การทดสอบเที่ยวบินที่ 9 ของระบบ Starship โดย SpaceX เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2025 ถือเป็นหนึ่งในการทดสอบที่ทะเยอทะยานที่สุดของบริษัท และอาจนับได้ว่าเป็นเที่ยวบินที่มีความซับซ้อนทางวิศวกรรมที่สุดนับตั้งแต่การพัฒนา Starship เริ่มต้นมา การทดสอบรอบนี้ไม่ใช่แค่การดูว่า “บินได้ไหม” แต่คือการโยนยานเข้าสู่สถานการณ์จำลอง “ผิดพลาด” เพื่อให้ได้ข้อมูลจริงสำหรับการพัฒนาในระยะต่อไป ทั้งด้านการบิน การควบคุม และการลงจอด
เที่ยวบินนี้นับเป็นครั้งแรกที่ SpaceX นำเอาจรวด Super Heavy Booster กลับมาใช้ใหม่ได้สำเร็จ หลังจากจรวดหมายเลข B14 เคยบินในเที่ยวบินที่ 7 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา สรุปเหตุการณ์ Starship เที่ยวบินทดสอบที่ 7 ระเบิดในวงโคจร หลังแยกตัวกับ Super Heavy การนำกลับมาใช้นั้นไม่ใช่แค่เรื่อง “ใช้ของเดิม” แต่คือการผ่านกระบวนการ Post-Flight Inspection และ Refurbishment ที่ใช้เพื่อแยกแยะว่าอะไรสามารถใช้ซ้ำได้บ้าง โดย SpaceX ยืนยันว่า 29 จาก 33 เครื่องยนต์ Raptor ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ ส่วนชิ้นส่วนที่ตั้งใจออกแบบให้ใช้ครั้งเดียว เช่นแผ่นกันความร้อนแบบ Ablative ก็ถูกเปลี่ยนใหม่ตามความจำเป็น

เช้าวันที่ 28 พฤษภาคม 2025 เวลา 06:46 น. ตามเวลาประเทศไทยหรือยาน Starship ได้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หลังจากเริ่มกระบวนการเติมเชื้อเพลิงประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนการปล่อย จุดที่สำคัญเกิดขึ้นที่ 2 นาที 40 วินาที เมื่อจรวด Super Heavy แยกตัวออกจากยาน Starship Upper Stage อย่างราบรื่น
เที่ยวบินนี้ไม่ได้มีแค่การปล่อย แต่มีการการทดลองการควบคุมทิศทางและการลงจอดในสถานการณ์ไม่ปกติ เข้าไปในแผนการบินของ Super Heavy ด้วย รวมถึงทดลองวิธีใหม่ ๆ แม้เที่ยวบินนี้จะไม่มีการพยายามนำจรวด Super Heavy หมายเลข B14 กลับมาลงจอดที่หอคีบ Mechazilla แต่ก็ไม่ใช่การ “ทิ้ง” แบบสูญเปล่า เพราะเป้าหมายคือการทดสอบ “การลงจอดจำลองเครื่องยนต์ดับบางส่วน” โดยให้จรวดจำลองสถานการณ์ที่เครื่องยนต์บางตัวไม่ทำงานตอนลงจอด เพื่อศึกษาแนวทางการควบคุมทิศทางและพลังงานในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยจรวดได้ตกลงสู่บริเวณอ่าวเม็กซิโกตามแผนที่วางไว้
- หลังการแยกตัว Booster ต้อง Flip หรือหมุนกลับหัวเพื่อเตรียมจุดเครื่องเพื่อทำ Boostback Burn ซึ่งรอบนี้ SpaceX บล็อกรูระบายบางส่วนใน Hotstage Adapter เพื่อ “บังคับทิศการหมุน” ของ Booster ให้ไปในทิศทางที่ทราบล่วงหน้า แทนที่จะสุ่มตามแรงจาก Starship ด้านบน วิธีนี้ช่วยให้ลดปริมาณเชื้อเพลิงที่ต้องเผื่อไว้สำหรับการควบคุมทิศทางและเอาเชื้อเพลิงไปใช้เพิ่มน้ำหนัก Payload แทน
- หลังจากจุด Boostback burn แล้ว Super Heavy จะบินลงมาด้วย มุมปะทะหรือ Angle of Attack ที่สูงกว่าปกติ เพื่อเพิ่มแรงต้านอากาศและลดความเร็วลงก่อนจุดลงจอดจริง เทคนิคนี้ใช้ลดการใช้เชื้อเพลิงสำหรับ Landing Burn ได้
- ในช่วง Landing Burn ปลายทาง B14 จะจุดเครื่องยนต์เพียง 2 ตัว จากปกติ 3 ตัว โดย “ปิด” เครื่องยนต์หนึ่งตัวจากแกนกลางโดยตั้งใจ เพื่อดูว่าเครื่องยนต์สำรองจากเครื่องวงรอบนอกสามารถพา Booster ลงจอดได้หรือไม่
โดยหลังจากการที่ Super Heavy กลับเข้าสู่บรรยากาศสัญญาณก็ได้ขาดหายไปเหนือบริเวณลงจอด เป็นอันปิดฉากเที่ยวบินที่สองของ B14 ทิ้งไว้แต่เพียงข้อมูลจำนวนมากเพื่อนำมาใช้ปรับปรุง Super Heavy ในอนาคต

ในขณะที่ส่วนยานอวกาศ Starship ในเที่ยวบินนี้ใช้รุ่น Block 2 ซึ่งถือว่าใหม่ล่าสุด และครั้งนี้คือเที่ยวบินที่ 3 แล้วของยานรุ่นนี้ หลังจากสองรอบก่อนเกิดการระเบิดกลางทาง ตามที่เรารายงานไปใน SpaceX เผยสาเหตุการระเบิดของ Starship เที่ยวบินที่ 7 และ ลำดับเหตุการณ์เที่ยวบินที่ 8 ของ Starship ที่จบลงด้วยยานหมุนมั่วบนวงโคจร
ในเที่ยวบินนี้ Starship มีเป้าหมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทดสอบปล่อยดาวเทียม Starlink จำลอง 8 ดวงที่มีขนาดเท่ากับ Starlink Gen2 อย่างไรก็ตาม ช่วงสำคัญของการปล่อยดาวเทียมไม่สามารถดำเนินไปได้ตามแผน เนื่องจากฝาปิดที่ครอบดาวเทียมจำลองเอาไว้ไม่สามารถเปิดออกได้ ทีมงานพยายามเปิดใหม่อีกครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ ทำให้พลาดโอกาสในการทดสอบระบบนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
ความหวังของ Starship รอบนี้ยังมีการการลดจำนวนแผ่นป้องกันความร้อนในบางจุด เพื่อ “จงใจ” ให้เกิด Hot Spot และเก็บข้อมูล รวมไปถึงทดสอบวัสดุแผ่นกันความร้อนรูปแบบใหม่ เช่นแผ่นโลหะที่มีระบบระบายความร้อนแบบ Active Cooling และแผ่นที่มีขอบเรียบลื่น เพื่อแก้ปัญหาจุดร้อนจากการทดสอบก่อนหน้า
แม้ยานจะขึ้นบินและเข้าสู่ Suborbital Trajectory ได้อย่างเรียบร้อย แต่ในช่วง Coast Phase ระหว่างรอยานกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ยาน Starship กลับเกิด การหมุนไม่สามารถควบคุมได้ (Uncontrolled Spin) ทำให้ระบบควบคุมทิศทาง Attitude Control ไม่สามารถพายานเข้าสู่องศาที่เหมาะสมเพื่อ Reentry ได้ และไม่สามารถจุดเครื่องยนต์สำหรับลงจอดตามแผนได้ สุดท้าย ยานหมุนไปเรื่อย ๆ ลดระดับลงสู่บรรยากาศ และสิ้นสุดภารกิจเหนือมหาสมุทรอินเดีย โดยไม่มีการจุดเครื่องยนต์อีกครั้ง ซึ่งภาพถ่ายทอดสดก็ถ่ายทอดตัวยานหมุนไปเรื่อย ๆ แบบนั้น

Elon Musk ได้ออกมาโพสต์สรุป หลังเที่ยวบินว่า Starship เที่ยวที่ 9 ถือเป็นก้าวหน้าครั้งใหญ่จากเที่ยวก่อนหน้า เพราะยานสามารถบินไปถึงจุดที่เครื่องยนต์หลักดับลงตามกำหนด ซึ่งไม่เคยทำได้ในการทดสอบครั้งก่อน และที่สำคัญคือ ไม่มีการสูญเสียแผ่นกันความร้อนหรือ Heat Shield Tiles อย่างมีนัยสำคัญระหว่างการทะยานขึ้น นับว่าเป็นสัญญาณเชิงบวกของความสมบูรณ์ของโครงสร้างภายนอก อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักที่ทำให้ยานควบคุมตัวเองไม่ได้ในช่วง Coast Phase และขณะเข้าสู่บรรยากาศ ก็คือการที่เกิดการรั่วภายในระบบ ทำให้ถังเชื้อเพลิงหลักสูญเสียแรงดัน เรียกว่าการเกิด Main Tank Pressure Loss ซึ่งกระทบต่อระบบควบคุมทั้งหมด แม้จะไม่ได้ลงจอดสำเร็จ แต่ข้อมูลที่เก็บได้ครั้งนี้จะช่วยปรับปรุงระบบในเที่ยวบินต่อ ๆ ไป ซึ่ง Musk ระบุว่าจะมีการปล่อยอีก 3 เที่ยวในช่วง 3–4 สัปดาห์ถัดไป สะท้อนถึงความพร้อมที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในสายการผลิต Starship และความมั่นใจของทีม SpaceX ในการทดสอบแบบต่อเนื่องถี่ขึ้นเรื่อย ๆ
เราอาจวิเคราะห์ได้ว่าแม้การทดสอบครั้งนี้จะไม่สามารถทำให้ Starship ลงจอดได้ตามเป้า และไม่ได้ปล่อยดาวเทียมสำเร็จ แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่คือก้าวที่ใกล้ Orbital-Class Flight ที่สมบูรณ์แบบที่สุดของ SpaceX ในรุ่น Starship Block 2 เพราะนอกจากจะสามารถบินถึงเป้าหมายที่วางไว้แล้วการนำ Super Heavy หมายเลข B14 มาใช้ซ้ำได้สำเร็จ ถือเป็นชัยชนะที่สำคัญ และตอกย้ำความได้เปรียบของ SpaceX ในด้านเทคโนโลยี Reusability ที่ยิ่งไปไกลกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมมากขึ้นทุกที
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co