเซนเซอร์ของกล้องรวมถึงขนาดของรูรับแสงหรือ “Aperture” ยิ่งรูรับแสงหรือ Aperture ใหญ่ เซนเซอร์ก็สามารถรับแสงจากวัตถุที่เราต้องการถ่ายรูปได้มากขึ้นเทียบกับสัญญาณรบกวน (Signal to Noise Ratio หรือ SNR)

หากใครเคยใช้กล้องถ่ายรูปดิจิตอลจะทราบดีว่า การปรับ Aperture หรือที่เรารู้จักกันในวงการถ่ายรูปว่า “f” ให้กว้างมากขึ้นนั้นจะยิ่งทำให้ภาพสว่างมากขึ้น เนื่องจากนั้นเป็นการขยายขนาดของรูรับแสงให้แสงผ่านได้มากขึ้น ดังนั้นจึงใช้ความไวต่อแสงหรือ ISO น้อยลง ทำให้ภาพนั้นมีสัญญาณรบกวนหรือ SNR น้อยลง และคุณภาพที่สูงขึ้น
ในกรณีของเรดาร์นั้นคำว่า “Aperture” นั้นจะไม่ได้หมายถึงรูรับแสงอีกต่อไปเนื่องจากการตรวจจับด้วยเรดาร์นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตรวจจับสัญญาณแสงแต่เป็นการตรวจจับคลื่นวิทยุที่ตัวส่งคลื่นวิทยุยิงไปยังวัตถุที่เราต้องการสำรวจแล้วสะท้อนกลับมา ดังนั้นคำว่า “Aperture” ในด้านวิทยาศาสตร์เรดาร์หมายถึงขนาดของจานเรดาร์

อย่างไรก็ตาม หลักการเดิมยังคงเป็นจริง ก็คือยิ่ง “Aperture” มีขนาดใหญ่มากขึ้นเท่าใด อัตราส่วนของสัญญาณที่เราต้องการต่อคลื่นรบกวน (SNR) ก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น นั้นเป็นเพราะว่าระบบเรดาร์ของเราจะมีความไวต่อวัตถุที่เรากำลังสำรวจมากยิ่งขึ้นในทางทฤษฎี
แต่นี่คือการทำงานของเรดาร์ธรรมดาที่หลักการคือการยิงสัญญาณเรดาร์ไปแค่รอบเดียวแล้วตรวจจับการสะท้อนกลับของสัญญาณที่ส่งไป หากเปรียบเทียบให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น มันก็คือการ “Screenshot” สัญญาณที่สะท้อนกลับมานั่นเอง ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับการถ่ายรูปด้วยกล้องถ่ายรูปธรรมดา เพียงแต่เปลี่ยนช่วงคลื่นในการสำรวจเท่านั้นเอง (เรดาร์หรือคลื่นวิทยุเป็นคลื่นเหมือนกับแสงที่ก็มีคุณสมบัติของคลื่น เพียงแต่ตาของเราไม่สามารถมองเห็นคลื่นวิทยุได้เท่านั้นเอง)
หมายความว่า ยิ่งเราอยากได้สัญญาณสะท้อนที่มีคุณภาพยิ่งขึ้นและมีสัญญาณรบกวนน้อยลง ขนาดของจานรับสัญญาณ (Aperture) ก็จะยิ่งต้องใหญ่มากกว่าเดิม ซึ่งอาจจะมีน้ำหนักมากขึ้นและต้องใช้พื้นที่มากเกินไป แต่ SAR เกินขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้
คำว่า Synthetic Aperture Radar หากแปลให้เข้าได้ง่าย มันก็คือการสังเคราะห์ขนาดจานรับสัญญาณของระบบเรดาร์นั้นเอง โดย SAR จะทำงานได้ก็ต่อเมื่อตัวส่งสัญญาณนั้นเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา เนื่องจากมันอาศัยการเคลื่อนที่ของตัวส่งสัญญาณในการสังเคราะห์ขนาดของจานรับสัญญาณ

คร่าว ๆ ก็คือ แทนที่จะยิงสัญญาณเรดาร์แค่รอบเดียวนั้น SAR จะยิงสัญญาณเรดาร์อย่างต่อเนื่องไปที่ตำแหน่งที่เราต้องการถ่ายรูป แต่เพราะว่าตัวส่งสัญญาณนั้นเคลื่อนที่อยู่ (เช่น ดาวเทียม) ก็หมายความว่ามุมของการยิงสัญญาณและรับสัญญาณจะเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา สัญญาณที่ได้ก็จะมาจากหลายมุมมอง ก่อนที่จะนำสัญญาณสะท้อนที่บันทึกได้ทั้งหมดมารวมกัน ตรงนี้เองที่ทำให้ SAR สามารถเห็นรายละเอียดของวัตถุหรือพื้นผิวได้ดีเป็นพิเศษ คล้ายกับการถ่ายรูปสามมิติที่เห็นรายละเอียดของวัตถุทุกมุมมอง ตั้งแต่หัวจดปลาย

โดยสรุปก็คือ SAR นั้นอาศัยการเคลื่อนที่ของตัวส่งสัญญาณในการสังเคราะห์ขนาดความสามารถในการรับสัญญาณ แทนที่จะใช้จานรับสัญญาณขนาดใหญ่นั่นเอง
แล้ว NISAR ใช้เทคโนโลยี SAR ทำอะไร
ดาวเทียม NISAR จะใช้เทคโนโลยี SAR ในการสำรวจแผ่นดินและแผ่นน้ำแข็งบนโลก รวมถึงการเฝ้าระวังการถล่มของแผ่นน้ำแข็ง แผ่นดินไว สึนามิ ความเคลื่อนไหวของภูเขาไฟ และดินถล่ม อย่างไรก็ตาม NISAR นั้นต่างจากดาวเทียม SAR ดวงอื่นตรงที่ NISAR จะใช้ 2 ช่วงคลื่นวิทยุสำหรับการสำรวจโดย SAR ซึ่งก็คือ S-band และ L-band
ก่อนอื่นเราจะต้องเข้าใจก่อนว่าคลื่นวิทยุนั้นมีหลายช่วงคลื่นย่อย ซึ่งมนุษย์เราก็ได้ตั้งชื่อให้แต่ละช่วงคลื่นย่อยนี้ไว้ ยกตัวอย่างเช่น ช่วงคลื่น L-band ซึ่งมีความถี่อยู่ที่ 1-2 Ghz และมีความยาวคลื่นที่ 30-15 เซนติเมตร และถือเป็นช่วงคลื่นใน UHF Band (Ultra High Frequency)

แต่ละช่วงคลื่นนั้นมีความสามารถในการทะลุทะลวงและการตรวจจับที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น X-band (ความถี่ 8-12 Ghz ความยาวคลื่น 3.8-2.4 เซนติเมตร) ซึ่งไม่สามารถทะลุผ่านผืนป่า (Vegetation) ได้ ดังนั้นรายละเอียดที่ได้ก็จะเป็นภาพเหนือผืนป่าเท่านั้น ในขณะที่ช่วงคลื่น L-band (ความถี่ 1-2 Ghz ความยาวคลื่น 30-15 เซนติเมตร) สามารถทะลุผ่านผืนป่าได้ ก็จะทำให้เราสามารถเห็นรายละเอียดของพื้นดินได้มากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน L-band ซึ่งมีขนาดของช่วงคลื่นที่ยาวกว่า X-band ก็จะให้ความละเอียดของภาพโดยรวมที่ลดลง ดังนั้นแต่ละช่วงคลื่นจึงมีการใช้งานที่แตกต่างกันนั่นเอง
ช่วงคลื่น | ความถี่ (Ghz) | ความยาวคลื่น (เซนติเมตร) | การใช้งาน |
Ka | 27-40 | 1.1-0.8 | ไม่ค่อยมีการใช้งานใน SAR ใช้สำหรับการสำรวจทางอากาศ |
K | 18-27 | 1.7-1.1 | ไม่ค่อยมีการใช้งานใน SAR |
Ku | 12-18 | 2.4 | ไม่ค่อยมีการใช้งานใน SAR |
X | 8-12 | 3.8-2.4 | ใช้สำหรับการถ่ายภาพ SAR ความละเอียดสูง การสำรวจหิมะและน้ำแข็ง ไม่ทะลุผืนป่า |
C | 4-8 | 7.5-3.8 | ใช้ในการถ่ายรูป SAR ส่วนใหญ่และการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงบนพื้นผิวโลก เช่น การเคลื่อนที่ของน้ำแข็ง |
S | 2-4 | 15-7.5 | ใช้สำหรับการถ่ายภาพ SAR ในด้านของการเกษตรกรรม |
L | 1-2 | 30-15 | ใช้สำหรับการถ่ายภาพ SAR ความละเอียดปานกลาง สามารถทะลุทะลวงผืนป่าได้ และใช้ในการสำรวจ InSAR (อ่านบทความเกี่ยวกับ InSAR ได้ที่นี่ เจาะลึก InSAR เทคโนโลยีการเตือนแผ่นดินไหวจากอวกาศ) |
P | 0.3-1 | 100-30 | ใช้ในการสำรวจ Biomass และการสำรวจผืนป่า |

การทำงานของ NISAR
NISAR จะใช้คลื่นวิทยุ S-band และ L-band ในการสำรวจด้วยเทคโนโลยี SAR โดยวิทยุช่วงคลื่น S-band มีความสามารถในการทะลุทะลวงชั้นของผืนป่าได้ในระดับหนึ่ง ทำให้ S-band นั้นสามารถใช้ในการศึกาษความหนาแน่นของผืนป่าได้ ส่วน L-band นั้นมีความสามารถในการทะลุทะลวงสูง และไม่ถูกรบกวนโดยผืนป่า ทำให้ L-band นั้นสามารถนำมาใช้ในการศึกษาภูมิประเทศได้ นอกจากนี้ L-band จะยังถูกนำมาใช้ในการทำ InSAR ด้วย
InSAR (Interferometric Synthetic Aperture Radar) เป็นเทคนิคในการนำข้อมูลที่ได้จากการสำรวจพื้นที่หนึ่งด้วย SAR สองครั้งในเวลาที่ต่างกันมาเปรียบเทียบกับเพื่อหาความแตกต่างระหว่างการสำรวจทั้งสองในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เนื่องจากการสำรวจด้วย SAR นั้นมีความละเอียดสูงมากกว่าภาพถ่ายทางอากาศ และละเอียดได้สูงสุดถึงในระดับ 10 เมตร (ซึ่งมองเห็นได้ยากจากถ่ายถ่ายทางดาวเทียมทั่วไป) ภาพที่ได้จาก InSAR นั้นสามารถใช้ในการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาบนโลกได้ เช่น การแปรธรณีสันฐาน (การเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก) หรือการเคลื่อนตัวของแผ่นน้ำแข็ง เป็นต้น

ในภาพข้างล่างนี้คือการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของผืนป่าจากการเกิดไฟไหม้ผ่านที่ San Bernardino National Forest ในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อปี 2015 โดยอ้างอิงจากข้อมูลการศึกษาด้วย SAR ก่อนการเกิดไฟไหม้ป่า 14 ภาพ และ 1 ภาพซึ่งถ่ายหลังจากการเกิดไฟไหม้ป่าเพื่อมาทำการเปรียบเทียบกันหรือ InSAR ในบริเวณที่มีสีแดงคือบริเวณที่ InSAR ตรวจพบการเปลี่ยนแปลงในผืนป่าซึ่งเราสามารถสันนิษฐานได้คือความเสียหายต่อผืนป่าจากการเกิดไฟไหม้ (ซ้าย)
ส่วนภาพขวานั้นคือดัชนีข้อมูลความเสียหายต่อผื่นป่าที่วัดได้จากดาวเทียม Landsat จะเห็นได้ว่าข้อมูลของ InSAR (ซ้าย) และข้อมูลของดาวเทียม Landsat นั้นตรงกัน

นอกจากนี้ InSAR ยังสามารถนำมาใช้ในการตรวจจับการทรุดตัว (Subsidence) ของพื้นดินได้อีกด้วย ซึ่งอาจเกิดจากการสูบน้ำใต้ดินออกจนพื้นดินข้างบนนั้นอ่อนตัวและทรุดตัวลงมา โดยการทรุดตัวของพื้นดินนั้นอาจส่งผลกระทบต่อรากฐานของโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างใด ๆ ก็ตามที่อยู่บนดินเหล่านี้ได้

วงโคจรของ NISAR ถูกออกแบบมาให้โคจรผ่านจุดเดิมบนโลกทุก ๆ 12 วัน ดังนั้น NISAR จะสามารถเก็บข้อมูลซ้ำในจุดที่ต้องการได้ทุก ๆ 12 วัน และใน 12 วันนี้ NISAR จะโคจรผ่านเกือบทุกจุดบนโลกด้วยรอบการโคจรต่อ 12 วันที่ 173 รอบ

แน่นอนว่าการโคจรให้ตรงจุดเดิมซ้ำทุก ๆ 12 รอบ โดยไม่คลาดเคลื่อนเลยนั้นเป็นไปได้ยาก ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อวงโคจรของ NISAR เอง เช่น แรงจากการชนกับชั้นบรรยากาศของโลกที่แม้จะบางเบาแต่ก็สามารถส่งผลกระทบต่อวงโคจรของ NISAR ได้ เหตุนี้เอง JPL ได้ออกแบบให้ NISAR ทนทานต่อการคลาดเคลื่อนของวงโคจร กล่าวคือ NISAR สามารถยอมรับการคลาดเคลื่อนของวงโคจรได้ในระดับหนึ่ง ก่อนที่มันจะปรับวงโคจรด้วยระบบปรับวงโคจร (Attitude Control System) บนตัวมันเองเพื่อกลับมายังวงโคจรอ้างอิง


L-band กับ S-band ต่างกันยังไงใน NISAR
อย่างที่ได้กล่าวไปว่า NISAR นั้นจะศึกษาโลกด้วยเทคโนโลยี SAR ในสองช่วงคลื่นวิทยุพร้อม ๆ กัน ก็คือ L-band และ S-band ก่อนอื่นเราจะต้องเข้าใจก่อนว่า L-band นั้นเป็นช่วงคลื่นที่ใช้กันแพร่หลายมากทั้งในการใช้งานทั่วไปและการใช้งานได้ในด้านการสำรวจอวกาศ เช่น ใช้ในระบบการสื่อสารดาวเทียม ระบบ GNSS (Global Navigation Satellite System) ต่าง ๆ เช่น ระบบ GPS (Global Positioning System) เนื่องจาก L-band นั้นสามารถทะลุทะลวงเมฆฝนได้ นอกจากนี้ L-band ยังถูกใช้ในระบบโทรคมนาคมต่าง ๆ เช่นโทรศัพท์ดาวเทียมหรือระบบ Transponder บนเครื่องบิน (ADS-B: Automatic Dependent Surveillance-Broadcast) ที่ใช้ในการบอกตำแหน่งของเครื่องบิน
และนอกจากการใช้งานบนโลกนี้เอง L-band ก็ยังแพร่หลายในการใช้งานกับเทคโนโลยี SAR อีกด้วย ต่างกับ S-band ที่ไม่ค่อยมีการใช้กับเทคโนโลยี SAR มากเท่าไหร่ เนื่องจากมันสามารถทะลุทะลวงชั้นผืนป่าได้น้อยกว่า L-band อย่างไรก็ตาม S-band ยังคงเป็นหนึ่งในช่วงคลื่นวิทยุที่แพร่หลายในการใช้งานบนโลกเช่นกัน S-band นั้นถูกใช้งานในระบบเครือข่าย WiFi และระบบให้บริการมือถือต่าง ๆ นอกจากนี้ยังถูกใช้งานในการสื่อสารอวกาศอีกด้วย
เนื่องจากการใช้งาน L-band ใน SAR ที่ถูกพิสูจน์มาแล้วว่าใช้งานได้จริงและสร้างคุณค่าทางวิทยาศาสตร์มหาศาลทั้งในอดีตและปัจจุบัน L-band จะถูกใช้เป็นเครื่องมือหลักในการศึกษาโลกด้วย SAR บน NISAR ส่วน S-band นั้นไม่เคยมีการใช้งานใน SAR มาก่อน และถือเป็นการทดลองใช้งาน SAR ในช่วงคลื่น S-band ครั้งแรกก็ว่าได้ และเพราะเหตุนี้เอง NASA ไม่ได้ตั้งความคาดหวังอย่างตรง ๆ ไว้กับ S-band ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการสาธิตเทคโนโลยีมากกว่า และหากจำได้ NISAR นั้นเป็นความร่วมมือระหว่าง NASA ซึ่งเป็นองค์การอวกาศที่เป็น (หรือมี) ผู้เชี่ยวชาญในการสร้างอุปกรณ์อวกาศ กับ ISRO ซึ่งเป็นองค์การอวกาศของอินเดียที่มีความเชี่ยวชาญน้อยกว่า NASA (หรือ JPL) ให้ทายว่าใครเป็นคนรับผิดชอบอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์สำหรับ L-band และใครรับผิดชอบ S-band
แน่นอนว่า NASA นั้นรับผิดชอบ L-band ซึ่งเป็นพระเอกของ NISAR และจะมาเจ๊งทีหลังไม่ได้ ส่วน ISRO นั้นก็รับ S-band ที่ไม่เคยมีใครใช้หรือทำมาก่อนไปทำ (ซึ่งถ้าสำเร็จก็ได้เครดิตไปเต็ม ๆ) และผู้ที่น่าจะได้ประโยชน์จากการใช้ S-band ก่อนเพื่อน (ถ้าสำเร็จ) ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นอินเดียเองที่จะใช้ S-band ในการศึกษาทางด้านเกษตรกรรมด้วย SAR S-band ในประเทศตัวเองซึ่งเห็นได้จากแผนที่การทำงานของ NISAR ข้างล่างนี้

ระบบต่าง ๆ ของ NISAR
NISAR มีหน้าตาเหมือนดาวเทียมทั่วไป แค่มีจานสะท้อนสัญญาณดาวเทียมขนาดใหญ่ติดตั้งอยู่ข้างบนเท่านั้นเอง มาพร้อมกับ Satellite Bus ที่ชื่อว่า I3K ซึ่งจะเป็นส่วนการทำงานหลักของตัวดาวเทียมเอง รับผิดชอบโดย ISRO บนตัวดาวเทียมนั้นมีอุปกรณ์สำหรับการส่งและรับสัญญาณวิทยุในช่วงคลื่น L-band และ S-band แยกกัน และมี Star Tracker หรือกล้องติดตามดาวในการควบคุมทิศทางของดาวเทียมสัมพัทธ์กับโลก

NASA นั้นเป็นผู้รับผิดชอบในการออกแบบระบบการสื่อสารและการเก็บข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของ NISAR โดย NISAR นั้นมี เส้นทางการ Uplink ทั้งหมด 1 เส้นทาง และเส้นทางการ Downlink ทั้งหมด 3 เส้นทาง คือ
- สถานี Uplink หลักที่สถานีควบคุมภารกิจของ ISRO (ISRO S-band Stations: ISTRAC)
- สถานี Downlink ทั้งหมด 3 สถานีที่
- ISRO ISTRAC
- ISRO Ka-band Station (NRSC)
- NASA Ka-band Station (Goddard New-Earth Network)

แต่ความรับผิดชอบหลักในการสื่อสารและสั่งงาน NISAR จะอยู่กับทีมควบคุมภารกิจที่ ISRO ซึ่งมี Uplink Path ในการสั่งงาน ส่วน NASA นั้นมี Downlink Path สำหรับการรับข้อมูล (ที่เร็วมาก) เท่านั้น นอกจากนี้ ทั้ง NASA และ ISRO ยังมีสถานีภาคพื้นสถานีอื่น ๆ อีก ทั้งสำหรับกรณีฉุกเฉินและสำหรับการใช้งานตามต้องการ รวม ๆ แล้ว ทั้ง NASA และ ISRO จะมีโอกาสในการสื่อสารกับ NISAR เพื่อดาวน์โหลดข้อมูลประมาณ 15-20 ครั้ง ต่อวัน โดยแต่ละครั้งนั้นจะยาวไม่เกิน 10 นาที ซึ่งเพียงพอต่อปริมาณข้อมูลที่ NISAR จะสร้างต่อวัน
ข้อมูลจาก NISAR
ข้อมูลจาก NISAR นั้นจะถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชนภายใน 1-2 วัน หลังจากการสำรวจหรือภายในไม่กี่ชั่วโมงในกรณีฉุกเฉิน โดยข้อมูลของ NISAR นั้นจะแบ่งได้เป็น 5 ระดับ ซึ่งแต่ละระดับจะมีขั้นตอนในการ Process แตกต่างกันไป ดังนี้
- Level 0 (L0): ข้อมูลดิบ (Raw Data) ซึ่งได้รับมาจากอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์บน NISAR ได้ตรง แบ่งแยกย่อยได้เป็นสองระดับย่อย คือ
- L0A: ข้อมูลดิบซึ่งมี Metadata สำหรับการจัดเก็บด้วย โดยข้อมูลชุดนี้จะเปิดให้สาธารณชนสามารถดาวน์โหลดได้โดยตรง แม้ข้อมูลนี้จะไม่สามารถนำไปใช้ในการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้โดยตรงก็ตาม โดย L0A ก็คือข้อมูล Telemetry ที่ได้รับจาก NISAR โดยตรงนั้นเอง
- L0B: ข้อมูลดิบที่ถูกทำความสะอาด (Data Cleansing) แล้ว ด้วยการลบสัญญาณรบกวนต่าง ๆ ออกจากข้อมูลและการแก้ไขความคลาดเคลื่อนในข้อมูลแล้ว โดยข้อมูล L0B นั้นจะเป็นข้อมูล Input หลักสำหรับการ Process ด้วยเทคโนโลยี SAR
- Level 1 (L1): ข้อมูลที่ได้หลังจากการ Process ด้วย SAR แล้ว โดยข้อมูลใน L1 จะเป็นข้อมูลที่มีความละเอียดสูงที่สุดเนื่องจากไม่ได้ผ่านการบีบอัดใด ๆ ทั้งสิ้น
- Level 2 (L2): ข้อมูล L1 ที่ถูก “Geocoded” หรือการอ้างอิงรหัสทางภูมิศาสตร์เพื่อใช้ในการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ต่อ นี่เป็นชุดข้อมูลชุดสุดท้ายที่จะถูกเผยแพร่โดยตรงโดยทีม NISAR
- Level 3 (L3) และ Level 4 (L4): ชุดข้อมูล L2 ที่ผ่านการยืนยัน (Validate) ด้วยการศึกษาและวิจัยย้อนหลังแล้ว โดยชุดข้อมูลเหล่านี้จะถูกใช้ในการอ้างอิงสำหรับการ Calibration ต่อไป

ปัจจุบัน NISAR อยู่ระหว่างการทดสอบสุดท้ายก่อนการปล่อยที่อินเดีย และจะถูกปล่อยจากสถานีอวกาศ Satish Dhawn ในอินเดีย โดย ISRO นั้นจะเป็นผู้รับผิดชอบในการปล่อยดาวเทียม NISAR บนจรวด GSLV Mark II ของ ISRO เอง อายุภารกิจของ NISAR อยู่ที่ 3 ปี แต่อาจถูกต่ออายุภารกิจเพิ่มภายหลังได้
รายงานล่าสุดเมื่อปี 2017 ระบุว่า NASA นั้นได้ลงทุนไปใน NISAR เป็นจำนวนเงิน 808 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แล้ว ในขณะที่ ISRO นั้นลงทุนไปแล้ว 99 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co