SpaceX เผยอัพเดทครั้งใหญ่ ภาพภายในและความพร้อมของ Starship หลังดราม่าว่าทำงานช้า

SpaceX ปล่อยอัปเดตชุดใหญ่ในเว็บไซต์หัวข้อ To the Moon and Beyond เรื่อง Starship และเวอร์ชัน Human Landing System พร้อมเรนเดอร์ภายใน โดยในรอบนี้มีจุดขายคือขนาดและสเกลที่พูดเป็นตัวเลขชัดเจน หนึ่งลำมีปริมาตรอยู่อาศัยที่ปรับความดันหรือ Pressurize มากกว่า 600 ลูกบาศก์เมตร ใกล้เคียงสองในสามของสถานีอวกาศนานาชาติ มี Airlock สองชุดที่ว่ากันว่ากว้างราว 13 ลูกบาศก์เมตรต่อชุด ใหญ่กว่าในยุค Apollo หลายเท่า และยานในเวอร์ชันบรรทุก Payload อย่างเดียวจะสามารถลงสัมผัสดวงจันทร์พร้อม Payload หนักได้ถึง 100 ตัน ตั้งแต่ Pressurized Rover หรือรถยนต์สำรวจไปจนถึงเตา Nuclear Reactor และที่อยู่อาศัยบนดวงจันทร์หรือ Lunar Habitats

ภาพจำลองยาน Starship ในรุ่น Human Landing System บนผิวดวงจันทร์ ที่มา – SpaceX
จำลองยาน Starship รุ่น HLS อยู่บนจรวด Super Heavy ที่มา – SpaceX
ภาพจำลองด้านในยาน Starship ในส่วนห้องควบคุม ที่มา – SpaceX

การเปิดเผยข้อมูลชุดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางดราม่าใหญ่ในช่วงเดือนตุลาคม 2025 ที่ Sean Duffy รักษาการผู้บริหาร NASA ขึ้นรายการทีวีแล้วบอกชัดว่าจะ “เปิดสัญญา Human Landing System ของ Artemis III ให้แข่งขันใหม่” เพราะกังวลไทม์ไลน์ Starship ช้าเกินไป พร้อมโยนประโยคแรงว่าอเมริกากำลังแข่งกับจีน ต้องเร่งมือให้ทันก่อน 2029 นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยว่า NASA ขอให้ SpaceX และ Blue Origin ส่งแผนเร่งงานภายในปลายตุลาคม และจะเปิดรับ RFI จากรายอื่น ๆ ต่อ, จุดยืนรวม ๆ คือยังไม่ยกเลิกดีลเดิม แต่เปิดประตูท้าชนให้เกิดตัวเลือกมากขึ้น

ผลข้างเคียงคือ Elon Musk ไปเดือดใน X แบบไม่กรองคำ เรียก Duffy ว่า “Sean Dummy” ซึ่งแปลว่า “ไอ้หน้าโง่” และโยนหมัดตรงว่า Sean Dummy Is Trying To Kill NASA! แล้วประกาศว่าทีมตน “วิ่งเร็วกว่าทุกบริษัทอวกาศรวมกัน” สื่อการเมืองหลักและสำนักข่าวทั่วไปเก็บคำพูดและบริบทไปขยายต่อจนกลายเป็นสงครามวาทกรรมว่าใครกันแน่ที่ “ช้า”

ภาพจำลองยานลงจอด Blue Moon จากบริษัท Blue Origin ที่มา – Blue Origin

อย่างแรกที่ต้องเข้าใจคือ NASA ไม่ได้ยกเลิกสัญญา HLS ของ SpaceX แต่เปิดแข่งรอบใหม่เพื่อเร่ง Artemis III ให้ทันเป้า ขณะเดียวกัน Blue Origin มีสัญญา Blue Moon รุ่น 2 สำหรับไฟลต์หลัง ๆ อยู่แล้ว ส่วนรอบนี้คือโฟกัสที่ “เร่ง Artemis III” ให้ทัน ด้วยการขอ “Acceleration Approaches” ที่แปลว่าขอด่วนหน่อยนะคะน้อง จากทั้ง SpaceX และ Blue Origin ภายในกำหนดเวลา และเปิด RFI ให้รายอื่นแสดงศักยภาพ, สื่อเชิงนโยบายกับกระแสหลักยืนยันจุดนี้ไปในทางเดียวกัน

อย่างที่สอง เสียงวิจารณ์เรื่อง Starship ช้ากับความเสี่ยงด้านภารกิจ โดยเฉพาะประเด็น Propellant Transfer บนวงโคจร ถูกหยิบมาพูดซ้ำในบทวิเคราะห์กระแสหลัก เพื่อชี้ว่า “โครงสร้างภารกิจแบบนี้แม่งยากจริง” ไม่ใช่แค่การเมืองล้วน ซึ่งนี่คือสถาปัตยกรรมที่ SpaceX ทำให้ยานของตัวเองแตกต่างจากของเจ้าอื่น ๆ ปัจจุบัน SpaceX ประสบความสำเร็จในการทดสอบยาน Starship และระบบต่าง ๆ แต่ยังไม่สามารถทำ Propellant Transfer ได้ตามที่ออกแบบไว้

สรุปการทดสอบ Starship เที่ยวบิน 11 ปิดฉากการทดสอบรุ่น Block 2 อย่างสมบูรณ์แบบ

กางแผนออกมาดูว่าตรงไหนที่เรียกว่าช้ากันแน่

หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวออกมา SpaceX ก็ได้ออกแถลงการณ์ To the Moon and Beyond ซึ่งดูยืดยาว แต่ละเอียดในแบบที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน บริษัทชี้ว่าตั้งแต่เที่ยวบินทดสอบแรกของ Starship ในเมษายน 2023 นั้น SpaceX ได้เดินหน้าการทดสอบที่ถี่ เน้นเรียนรู้จากการบินและความล้มเหลวเพื่อสร้าง Cycle ในการเรียนรู้ปัญหาหน้างานจริง

มีหมุดหมายสำคัญที่บันทึกไว้ เช่น การจุดเครื่องยนต์ Raptor ในอวกาศสำเร็จหลายครั้ง, การทดลองถ่ายโอนเชื้อเพลิงแบบ Cryogenic ในอวกาศราว 5 ตันระหว่างถังภายในยาน, มีการเก็บข้อมูล Reentry หรือการกลับเข้าสู่บรรยากาศของยานได้หลายครั้ง รวมถึงการนำเอาจรวด Super Heavy กลับมาใช้ใหม่ เพื่อปูทางสู่ Logistic ที่คล่องตัวสูงแบบ Falcon 9 แต่ยกระดับกว่าเดิม

ภาพจำลอง Operation บนผิวดวงจันทร์เมื่อยาน Starship เข้าสู่ Production ที่มา – SpaceX

ในเชิงการผลิต SpaceX ผลิต Starship ไปแล้วมากกว่า 36 ลำ ผลิต Raptor ทะลุ 600 เครื่อง เวลาจุดเครื่องยนต์รวมกันของ Raptor 2 ราว 226,000 วินาที และ Raptor 3 กว่า 40,000 วินาที พร้อมเร่งสร้างฐานปล่อยและไซต์ทดสอบใน เท็กซัส ฟลอริดา และแคลิฟอร์เนีย รวมพื้นที่มากกว่า 5 ล้านตารางฟุต

สารที่ซ่อนอยู่คือ “เราออกเงินเองกว่า 90%” ของงานระบบแกนทั้งหมด และนี่คือเหตุผลที่บริษัทควบคุมจังหวะได้เอง ที่สำคัญคือวลี Fixed-Price กับการจ่ายตาม Milestone โยนน้ำหนักกลับไปว่า “ผู้เสียภาษีไม่ได้แบกรับความเสี่ยงของเรา” ตรงนี้คือการวางกรอบสู้ Narrative ฝั่งการเมืองที่หาว่า SpaceX ช้าและดูดทรัพยากรภาครัฐ

ยังคงมีการเดินหน้าและทดสอบอย่างต่อเนื่อง

ในฝั่ง Human Landing System ซึ่งโฟกัสไปที่ระบบลงจอดของภารกิจ Artemis ต่าง ๆ นั้น SpaceX ระบุว่าบริษัทได้ผ่าน Milestones สำคัญไปแล้ว 49 รายการ ซึ่งหลายอย่างเป็นขั้นตอนเทคนิคที่เสี่ยงและซับซ้อนระดับภารกิจจริง ตั้งแต่การทดสอบระบบควบคุมสภาพแวดล้อม ECLSS ภายในยานแบบเต็มสเกลที่มีคนอยู่จริง ครบทั้งระบบอากาศ การหมุนเวียนความชื้น การจัดการความร้อนและเสียง ไปจนถึงการทดสอบ Docking Adapter แบบ Androgynous ที่พัฒนาอิงเทคโนโลยีจาก Dragon 2 เพื่อให้สามารถเชื่อมกับ Orion ได้อย่างปลอดภัย

ภายในห้องควบคุมของยาน Starship สำหรับลงจอดบนดวงจันทร์ ที่มีพื้นที่กว้างมาก ที่มา – SpaceX

นอกจากนี้ยังมีการทดสอบขา Landing Legs ด้วยการ Drop Test ลงบนดินดวงจันทร์จำลองเพื่อศึกษาการยุบตัวและแรงกระแทก การทดสอบระบบควบคุมแรงขับของเครื่องยนต์ Raptor สำหรับการลงจอด การทดสอบเกราะป้องกันอุกกาบาตขนาดเล็กและขยะอวกาศวงโคจร รวมถึงระบบนำร่อง ซอฟต์แวร์ และเรดาร์เพื่อให้สามารถลงจอดอย่างแม่นยำ การทดสอบ Cold Start ของ Raptor หลังอยู่ในอวกาศนาน

ที่สำคัญในปี 2025 ก็ได้มีการทดลองลิฟต์และ Airlock ร่วมกับบริษัท Axiom ในชุด EVA จริง ระบบสื่อสารภาคพื้นกับยานที่ระดับเทียบเท่าไฟลต์จริง และ Testbed สำหรับการทดสอบโอนถ่ายเชื้อเพลิงในอวกาศ และเตรียมเข้าสู่ขั้นทดสอบ Propellant Transfer บนวงโคจรภายในปี 2026 พร้อมกันนั้นบริษัทก็ส่งสารชัดว่าได้เปิดข้อมูลให้ NASA มากกว่าเงื่อนไขสัญญา ทั้งยังโยนสัญญาณว่ากำลังปรับสถาปัตยกรรมภารกิจให้ง่ายขึ้นและเร็วขึ้น เพื่อสื่อไปยังผู้กำหนดนโยบายว่า “อย่าเพิ่งเปิดแข่งเพราะคิดว่าเราช้า เรากำลังเร่งเกมอยู่แล้ว

แล้วอนาคตจะเกิดอะไรขึ่นต่อในปี 2026

อย่างแรก Starship ในรุ่นที่ 3 จะเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่ยัด Docking Port จากโรงงาน และสามารถปรับ Configuration ให้เป็นยานเติมเชื้อเพลิงหรือ Tanker ได้ เสริม Probe สำหรับเทียบประกบโอนถ่ายเชื้อเพลิง มีจุดเชื่อมเชื้อเพลิงที่อัปเดตให้รองรับ On-Orbit Transfer จริง ระบุด้วยว่าจะใช้ DragonEye Sensors ซึ่งเป็นมดกทางวิศวกรรมมาจากยาน Dragon มาติดตั้งบน Starship เพื่อช่วย Rendezvous และเทียบยานเข้าด้วยกัน โดย SpaceX ได้บินเซนเซอร์วัดปริมาณเชื้อเพลิงบนทุกไฟลต์ล่าสุดเพื่อเก็บ Calibration Data สำหรับภารกิจนี้

ภาพจำลองยาน Starship สองลำโอนถ่ายเชื้อเพลิงให้กันบนวงโคจร ที่มา – SpaceX

สอง โครงสร้างพื้นฐานกำลังขยายอย่างหยุดไม่อยู่ ทั้งฐานปล่อยในเท็กซัสที่ Starbase กับฟลอริดา และศูนย์ทดสอบเครื่องยนต์ Raptor ชุดใหม่ เพื่อทำให้ความสามารถของ Starship ไปถึงอัตราที่ภารกิจดวงจันทร์ต้องการ นี่คือหัวใจจริง ๆ ของแนวคิด “ราคาถูกกว่า เร็วกว่า” ที่ SpaceX ย้ำมาตลอด เพราะถ้าไม่มีอัตราปล่อยที่ถี่ การทดสอบเติมเชื้อเพลิงบนวงโคจรไม่มีทาง Practical

สาม จังหวะ Artemis IV ขึ้นอยู่กับผลของเปิดแข่ง HLS รอบนี้ด้วย เพราะถ้า NASA ดันตัวเลือกสำรองขึ้นมาเทียบไทม์ไลน์ อาจเกิดการแบ่งงานเชิงสถาปัตยกรรม เช่น ใช้ Starship เป็น Cargo-Heavy เสริมบทบาท Blue Moon ของ Blue Origin เป็นการเอายานสองระบบมาใช้ร่วมกัน หรือกลับไปแผน Two-Stage ไม่ต้องเติมเชื้อเพลิงบนวงโคจร จากสาย Legacy เหมือนในยุค Apollo ก็เป็นไปได้ จุดนี้สื่อเชิงนโยบายเริ่มเห็นสัญญาณว่ามีการขอแผนเร่งจากทุกค่ายพร้อมกัน เพื่อ “ประกันความเสี่ยง” ของประเทศ ไม่ใช่เดิมพันบริษัทเดียว

เรามองเห็นอะไรจากปรากฎการณ์นี้

แถลงการณ์ของ SpaceX คราวนี้คือการ “Reclaim Narrative” กลับมาจาก NASA และการเมืองอเมริกัน พูดให้ชัดคือบริษัทประกาศว่า “เราเดินหน้าเร็วสุด ประหยัดสุด และโปร่งใสพอที่จะพาอเมริกากลับดวงจันทร์ก่อนใคร” ขณะเดียวกัน NASA ก็ไม่ได้ยกเลิกสัญญา แต่เปิดแข่งเพื่อกันความเสี่ยงและเร่งจังหวะเกมใหญ่ระดับชาติ ความจริงที่ต้องยอมรับคือสถาปัตยกรรมแบบ On-Orbit Refueling ยากและเสี่ยงจริง แต่ถ้าทำสำเร็จ โลกทั้งใบจะได้สเกลใหม่ของการสร้างอาณานิคมบนดวงจันทร์และดาวอังคาร

ภาพจำลองระบบ Starship บนฐานปล่อย LC-37 ที่ตอนนี้ถูกปรับปรุงให้รองรับการปล่อย ที่มา – SpaceX

ในเชิงข่าว เราควรจับตา 4 เรื่องนี้แบบรายวัน อย่างแรกคือความคืบหน้า Starship รุ่น 3 ต่อมาคือตาราง Long-Duration Flight Test และ Ship-To-Ship Propellant Transfer ที่จะเกิดขึ้นในปี 2026 และสาม สัญญาณ RFI และ Acceleration Approaches ของ NASA ต่อค่ายต่าง ๆ ส่วนข้อสุดท้ายก็คือการเมืองสหรัฐในปีเลือกตั้งย่อยและแรงปะทะบน X ระหว่าง Elon กับทีมรัฐบาล เพราะมันสะเทือนตรง ๆ ต่อไทม์ไลน์ Artemis

เกมนี้ไม่ได้จบที่ใครด่าคำไหนแรงกว่า แต่จบที่ใคร “ขึ้นดวงจันทร์ได้ก่อน และทำให้มันยั่งยืนจริง” ถ้า SpaceX ทำสำเร็จตามที่ประกาศ เราอาจกำลังเห็นการเกิดสถาปัตยกรรมขนส่งอวกาศแบบใหม่ที่ราคาต่อกิโลต่ำจนวงการต้องแก้หนังสือเรียน แต่ถ้าไม่ทัน สหรัฐจะต้องพึ่งพาแผนสำรอง และนั่นหมายถึงยุทธศาสตร์ดวงจันทร์จะเปลี่ยนโครงสร้างอีกครั้งในมือ NASA

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.