ภารกิจ Rosetta-Philae กับการลงจอดบนดาวหางครั้งแรก

บทความนี้การกล่าวถึงวัสดุ NiTiNol หรือ Shaped-Memory alloy ที่บิดงอได้ แต่กลับมาคงรูปเดิม ซึ่งเป็นวัสดุตัวเดียวกับทีมงาน Spaceco ร่วมกับออปตัสในการพัฒนาแว่นรุ่น Hover 2.0 และที่สำคัญวัสดุชนิดถือเป็นหนึ่งในตัวช่วยเบื้องหลังของภารกิจ Rosetta-Philae ที่ประสบความสำเร็จในการลงจอดบนดาวหางครั้งแรก

หนึ่งในภารกิจที่หลายคนอาจลืมไปแล้ว แต่กลับครบรอบ 10 ปีเหตุการณ์สำคัญในปี 2014 ก็คือการลงจอดบนดาวหาง 67P/Churyumov–Gerasimenko ของยานอวกาศ Philae ในภารกิจ Rosetta-Philae ซึ่งเป็นการสร้างประวัติศาสตร์การโคจรและสำรวจดาวหางครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลักจากที่ก่อนหน้านี้ ยานอวกาศหลากหลายภารกิจ ได้ไปบินโฉบดาวหางต่าง ๆ เช่น การบินโฉบดาวหาง Halley ของ Giotto (ในปี 1986) หรือแม้กระทั่งการเก็บตัวอย่างฝุ่นดาวหาง Wild 2 กลับโลกในโครงการ Stardust ในปี 1999 หรือการส่งยานอวกาศไปพุ่งชนดาวหาง Tempel 1 ในภารกิจ Deep Impact ในปี 2005 แต่ภารกิจ Rosetta-Philae นั้นจัดว่าจะเป็นครั้งแรกที่มีการศึกษาดาวหางในระยะยาว โดยเฉพาะการโคจรรอบดาวหาง ซึ่งเป็นวัตถุขนาดเล็กและมีแรงโน้มถ่วงต่ำ ทำให้การออกแบบวงโคจรนั้นซับซ้อนและท้าทาย

ในบทความนี้เราจะมาย้อนดูเรื่องราวของ ภารกิจ Rosetta-Philae กับการลงจอดบนดาวหางครั้งแรกในประวัติศาสตร์

ภาพจำลองยานอวกาศ Rosetta และ Philae ยานลงจอดที่ติดตั้งอยู่ด้านหน้า ที่มา – ESA

Rosetta-Philae เป็นภารกิจที่ดูแลโดยองค์การอวกาศยุโรป โดยภารกิจหลักคือการเดินทางไปยังดาวหาง 67P/Churyumov–Gerasimenko ตัวยานประกอบไปด้วยตัวยานหลัก ได้แก่ Rosetta ซึ่งเป็นยานอวกาศมวล 3,000 กิโลกรัม สูง 3 เมตร กว้างและยาว 2 เมตร และยานอวกาศสำหรับลงจอดบนดาวหาง ที่ชื่อ Philae มีน้ำหนัก 100 กิโลกรัม

โดยที่ชื่อ Rosetta นั้นเป็นชื่อที่ตั้งตาม Rosetta Stone ซึ่งเป็นศิลาหลักสำคัญ 3 ภาษาที่ช่วยให้มนุษย์สามารถแปลภาษาอักษรภาพที่สำคัญทำให้เราสามารถศึกษาประวัติศาสตร์ยุคอียิปโบราณได้ ส่วน Philae เป็นชื่อของบริเวณที่มีการค้นพบเสาอนุเสารีย์ (Obelisk) ที่มีการจารึกภาษากรีกโบราณ และอักษรภาพอียิปโบราณ (Hieroglyphic) ทั้งคู่ช่วยให้มนุษย์สามารถเปรียบเทียบภาษาทั้งสามและค้นพบวิธีการอ่านอักษรภาพอียิปโบราณได้

Rosetta-Philae เดินทางสู่อวกาศในวันที่ 2 พฤษภาคม 2004 ด้วยจรวด Ariane 5 และต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนวงโคจรโดยอาศัยแรงส่งจากการบินโฉบ ดาวอังคาร และกลับมาที่โลกอีกครั้งในปี 2007 ในการเดินทาง Rosetta-Philae ยังได้บินโฉบดาวเคราะห์น้อย 2867 Šteins ซึ่งมีหน้าตาเหมือนเพชร และ 21 Lutetia ในปี 2010 และหลังจากนั้นตัวยานก็ได้เข้าสู่ hibernation mode เพื่อรักษาพลังงาน

ในเดือนมกราคม 2014 Rosetta-Philae ก็ได้ถูกปลุกให้ตื่นจาก Hibernation Mode ก่อนที่จะเดินทางถึง 67P/Churyumov–Gerasimenko ในวันที่ 6 สิงหาคม ปี 2014

ภาพถ่ายระยะใกล้ของ 67P/Churyumov–Gerasimenko ที่ถ่ายโดย Rosetta ที่มา – ESA

วงโคจรของ 67P/Churyumov–Gerasimenko นั้นเป็นวงโคจรมีวงรีสูง ไกลดวงอาทิตย์มากที่สุดที่ระยะ 5.704 หน่วยดาราศาสตร์ (AU) และใกล้ที่สุด 1.210 หน่วยดาราศาสตร์ ซึ่งดาวพฤหัสมีวงโคจรค่อนข้างกลมอยู่ที่ 5.2 หน่วยดาราศาสตร์ ทำให้เมื่อ 67P/Churyumov–Gerasimenko โคจรไปอยู่ไกลที่สุด มันจะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ไกลว่าดาวพฤหัส นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ Solar Array ของ Rosetta-Philae ต้องมีขนาดใหญ่มาก เพื่อสร้างพลังงานที่เพียงพอเพื่อหล่อเลี้ยงอุปกรณ์บนยาน

โดย Solar Array บน Rosetta-Philae สามารถผลิตไฟได้ อยู่ที่ 400 – 1,500 Watt แล้วแต่ระยะห่าง โดยใช้แผง Solar Array จำนวน 5 แผ่น พับเข้าหากันแล้วกางออก แต่ละแผ่นมีความกว้าง 2.7 เมตร สูง 2.2 เมตร นั่นทำให้เมื่อกางออกสุด ตัวแผงทั้ง 5 จะมีความยาวรวมกัน 13.5 เมตรเลยทีเดียว หรือยาวประมาณรถบรรทุก 18 ล้อ 1 คัน

แผนภาพแสดงอุปกรณ์บนยาน Rosetta ที่มา – ESA

ความท้าทายอีกอย่างก็คือการเดินทางในอวกาศ เนื่องจากในการเดินทางถึง 67P/Churyumov–Gerasimenko นั้น ต้องใช้เวลาเดินทางนานถึง 10 ปี ซึ่งมากกว่าภารกิจการสำรวจอวกาศโดยปกติ ทำให้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Instrument) บางตัว จะต้องยังถูกผนึกไว้และไม่ถูกเปิดใช้งาน ซึ่งหนึ่งในอุปกรณ์สำคัญบนยานก็คือ Ptolemy ซึ่งเป็นอุปกรณ์ตรวจวัดแก๊สบนยานลงจอด Philae

ภาพแสดงอุปกรณ์บนยานลงจอด Philae ที่มา – ESA

โดยการทำงานของอุปกรณ์ Ptolemy นั้นจำเป็นต้องใช้แก๊สฮีเลียมที่ถูกขนไปจากโลก โดยตัวแก๊สจะถูกบรรจุไว้ในถังขนาดเล็ก ที่ความดัน 50 บาร์ หรือประมาณ 725 psi ซึ่งวิศวกรค้นพบว่าหากใช้วาว์ลแก๊สปกติ จะทำให้เกิดการรั่วไหลของฮีเลี่ยมเมื่อเวลาผ่านไป วิศวกรจึงได้นำเอาอุปกรณ์ที่เรียกว่า Frangible Pillar มาใช้ เพื่อผนึกทางออกของแก๊ส และใช้ตัว Actuator ที่เป็น Shaped-Memory Alloy แบบ NiTiNol มาใช้ในการดึงหมุดเพื่อให้ Frangible Pillar เปิดออก เพราะคุณสมบัติของ Shaped-Memory Alloy นั้นจะรักษารูปของตัวเองแม้จะถูกแรงเครียด หรือเค้นจากการปล่อยยาน หรือการเดินทางในอวกาศเป็นเวลานาน

ความบางของตัวกรอบแว่น HOVER 2.0 ของ OPHTUS ที่ใช้วัสดุ NiTiNol

โดยที่ NiTiNol นั้นก็เป็นวัสดุแบบเดียวกับที่ ออปตัสเลือกมาใช้ในแว่น HOVER 2.0 เพื่อให้มั่นใจได้ว่า แว่นตาออพตัสจะอยู่ได้ทนทานหลายสิบปีเหมือนกับอุปกรณ์บนยานอวกาศ Rosetta-Philae นั่นเอง

โดยกรณีศึกษาดังกล่าวได้ถูกอธิบายไว้ใน SMA gas release mechanism for the Rosetta Lander’s Ptolemy instrument

หลังจากที่ตัวยานเดินทางถึงดาวหางแล้ว Rosetta-Philae ก็ยังจำเป็นต้องปรับวงโคจรอีกเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะถึงช่วงเวลาสำคัญคือการปล่อยให้ Philae แยกตัวจาก Rosetta และลงจอดบน 67P/Churyumov–Gerasimenko ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2014 โดยวิธีการก็คือ Rosetta จะปล่อย Philae ออกในอัตราเร็วเท่าที่จะทำให้ Philae ค่อย ๆ ตกลงสู่ดาวหางที่อัตราเร็ว 1 เมตรต่อวินาที

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ Philae สัมผัสกับพื้นของดาวหาง แรงโน้มถ่วงที่อ่อนของมันทำให้ Philae กระเด้งออกจากบริเวณที่ออกแบบไว้เล็กน้อยและไปซ่อนอยู่ในบริเวณเงาใต้หุบเขา หลังจากที่ตัวสมอบกไม่ได้ล็อกตัว Philae เข้ากับผิวของดาวหาง อย่างไรก็ตามตัวสมอบกได้ล็อก Philae เข้ากับบริเวณเงานั้นแทน ทำให้เกิดข้อกังวลว่าพลังงานที่ใช้เลี้ยงตัวยานอาจไม่เพียงพอจากการที่ได้รับแสงอาทิตย์ไม่เยอะมากเท่าที่ออกแบบไว้

ภาพจำลองยานอวกาศ Philae ขณะลงจอดบนพื้นผิวของ 67P/Churyumov–Gerasimenko ที่มา – ESA

Philae ทำงานได้เพียงแค่ 3 วันหลังจากลงจอด ก็แบตหมดตามที่คาด ทำให้ Rosetta ไม่สามารถติดต่อกับ Philae ได้ และข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่ได้รับจาก Philae ได้มาเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น แต่ก็มากพอที่จะทำให้เราได้ข้อมูลเกี่ยวกับพื้นผิวของดาวหาง รวมถึงอุปกรณ์ Ptolemy ก็สามารถตรวจพบสารประกอบอินทรีย์ (Organic compound) บนพื้นผิวได้ นับเป็นอีกหนึ่งการค้นพบที่สำคัญในการลงจอด และที่สำคัญคือโมเดลกุลของออกซิเจน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของน้ำด้วย

ยาน Philae ส่งภาพถ่ายของตัวเองกลับมาหลังจากการลงจอด ที่มา – ESA

แม้ Philae จะไม่ได้สร้างการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ หลัง 3 วันที่แบตหมดไป แต่ยานอวกาศ Rosetta ก็ยังคงโคจรรอบดาวหาง และใช้อุปกรณ์บนยาน เช่น Ultraviolet Imaging Spectrometer หรือ Alice, Optical, Spectroscopic, and InfraRed Remote Imaging System หรือ OSIRIS และอุปกรณ์อีกนับ 10 ตัว ในการประกอบสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ 67P/Churyumov–Gerasimenko ได้เป็นอย่างดี เป็นเวลากว่า 2 ปีที่ตัวยานทำงานอย่างราบรื่น

และในเดือนกันยายน 2016 Rosetta ก็สามารถมองเห็น Philae ที่แอบซ่อนอยู่ในซอกเงาของดาวหางได้ แม้จะไม่สามารถปลุก Philae ให้ตื่นขึ้นมาได้อีกแล้ว แต่การรู้ตำแหน่งของ Rosetta ก็ช่วยให้เราสามารถ Mapping ข้อมูล 3 วันแรกของ Philae กับการทำแผนที่โดยละเอียดของ Rosetta ได้

Rosetta สามารถถ่ายภาพ Philae ที่ลงจอดอยู่ภายใต้เงาของซอกหลืบได้ในปี 2016 ที่มา – ESA

และสุดท้าย ภารกิจ Rosetta-Philae ก็เดินทางมาถึงจุดจบ เมื่อ ESA ตัดสินใจจบสิ้นภารกิจ ในช่วงปลายเดือนกันยายน 2016 นั่นเอง โดย Rosetta จะปรับวงโคจรของตัวเองให้ตกลงบนพื้นผิวของดาวหาง 67P/Churyumov–Gerasimenko อย่างช้า ๆ ณ อัตราเร็ว 3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

และในบริเวณนั้นเองที่ Rosetta พักผ่อนตลอดกาล ก็ได้ถูกตั้งชื่อใหม่ว่า Sais ซึ่งเป็นบ้านของหิน Rosetta ที่ช่วยให้มนุษย์เข้าถึงองค์ความรู้จากยุคโบราณ ที่ในตอนนี้ได้กลายเป็นดินแดนที่ห่างไกลที่มนุษย์เคยได้ส่งยานอวกาศเดินทางไปลงจอดถึง แม้ Rosetta จะไม่ได้ทำลายสถิติการลงจอดบนดินแดนที่ไกลที่สุดเหมือนกับยานอวกาศ Huygens ที่เดินทางไปลงจอดบนดวงจันทร์ไททันของดาวเสาร์ พร้อมกับยานอวกาศ Cassini แต่ Rosetta-Philae ก็นับว่าเป็นภารกิจการสำรวจอวกาศที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดภารกิจหนึ่งของ ESA ท่ามกลางความช่วยเหลือจากนานาชาติรวมถึง NASA เอง

สุดท้ายทีมภารกิจก็ได้บอกลา คนทั้งโลกและขอบคุณที่ให้กำลังใจ ด้วยการทวีตบอกว่า “ภารกิจเสร็จสมบูณ์” หรือ “Mission Completed” หลากหลายภาษาทั่วโลก เป็นนัยนึงจารึกหิน Rosetta ที่ช่วยให้มนุษย์แปลภาษาโบราณได้สำเร็จ และ Rosetta-Philae ก็จะเป็นอีกหนึ่งภารกิจที่ช่วยให้มนุษย์แปลความประวัติศาสตร์การก่อกำเนิดของระบบสุริยะผ่านดาวหาง ที่จะเป็นบ้านตลอดกาล บนดินแดนอันแสนห่างไกลที่ชื่อว่า 67P/Churyumov–Gerasimenko รวมระยะเวลาภารกิจตั้งแต่ปล่อยทั้งสิ้น 20 ปี

แว่น HOVER 2.0 ของ OPHTUS ที่ใช้วัสดุ NiTiNol เกรดยานอวกาศ

และนี่ก็คือเรื่องราวการเดินทาง 20 ปีของ Rosetta-Philae แต่ถ้าคุณอยากให้แว่นของคุณทนทานเหมือนกับอุปกรณ์บนยานอวกาศ Rosetta-Philae ก็สามารถสั่งซื้อแว่นออปตัสรุ่น HOVER 2.0 กับเทคโนโลยี Shaped-Memory alloy วัสดุใหม่ ที่บิดงอได้ แต่กลับมาคงรูปเดิมแม้เวลาจะผ่านไป 20 ปี ได้ทาง เว็บไซต์ของออปตัส

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer - 21, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.