สรุปการทดสอบ Starship เที่ยวบิน 11 ปิดฉากการทดสอบรุ่น Block 2 อย่างสมบูรณ์แบบ

เช้าวันที่ 14 ตุลาคม 2025 เวลา 06:23 ตามเวลาประเทศไทย SpaceX ปล่อยยาน Starship เที่ยวบินที่ 11 ขึ้นจากฐานปล่อย Orbital Launch Platform หมายเลข 1 ที่ Starbase, Texas ซึ่งถือเป็นเที่ยวบินสุดท้ายของ Starship รุ่น Block 2 และเป็นเที่ยวบินปิดฉากการใช้งานของฐานปล่อย OLP-1 ก่อนจะเข้าสู่ช่วงปรับปรุงใหม่สำหรับการรองรับรุ่น Block 3

Super Heavy หมายเลข B15 ขณะกำลังถูกเคลื่อนจากโรงเก็บไปยังฐานปล่อย Orbital Launch Platform ใน Starbase ที่มา – SpaceX

ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา SpaceX ดำเนินการทดสอบระบบขนส่งอวกาศ Starship อย่างต่อเนื่องทั้งในด้านโครงสร้าง การควบคุมการบิน การทนความร้อน และระบบการกลับมาใช้ซ้ำของจรวด Super Heavy การทดสอบในเที่ยวบินที่ 7 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ Starship รุ่น Block 2 ที่ได้รับการปรับปรุงโครงสร้างและระบบควบคุมต่าง ๆ แม้ว่ายานจะสูญหายระหว่างการบินจากปัญหาการรั่วของเชื้อเพลิงและการสั่นสะเทือนเชิงโครงสร้าง แต่ข้อมูลที่ได้รับจากเที่ยวบินดังกล่าวมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนารุ่นถัดมา ใน เที่ยวบินที่ 8 ลำดับเหตุการณ์เที่ยวบินที่ 8 ของ Starship ที่จบลงด้วยยานหมุนมั่วบนวงโคจร และ 9 SpaceX เริ่มทดสอบการนำ Booster กลับมาใช้ซ้ำ ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของแนวทางลดต้นทุนในการปล่อยดาวเทียม โดยเฉพาะเที่ยวบินที่ 9 ที่เป็นครั้งแรกที่ Super Heavy ถูกนำกลับมาใช้งานใหม่หลังจากภารกิจเดิม สรุปการทดสอบ Starship เที่ยวบิน 9 จรวดบินซ้ำสำเร็จ แต่ Starship ยังคงหมุนบนวงโคจร

ต่อมา เที่ยวบินที่ 10 ในเดือนมิถุนายน 2025 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยสามารถดำเนินการปล่อยดาวเทียมจำลอง Starlink ได้ครบตามแผน ทำการจุดเครื่องยนต์ Raptor ในอวกาศได้สำเร็จ และร่อนลงในมหาสมุทรอินเดียได้อย่างแม่นยำ แม้จะเกิดความเสียหายบางส่วนที่บริเวณท้ายยานในระหว่างการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ สรุปการทดสอบ Starship เที่ยวบิน 10 กับความสำเร็จครั้งแรกของปี 2025 ที่ Block 2 ลงจอดได้ซักที

Starship หมายเลข S38 ถูกยกขึ้นติดตั้งบนตัวจรวด Super Heavy ก่อนการปล่อย ที่มา – SpaceX

เที่ยวบินที่ 11 นี้ใช้ Booster หมายเลข 15 พร้อมเครื่องยนต์ Raptor ทั้งหมด 24 เครื่องที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว โดยในช่วงการปล่อยและการไต่ระดับ ยานทำงานเป็นไปตามแผนอย่างราบรื่น ที่นาทีที่ 1 หลังปล่อยเข้าสู่ช่วง Max-Q หรือช่วงที่จรวดเผชิญแรงเครียดจากการบินสูงสุด ตามด้วยการดับเครื่องยนต์หลัก Main Engine Cutoff ของบูสเตอร์เมื่อเวลา 2 นาที 37 วินาทีหลังการปล่อย และแยกตัวกันในลักษณะ Hot Staging ในเวลา 2 นาที 39 วินาทีหลังการปล่อยก่อนเริ่มการจุดเครื่องยนต์ของ Starship

การปล่อยครั้งนี้ยังเป็นการปล่อยครั้งสุดท้ายจากหอคอยปล่อย Orbital Launch Platform รุ่นเดิม ก่อน SpaceX จะเปลี่ยนไปใช้หอคอยรุ่นใหม่ หรือ OLP-2 ที่เห็นด้านขวาในภาพ ที่มา – SpaceX

หลังจากนั้น Super Heavy ทำการ Boostback Burn เพื่อเปลี่ยนทิศทางกลับและเข้าสู่ Landing Burn โดยในเวลา 6 นาที 20 วินาทีหลังการปล่อย มีความผิดปกติเล็กน้อยจากเครื่องยนต์ Raptor หนึ่งตัวในช่วง Boostback แต่สามารถกลับมาติดใหม่ในช่วง Landing Burn ได้ตามแผน ปิดฉากด้วยการดับเครื่องยนต์ก่อนตกลงในอ่าวเม็กซิโก ตามเป้าหมายในการทดสอบอัลกอริทึมการลงจอดแบบใหม่

ระบบใหม่นี้ใช้รูปแบบการจุดเครื่องยนต์แบบหลายเฟส หรือ Multi-Phase Landing Sequence เริ่มจากการจุดเครื่องยนต์ Raptor จำนวน 13 เครื่องพร้อมกันในช่วงต้นของการเบรกเพื่อลดความเร็วจากระดับไฮเปอร์โซนิก ก่อนจะลดจำนวนเหลือ 5 เครื่องในช่วง “Divert Phase” เพื่อปรับทิศทางและชดเชยแรงขับระหว่างการร่อน และจบด้วยการใช้เครื่องยนต์ 3 เครื่องตรงกลางในช่วงสุดท้ายเพื่อรักษาเสถียรภาพและลดความเร็วลงจนเกือบหยุดนิ่งเหนือผิวน้ำก่อนดับเครื่องยนต์ทั้งหมด การทดสอบรูปแบบใหม่นี้ช่วยให้ SpaceX สามารถประเมินพฤติกรรมของระบบควบคุมแรงขับและสมดุลของยานในสภาวะจริง

การบินขึ้นของ Starship และ Super Heavy ที่มา – SpaceX

หลังจากนั้นยาน Starship เดินหน้าสู่การทดสอบในอวกาศ โดยจุดเครื่องยนต์จนถึงช่วง SECO หรือ Second Engine Cutoff ในเวลา 8 นาที 58 วินาทีหลังจากการปล่อย จากนั้นเริ่มการ ปล่อยดาวเทียมจำลอง Starlink จำนวน 8 ดวง ในช่วงนาทีที่ 18 ถึง 25 ซึ่งเป็นการจำลอง Payload Deploy ของ Starlink รุ่นใหม่ และจุดเครื่องยนต์ Raptor อีกครั้งในอวกาศเพื่อเก็บข้อมูลระบบการจุดเครื่องยนต์ในวงโคจรซึ่งจำเป็นสำหรับการปรับเปลี่ยนวงโคจรของยานในอนาคต

บรรยากาศการบินขึ้นของ Starship และ Super Heavy ในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ตามเวลาประเทศไทย ที่มา – SpaceX

Starship เริ่มเข้าสู่ชั้นบรรยากาศอีกครั้งที่นาที 47 ซึ่งต่างจากเที่ยวบินก่อนหน้าเพราะแม้จะ ถอดกระเบื้องกันความร้อนบางส่วนออกเพื่อทดสอบความทนทานของโครงสร้าง ยานกลับผ่านการ Reentry ได้อย่างดี โดยไม่เกิดความเสียหายรุนแรงเหมือนเที่ยวบินทดสอบที่ 10 ก่อนเข้าสู่ช่วง Transonic และ Subsonic ซึ่งตัวยานกลับมามีความเร็วต่ำกว่าความเร็วเสียงที่ประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังการปล่อย

ในช่วงสุดท้าย ยานทำ Landing Burn และ “Flip Maneuver” พลิกตัวกลับหัวเพื่อเตรียมลงจอดในมหาสมุทรอินเดีย ก่อนลดเครื่องยนต์จาก 3 เหลือ 2 ตัวในช่วงสุดท้าย และปิดฉากลงจอด 1 ชั่วโมงกับอีก 6 นาทีหลังการปล่อย เสร็จสิ้นการทดสอบ

ผลการบินเป็นไปตามแผนหลัก โดย Booster 15 ทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพแม้มีการดับเครื่องยนต์หนึ่งเครื่องในช่วง Boostback Burn ซึ่งสามารถกลับมาทำงานได้อีกครั้งระหว่าง Landing Burn ด้าน Starship ชั้นบนสามารถปล่อยดาวเทียมจำลอง Starlink ได้ครบทั้ง 8 ดวง ดำเนินการจุดเครื่องยนต์ Raptor ในอวกาศ และกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโดยไม่เกิดความเสียหายรุนแรง ก่อนร่อนลงสู่มหาสมุทรอินเดียตามพื้นที่เป้าหมาย

ภารกิจเที่ยวบินที่ 11 จึงถือเป็นการปิดฉากอย่างสมบูรณ์ของการทดสอบ Starship รุ่น Block 2 โดยข้อมูลทั้งหมดจากภารกิจนี้จะถูกนำไปใช้ในการพัฒนา Starship รุ่น Block 3 ซึ่งเป็นรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานจริง ทั้งในภารกิจของ NASA ภายใต้โครงการ Artemis และการปล่อยดาวเทียมเชิงพาณิชย์ของ SpaceX ในระยะต่อไป

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.