เมื่อ Starliner ยังไม่พร้อม ผลกระทบต่อตารางลูกเรือของสถานีอวกาศนานาชาติ

ในโลกอุดมคติของ NASA ปี 2025 ควรจะเป็นช่วงเวลาที่สหรัฐฯ มี ยานอวกาศสองลำ จากสองบริษัทเอกชน—Crew Dragonจาก SpaceX และ Starliner จาก Boeing คอยสลับกันส่งนักบินอวกาศขึ้นไปปฏิบัติภารกิจบนสถานีอวกาศนานาชาติได้อย่างต่อเนื่อง

แนวคิดนี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของความสะดวก แต่เป็นกลไกสำคัญในยุทธศาสตร์ “Dual Provider” หรือการมีผู้ให้บริการมากกว่าหนึ่งราย เพื่อลดความเสี่ยงหากยานใดลำหนึ่งเกิดปัญหา และเพื่อให้สหรัฐฯ มีอำนาจต่อรองในเกมอวกาศที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในความจริง Starliner กลับยังไม่พร้อม

ถึงแม้ยาน Starliner จะสามารถส่งนักบินอวกาศสองคนคือ Butch Wilmore และ Suni Williams ขึ้นไปถึงสถานีอวกาศได้ในภารกิจ Crew Flight Test (CFT) เมื่อกลางปี 2024 ได้สำเร็จ แต่ภารกิจนั้นกลับจบลงด้วยคำถามมากกว่าคำตอบ Starliner เผชิญปัญหาระหว่างการปฏิบัติภารกิจ ทั้งการรั่วไหลของฮีเลียมในระบบขับเคลื่อน และระบบควบคุมทิศทาง (RCS) ที่แสดงพฤติกรรมผิดปกติหลายครั้ง การตรวจสอบจึงต้องใช้เวลานานกว่าคาด จนทำให้สองนักบินต้องอยู่บนสถานีนานถึง 286 วัน อ่าน – สรุปกรณี NASA ตัดสินใจให้ลูกเรือ Starliner Crew Flight Test กลับโลกด้วยยาน Dragon ก่อนจะกลับสู่โลกในต้นปี 2025 ด้วยยาน Dragon เพื่อให้ตรงกับการผลัดเปลี่ยนลูกเรือของ Crew-9

ยาน Starliner ขณะถอนตัวออกจากสถานีอวกาศนานาชาติโดยไม่มีลูกเรือโดยสารด้วย ที่มา – NASA

แม้ NASA จะบอกว่านี่คือ “บทเรียนสำคัญ” สำหรับภารกิจแรกกับลูกเรือจริง แต่ในมุมของการวางแผนระยะยาว ความไม่พร้อมของ Starliner กำลังกลายเป็นภาระที่โยงไปถึงตารางการผลัดเปลี่ยนลูกเรือทั้งหมดของสถานี ผลกระทบหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือการที่ภารกิจ Crew-9 ที่ควรจะมีนักบินอวกาศสี่คน กลับถูกลดเหลือเพียง สองคน เพราะต้องเผื่อที่นั่งให้กับ Butch และ Suni ที่ต้องเดินทางกลับโลกด้วยยาน Dragon แทน Starliner ที่ต้องเดินทางกลับโลกยานเปล่า

กรณีนี้ไม่ใช่เพียงแค่การ “เปลี่ยนแผน” แบบเล็กน้อย แต่คือการ ต้องรื้อระบบการจัดการบางอย่างเพื่อให้ทุกอย่างพอเดินหน้าต่อได้ เป็นสัญญาณว่าความไม่เสถียรของ Starliner กำลังฉุดรั้งความลื่นไหลที่ NASA พยายามสร้างขึ้นมาตลอดหลายปี

หลังจากความไม่สมบูรณ์ของ CFT มีแนวโน้มว่า Boeing อาจต้องทำภารกิจ Orbital Flight Test-3 หรือ OFT-3 ซึ่งเป็นการบินแบบไร้ลูกเรืออีกครั้ง เพื่อยืนยันว่ายานมีความพร้อมจริง ๆ ก่อนจะได้สิทธิ์ในการทำภารกิจส่งลูกเรือแบบปกติ หรือที่เรียกว่า Starliner-1

ปัญหาคือ ยิ่ง Starliner-1 ถูกเลื่อนออกไปนานเท่าไหร่ ยิ่งมีผลกระทบต่อ ลูกเรือ ที่ได้รับมอบหมายไว้ว่าจะบินกับยานลำนี้ หลายคนใช้เวลานับปีในการฝึกกับระบบของ Starliner โดยเฉพาะ แต่เมื่อยานยังไม่พร้อม สิ่งเดียวที่ทำได้คือ “ย้าย” พวกเขาไปภารกิจอื่นแทน อย่างเช่นในกรณีของ Crew-11 ที่กำหนดจะขึ้นบินในเดือนกรกฎาคม 2025 ลูกเรือหลายคนในทีมนี้อย่าง Mike Fincke และ Kimiya Yui เดิมเคยถูกวางตัวไว้ให้บินกับ Starliner-1 ก่อนถูกย้ายมาที่ Dragon แทน เพื่อให้ประสบการณ์การฝึกที่ทุ่มเทไว้ ไม่สูญเปล่า

ลูกเรือ Crew-11 ที่ Fincke และ Yui ถูกย้ายมาจากภารกิจ Starliner ให้มาบินกับยาน Dragon แทน ที่มา – NASA/Josh Valcarcel

สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ—Starliner ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่กับลูกเรือของ NASA แต่ยังกระทบต่อพันธมิตรนานาชาติอย่าง JAXA ญี่ปุ่น, ESA ยุโรป หรือแม้แต่ Roscosmos รัสเซีย เพราะการวางแผนของแต่ละชาติล้วนต้องยึดกับรอบผลัดเปลี่ยนของยานอเมริกันในระดับหนึ่ง และเมื่อ Dragon กลายเป็น “ยานเดียวที่ใช้การได้” NASA ก็ไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากจะต้องพึ่ง SpaceX ต่อไปอีกนาน ซึ่งถือเป็นเรื่องท้าทาย เพราะตัวสถานีอวกาศนานาชาติเองก็กำลังเข้าใกล้ช่วงปลดประจำการในราวปี 2030

การมีผู้ให้บริการมากกว่าหนึ่งรายคือแนวทางที่ถูกต้อง และจำเป็นสำหรับโลกยุคใหม่ที่ภารกิจอวกาศมีความหลากหลาย แต่กรณีของ Starliner แสดงให้เห็นว่าการไปให้ถึงจุดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในโลกแห่งความเป็นจริง เทคโนโลยีต้องไม่ใช่แค่ “ทำได้” แต่ต้อง “ทำได้อย่างสม่ำเสมอ ปลอดภัย และเชื่อถือได้” ด้วย ซึ่งยังเป็นโจทย์ใหญ่ที่ Boeing ต้องตอบให้ได้ ก่อนที่ชื่อของ Starliner จะกลายเป็นเพียง “บทเรียนราคาแพง” ของโครงการ Commercial Crew และในระหว่างที่เรารอคำตอบนั้นอยู่—Dragon ก็ยังคงต้องบินต่อไปอีกยาวนาน จนกว่าใครสักคนจะขึ้นมายืนเคียงข้างมันได้อย่างแท้จริง

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.