ปี 2029 โลกจะได้เจอกับหนึ่งใน “การเฉียดใกล้” ที่น่าตื่นเต้นที่สุดของศตวรรษ เมื่อดาวเคราะห์น้อย Apophis ขนาดกว่า 300 เมตร จะผ่านเข้ามาใกล้โลกเพียง 32,000 กิโลเมตร หรือประมาณระยะทางของดาวเทียมค้างฟ้า ใกล้จนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในบางพื้นที่ นี่คือคือโอกาสทองที่วิทยาศาสตร์และระบบป้องกันดาวเคราะห์หรือ Planetary Defence จะได้ข้อมูลจริงว่าดาวเคราะห์น้อยตอบสนองต่อแรงโน้มถ่วงของโลกอย่างไร
ในโอกาสนี้องค์การอวกาศยุโรป European Space Agency หรือ ESA เสนอภารกิจ Ramses หรือ Rapid Apophis Mission for Space Safety เพื่อส่งยานไปเกาะติด Apophis ก่อนและระหว่างการเฉียดโลก ความน่าสนใจคือ Ramses ไม่ได้มาเดี่ยว แต่มีแนวร่วมสำคัญจากญี่ปุ่นอย่าง JAXA ที่กำลังเข้ามาสนับสนุนภารกิจนี้ ESA and JAXA advance potential Apophis mission collaboration ด้วยเช่นกัน

ในขณะที่ ESA รับบทเป็นแม่งานหลัก ในฝั่ง JAXA เข้าร่วมด้วยข้อเสนอที่ชัดเจนคือการใช้จรวด H3 รุ่นใหม่ สำหรับปล่อยยานในปี 2028 รวมถึงการสนับสนุนฮาร์ดแวร์สำคัญของยาน เช่น Solar Array และระบบกล้อง Infrared Imager บนยาน ในอีกฟากหนึ่ง NASA เองก็มีภารกิจ OSIRIS-APEX ที่จะปรับวงโคจรและเดินทางไปสำรวจ Apophis หลังการเฉียดโลก การมีสองภารกิจนี้จะสร้างข้อมูลการสำรวจ ก่อน-หลังแบบที่น่าตื่นเต้นมาก ๆ
ภาพรวมของยาน Ramses พร้อมยานลงจอด
ยาน Ramses ของ ESA ถูกออกแบบมาให้เป็นยานขนาดกลาง ด้วยมวลรวมตอนปล่อยไม่เกิน 1,300 กิโลกรัม แต่บรรจุ Payload และระบบควบคุมภารกิจที่ซับซ้อนไว้ครบถ้วน พลังงานที่ใช้หมุนเวียนทั้งระบบอยู่ที่ราว 1 กิโลวัตต์ ซึ่งต้องแบ่งไปเลี้ยงทั้งกล้องถ่ายภาพ ระบบนำร่อง การสื่อสาร และ CubeSat เสริมที่ยานจะปล่อยออกไป จุดเด่นสำคัญคือ Ramses สืบทอดแพลตฟอร์มโครงสร้างจากภารกิจ Hera ยานที่ไป Dimorphos ที่ถูกพุ่งชนโดยยาน DART ที่ถูกปล่อยไปในช่วงปี 2024 ของ ESA ทำให้ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ แต่สามารถนำ Enginnering Heritage ที่ผ่านการทดสอบมาแล้วมาใช้ได้ทันที ประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณ
Ramses ไม่ได้ไปลำพัง ยานหลักจะปล่อย CubeSat อย่างน้อยสองตัวเพื่อเสริมการสังเกตการณ์:
- CubeSat จาก Tyvak International โดยบรรทุก Dust Analyser และ Low-Frequency Radar เพื่อตรวจองค์ประกอบฝุ่นและสำรวจโครงสร้างภายในของ Apophis แบบเจาะลึก
- CubeSat จาก Emxys ใน สเปน ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะลงจอดบนพื้นผิว Apophis โดยตรง ถ้าทำสำเร็จ นี่จะเป็นหนึ่งในความพยายามแรก ๆ ที่จะ “สัมผัสพื้น” ของดาวเคราะห์น้อยในสถานการณ์แรงโน้มถ่วงต่ำ
Instrument หลักเหล่านี้บวกกับกล้องถ่ายภาพและระบบ Remote Sensing ของยานแม่ จะช่วยให้เราได้เห็นทั้งการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ และข้อมูลภายในที่เชื่อมโยงกับคำถามว่าถ้าในอนาคตมีดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลกจริง เราจะจัดการกับมันยังไง

สิ่งที่ทำให้ภารกิจ Ramses ซับซ้อนกว่าการไปเยือนดาวเคราะห์น้อยทั่วไปคือ “ความเร็วและเส้นทาง” ของ Apophis เอง เมื่อมันเฉียดโลกในปี 2029 จะเคลื่อนผ่านด้วยความเร็วมหาศาลและเปลี่ยนวงโคจรไปอย่างฉับพลัน การจะเข้าไปโคจรรอบ Apophis แบบยานสำรวจปกติแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะแรงโน้มถ่วงของมันต่ำมากเมื่อเทียบกับความเร็วที่มันพุ่งผ่าน การควบคุมให้ยานคงวงโคจรจึงยากระดับเกือบเป็นไปไม่ได้ ทางเลือกเดียวคือ Ramses ต้องเข้าไปอยู่ในตำแหน่งที่ “เตรียมพร้อม” ล่วงหน้า จับวงโคจรใกล้ ๆ และคอยซ้อนจังหวะกับเส้นทางของ Apophis อย่างแม่นยำ
กรอบเวลาที่จำกัดและการวางภารกิจที่ซับซ้อน
Mission Profile ของ Ramses ถูกออกแบบมาในแบบที่จะพลาดไม่ได้ เพราะจังหวะที่ Apophis จะเฉียดโลกนั้นแป๊บเดียวเท่านั้น ทำให้ทุกอย่างต้องถูกออกแบบมาอย่างห้ามพลาด ยานจะถูกปล่อยขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2028 ด้วยจรวด H3 ของ JAXA และคาดว่าจะไปถึง Apophis ได้ภายในกุมภาพันธ์ 2029 เพื่อเข้าสู่วงโคจรใกล้เป้าหมายก่อนที่ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้จะเฉียดโลกในเดือนเมษายน จุดสำคัญคือการเฝ้าสังเกตการณ์ทั้งก่อน ระหว่าง และหลัง Apophis ผ่านแรงดึงดูดของโลก ที่อาจทำให้โครงสร้างของมันเปลี่ยนไปต่อหน้ากล้องของมนุษย์เป็นครั้งแรก
ปัจจุบัน ESA ได้เริ่มขั้นตอนเตรียมการแล้ว โดยมอบสัญญามูลค่าราว 63 ล้านยูโร ให้กับ OHB Italia เพื่อออกแบบและประกอบยาน ขณะที่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าภารกิจนี้จะเดินหน้าต่อหรือไม่ จะเกิดขึ้นในการประชุม Ministerial Council เดือนพฤศจิกายน 2025 ซึ่งเป็นเหมือนการโหวตชี้ชะตาของ Ramses ทั้งภารกิจ ว่าจะได้ไปต่อมั้ย
แล้วภารกิจนี้จะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า
ฟังดูน่าตื่นเต้น แต่ความจริงคือ Ramses กำลังแข่งกับเวลาและ Launch Window แค่ครั้งเดียว ปี 2028 ถ้าพลาดแม้แต่นิดเดียว ภารกิจก็หมดความหมาย เพราะ Apophis จะไม่กลับมาใกล้ขนาดนี้อีกนานหลายร้อยปี

อีกข้อที่ชวนตั้งคำถามคือ CubeSat Lander การลงจอดบนดาวเคราะห์น้อยคือภารกิจที่โหดระดับ Philae ของ Rosetta หรือ Hayabusa2 ของ JAXA เองยังเจ็บตัวมาแล้ว ความเป็นไปได้ที่มันจะ “Fail Elegantly” ก็มีสูง และอาจกลายเป็นเพียง Technology Demo ที่ไม่สมบูรณ์ ก็ต้องรอดูว่า Mission Profile แบบนี้จะโดนตีมาอย่างไรบ้าง สุดท้ายคือเรื่องการเมืองภายใน ESA เอง เนื่องจากงบประมาณยังไม่ถูกปิดดีล การจะผลัก Ramses ให้สำเร็จต้องผ่านการอนุมัติของบอร์ดประเทศสมาชิก ซึ่งอาจมีข้อโต้แย้งว่ามันคุ้มค่าหรือไม่เมื่อเทียบกับภารกิจวิทยาศาสตร์อื่น
ถ้า Ramses ได้ไฟเขียวจริง มันจะเป็นภารกิจที่เปลี่ยน “การเฉียดโลกของ Apophis” จากปรากฏการณ์น่าตื่นตา ให้กลายเป็น ห้องทดลองธรรมชาติระดับโลก ข้อมูลก่อน-หลังจาก ESA และ NASA จะทำให้เรามีแบบจำลองใหม่เกี่ยวกับโครงสร้างดาวเคราะห์น้อยและวิธีรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co