งาน Thailand Space Expo 2025 กลับมาอีกครั้งในปีนี้ พร้อมการรีแบรนด์ครั้งสำคัญของ GISTDA ที่เปลี่ยนชื่อจากเดิม “Thailand Space Week” ซึ่งจัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2018 สู่ชื่อใหม่ที่สะท้อนภาพลักษณ์ระดับนานาชาติมากขึ้น ภายใต้แนวคิด “United Space” เพื่อสื่อถึงการรวมพลังของทุกภาคส่วนในวงการอวกาศ ตั้งแต่หน่วยงานภาครัฐ บริษัทเอกชน มหาวิทยาลัย ไปจนถึงเยาวชนและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่ล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือการผลักดันประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจอวกาศเต็มตัว
ปี 2025 ถือเป็นจังหวะสำคัญของวงการอวกาศไทย ทั้งจากความร่วมมือระหว่างประเทศที่ชัดเจนขึ้น การเกิดขึ้นของดาวเทียมและภารกิจใหม่ ๆ ของไทย ตลอดจนความตื่นตัวของภาคเอกชนและเยาวชนที่เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง งาน Thailand Space Expo 2025 จึงถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่กลางที่ “คนทำจริง” และ “คนอยากรู้จริง” ได้มาเจอกัน เป็นเหมือนแหล่งรวมคนในอุตสาหกรรมอวกาศไทยที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

ภายในงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16–18 ตุลาคม 2025 ณ True Icon Hall ชั้น 7 ห้างสรรพสินค้า ICONSIAM โดยมีทั้งนิทรรศการอวกาศจากหน่วยงานชั้นนำ การออกบูธของบริษัทอวกาศจากทั่วโลก และเวทีเสวนาที่รวมผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรอย่าง JAXA, Rocket Lab, Planet และ Airbus มาร่วมพูดคุยกับตัวแทนจากไทย รวมถึง Workshop เชิงเทคนิคที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนความรู้กับนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
ในบทความนี้ ทีมงานจะพาทุกคนไปชมบรรยากาศของงานตลอดสามวัน ตั้งแต่โซนนิทรรศการที่รวมเทคโนโลยีอวกาศล่าสุดจากทั้งในและต่างประเทศ เวทีเสวนาที่พูดถึงอนาคตของเศรษฐกิจอวกาศไทย ไปจนถึงมุมของเยาวชนและโครงการใหม่ ๆ ที่สะท้อนให้เห็นว่าการเดินทางสู่อวกาศของประเทศไทยกำลังเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง สรุปกิจกรรมในวงการอวกาศไทย 2024
วันแรกของงานและพิธีเปิดโดยแขกระดับนานาชาติ
งาน Thailand Space Expo เริ่มต้นขึ้นด้วยพิธีเปิดอย่างยิ่งใหญ่ที่มีแขกระดับรัฐมนตรีเอกอัคราชทูตและผู้บริหารหน่วยงานอวกาศระดับโลกมาร่วมพิธีเปิด นำโดยสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รวมถึงเอกอัคราชทูตฝรั่งเศส Jean- Claude Poimboeuf และแขกผู้มีเกียรติมากมาย

ผู้อำนวยการองค์การอวกาศญี่ปุ่น JAXA คุณ Hiroshi Yamakawa ได้ขึ้นกล่าวพูดถึงความร่วมมือระหว่างอวกาศไทยกับญี่ปุ่นที่มีมาอย่างยาวนานสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตด้านเทคโนโลยีอวกาศของไทย เนื้อหาที่ทาง JAXA นำมาเล่าให้ฟังนั้นกล่าวถึงความร่วมมือในการแชร์ข้อมูลจากดาวเทียมกลุ่มสำรวจโลกของ JAXA ไปจนถึงที่นักบินอวกาศ Koichi Wakata ได้รับพระราชทานพระพิฆเนศไม้จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นไปบนสถานีอวกาศนานาชาติ

ซึ่งคำกล่าวของคุณ Hiroshi Yamakawa ในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์ความร่วมมือที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึง “ความสัมพันธ์เชิงสถาปัตยกรรม” ระหว่างอวกาศญี่ปุ่นและไทย ที่ค่อย ๆ วางรากฐานร่วมกันมาตลอดกว่าสองทศวรรษ ทั้งในมิติของเทคโนโลยี การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และการสร้างโอกาสให้กับนักวิจัยรุ่นใหม่

สิ่งที่ JAXA ย้ำอยู่เสมอคือ ความร่วมมือนี้ไม่ได้เป็นเพียงการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศหนึ่งสู่อีกประเทศหนึ่ง แต่เป็นการเดินทางคู่ขนานของประเทศที่ต่างกำลังพัฒนา “ขีดความสามารถทางอวกาศ” ในรูปแบบของตนเอง การที่ญี่ปุ่นเลือกจะเปิดประตูให้ไทยเข้ามาอยู่ในวงโครงข่ายความร่วมมือนี้ แปลว่าไทยได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ ecosystem ด้านอวกาศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างแท้จริง

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อมูลดาวเทียม การทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ หรือกิจกรรมพัฒนาเยาวชนด้านอวกาศ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลลัพธ์ของความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่าง JAXA และ GISTDA ที่ไม่ใช่แค่ “พันธมิตรทางเทคนิค” แต่เป็น “พันธมิตรทางวิสัยทัศน์” ที่มุ่งผลักดันให้ภูมิภาคนี้มีบทบาทในเวทีอวกาศโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ

หลังจากการบรรยายพิเศษในพิธีเปิดแล้ว ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA ก็ได้พาแขกระดับรัฐมนตรี ผู้บริหารองค์การอวกาศ และเอกอัคราชทูต เข้าชมนิทรรศการภายในงานโดยเฉพาะในโซนจัดแสดงเทคโนโลยีอวกาศของ GISTDA ดร.ปกรณ์ ยังได้เล่าถึงแผนการต่อยอดในอนาคตของ Fleet ดาวเทียมไทย ที่จะไม่หยุดเพียงการสำรวจโลก แต่จะขยายไปสู่ภารกิจใหม่ ๆ เช่น การสังเกตการใช้เทคโนโลยีอย่าง Synthetic Apature Radadr การติดตามภัยพิบัติ และการเชื่อมต่อกับระบบจัดการข้อมูลเชิงพาณิชย์ของเอกชน เพื่อให้ “ข้อมูลจากอวกาศ” กลายเป็นทรัพยากรดิจิทัลที่คนไทยทุกคนเข้าถึงได้

นิทรรศการในปีนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการโชว์ผลงานของ GISTDA แต่เป็นการประกาศว่า “อวกาศไทย” ได้เดินเข้าสู่ยุคที่เรามีทั้งเทคโนโลยีและองค์ความรู้ของตัวเอง พร้อมจะเชื่อมโยงกับพันธมิตรทั่วโลกในฐานะประเทศที่สร้างคุณค่าได้จากอวกาศอย่างแท้จริง
รวมบุคคลสำคัญและบริษัทอวกาศระดับโลกหลากหลายเวทีหลากหลายแง่มุม
ในวันแรกนั้นมีการเสวนาจากบุคคลสำคัญในวงการอวกาศจากทั่วโลก ครอบคลุมทั้งด้านเทคโนโลยี ธุรกิจ และยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาคที่สะท้อนให้เห็นว่า “อวกาศ” กำลังกลายเป็นเศรษฐกิจใหม่ที่ทุกประเทศต้องจับตา เริ่มจากเวที Thailand’s Turn: Capturing the Billion-Dollar Opportunity in Space Tech ซึ่งเปิดมุมมองจากผู้นำด้านเทคโนโลยีอวกาศของไทยในหลากหลายภาคส่วน ตั้งแต่ GISTDA, Thaicom, กองทัพอากาศ, NT ไปจนถึง เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ CP Group โดยมีจุดร่วมคือการมอง “อวกาศ” เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาลที่ไทยสามารถเข้าไปมีบทบาทได้อย่างแท้จริง

การเสวนาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นทั้งวิสัยทัศน์ของภาครัฐในฐานะผู้พัฒนาเทคโนโลยี ภาคเอกชนในฐานะผู้ลงทุน และภาคความมั่นคงที่มองอวกาศในมิติของยุทธศาสตร์ระดับชาติ การแลกเปลี่ยนระหว่างผู้นำเหล่านี้ทำให้เห็นภาพว่า “Thailand Space Economy” กำลังเริ่มเดินด้วยแรงขับเคลื่อนที่หลากหลายและจริงจังมากขึ้นกว่าที่เคย

อีกเวทีที่ได้รับความสนใจไม่แพ้กันคือ From Lab to a Rocket, Toward 100X Growth Business โดย Dr. Sandy Tirtey จาก Rocket Lab หนึ่งในบริษัทอวกาศเอกชนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก เสวนาครั้งนี้พูดถึงแนวคิดการเปลี่ยนงานวิจัยและนวัตกรรมในห้องทดลองให้กลายเป็นธุรกิจที่ขยายได้ในระดับร้อยเท่า พร้อมเล่าถึงแนวทางที่ Rocket Lab ใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีจรวด Electron และระบบยานอวกาศ ให้กลายเป็นสินค้าที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้จริงในตลาดโลก บรรยากาศของเวทีนี้สะท้อนพลังของ “ภาคเอกชนอวกาศ” ที่ไม่เพียงแต่ขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์ แต่ยังขับเคลื่อนด้วยโมเดลธุรกิจที่มองไปไกลถึงอนาคต

หรือเวทีที่เชื่อมโยงมุมมองระดับภูมิภาคอย่าง Space to Thrive: Southeast Asia’s Space Industry on the Rise ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้แทนจากหลายประเทศในอาเซียนและยุโรป ตั้งแต่ Nicolette Yeo จาก SST Think Tank, Michelle Khoo จาก Deloitte Southeast Asia, Teeratat Kerdchouay จาก Thaicom, และ Francois-Xavier Royer จาก Airbus Defence and Space ที่มาพูดคุยถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมอวกาศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การสร้าง Ecosystem ร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และองค์กรระดับโลก เพื่อให้ภูมิภาคนี้ไม่เป็นเพียง “ผู้ตาม” แต่กลายเป็น “ผู้ร่วมสร้าง” อุตสาหกรรมอวกาศในระดับนานาชาติ

สิ่งที่สะท้อนความสำเร็จของงานปีนี้ได้ชัดเจนที่สุดคือ “ความหลากหลายของบริษัทอวกาศระดับโลกที่เลือกมาปักหมุดในประเทศไทย” ไม่ว่าจะเป็น Airbus, Rocket Lab, Planet, Synspective, OroraTech, MDA Space, ispace, รวมถึงผู้เล่นหน้าใหม่จากจีนและเกาหลีใต้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจอวกาศโลกและมักปรากฏอยู่ในงานระดับนานาชาติอย่าง IAC

การที่พวกเขาเดินทางมาร่วมงานในกรุงเทพฯ แสดงให้เห็นถึงบทบาทใหม่ของประเทศไทยที่ไม่ได้เป็นเพียง “ตลาดผู้บริโภคข้อมูลอวกาศ” อีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น ศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เชื่อมโยงทั้งภาควิจัย นโยบาย และธุรกิจเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ เป็นสัญญาณชัดว่าประเทศไทยเริ่มถูกมองว่าเป็น “ประตูสู่อวกาศของอาเซียน” อย่างแท้จริง
โซนหน้างาน รวมเรื่องราวและอัพเดทเทคโนโลยีจากหน่วยงานและชาติพันธมิตร
อีกหนึ่งโซนที่ดึงดูดผู้เข้าชมมากที่สุดของงาน Thailand Space Expo 2025 เพราะอยู่ด้านหน้าสุดเลยก็คือบริเวณ “Co- Host Pavilion” ซึ่งเปรียบเสมือนหน้าต่างสู่ความร่วมมือระดับนานาชาติของไทยในโลกอวกาศ ปีนี้ GISTDA เปิดพื้นที่ให้กับหน่วยงานและพันธมิตรหลักทั้งจาก ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศไทย ได้มาโชว์ศักยภาพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอวกาศในรูปแบบที่จับต้องได้จริง

ริ่มจาก Japan Pavilion ที่เรียกได้ว่าเป็นไฮไลต์ของงาน เพราะญี่ปุ่นคือหนึ่งในชาติที่ร่วมผลักดันอุตสาหกรรมอวกาศไทยมายาวนาน ผ่านทั้งความร่วมมือในระดับรัฐบาลและภาคเอกชน ด้านในบูธมีทั้ง องค์การอวกาศญี่ปุ่น JAXA ที่นำข้อมูลและเทคโนโลยีสำรวจโลกมาแสดงให้เห็นถึงความแม่นยำของดาวเทียมญี่ปุ่นในด้านภูมิสารสนเทศและการเตือนภัยพิบัติ

รวมถึงบริษัทรุ่นใหม่อย่าง ispace ที่เป็นเจ้าของภารกิจสำรวจดวงจันทร์เชิงพาณิชย์รายแรกของญี่ปุ่นที่สามารถส่งยาน Hakuto-R เดินทางไปยังดวงจันทร์ได้สำเร็จถึงสองภารกิจ แม้จะยังไม่ประสบความสำเร็จในการลงจอดแต่ก็ถือว่าเป็นหมุดหมายที่สำคัญของเอกชนญี่ปุ่นซึ่งไทยเองก็ให้ความสนใจติดตามความก้าวหน้าอย่างใกล้ชิด

อีกหนึ่งบริษัทที่ได้รับความสนใจคือ Synspective สตาร์ตอัปดาวเทียม Synthetic Apature Radar หรือ SAR ที่ขึ้นชื่อเรื่องการถ่ายภาพแม้ในสภาพอากาศปิด ด้วยเทคโนโลยีการประมวลผลข้อมูลระดับสูง ทำให้ข้อมูลของ Synspective ถูกนำไปใช้ในหลากหลายประเทศเพื่อวางแผนการพัฒนาเมือง การจัดการน้ำท่วม และภัยธรรมชาติ บริษัทญี่ปุ่นอื่น ๆ อย่าง Yuki Precision, Space One, และ DigitalBlast ก็เข้ามาโชว์ศักยภาพด้านการผลิตชิ้นส่วนจรวดและระบบสนับสนุนภารกิจอวกาศ แสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นกำลังสร้าง Ecosystem ของอุตสาหกรรมอวกาศที่ครบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำอย่างแท้จริง

ในส่วนของ Korea Pavilion แม้จะมีขนาดเล็กกว่า แต่สะท้อนภาพของอุตสาหกรรมอวกาศเกาหลีใต้ที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด ภายในบูธมีทั้งบริษัท Leo Space ที่พัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียมวงโคจรต่ำและโครงสร้างจรวดต้นแบบ, SPEX ที่เชี่ยวชาญด้าน Payload ขนาดเล็ก และ SATCHAT บริษัทดาวเทียมที่มุ่งสร้างระบบสื่อสารและสังเกตการณ์สำหรับการบริหารจัดการทรัพยากร เกาหลีใต้ถือเป็นอีกหนึ่งประเทศในเอเชียที่กำลังเร่งสร้างความสามารถในอวกาศของตัวเอง ทั้งในด้านการปล่อยจรวด KSLV-II หรือ Nuri และการผลักดันบริษัทเอกชนให้ขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดโลก ซึ่งการเข้าร่วมในปีนี้แสดงถึงความตั้งใจที่จะเชื่อมโยงกับ Ecosystem อวกาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยตรง

ขยับมาที่ฝั่งไทย Thailand Pavilion ก็มีการจัดแสดงจากหน่วยงานและบริษัทใหญ่ของประเทศที่เริ่มนำเทคโนโลยีอวกาศมาประยุกต์ใช้ในภาคเศรษฐกิจจริง เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย EGAT ที่นำเสนอการใช้ข้อมูลจากดาวเทียมและระบบภูมิสารสนเทศมาช่วยวิเคราะห์และวางแผนการผลิต–กระจายพลังงานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะในพื้นที่พลังงานหมุนเวียนที่ต้องพึ่งพาข้อมูลจากสภาพอากาศและภูมิประเทศแบบเรียลไทม์

ด้าน Thaicom ก็นำเสนอการเปลี่ยนผ่านของบริษัทจากผู้ให้บริการดาวเทียมวงโคจร GEO ไปสู่ยุคของเครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำ LEO Constellation ซึ่งเป็นความท้าทายใหม่ของบริษัท พร้อมอัปเดตความคืบหน้าของโครงการ Thaicom-9 และ Thaicom-10 ซึ่งมีความน่าสนใจเป็นพิเศษเพราะ Thaicom-9 จะใช้ Bus ดาวเทียมขนาดเล็กจากบริษัท Astranis ของสหรัฐฯ ถือเป็นการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของดาวเทียมขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าดาวเทียมดวงใหญ่ในอดีต

และแน่นอนว่าอีกหนึ่งไฮไลต์ที่เรียกเสียงฮือฮาได้เสมอคือบูธของ CP ซึ่งปีนี้นำเสนอผลงานจากโครงการ “Thai Chicken in Space” ที่ส่งผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ไทยขึ้นสู่อวกาศบนยานของ Axiom Mission 4 ถือเป็นการผสานระหว่างเทคโนโลยีอวกาศกับอุตสาหกรรมอาหารอย่างไม่เคยมีมาก่อนในภูมิภาค

โซน Pavilion เหล่านี้ไม่เพียงแค่จัดแสดงเทคโนโลยี แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่าการพัฒนาอวกาศยุคใหม่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายประเทศ หลายภาคส่วน และหลายมิติของอุตสาหกรรม ตั้งแต่การผลิต การสำรวจ การสื่อสาร ไปจนถึงการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน งาน Thailand Space Expo 2025 จึงไม่ใช่เพียงเวทีโชว์นวัตกรรม แต่เป็นเวทีที่สะท้อนให้เห็นว่า “อวกาศ” ได้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของเศรษฐกิจโลกที่ทุกประเทศกำลังเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มตัว
พาชมโซนนิทรรศการอวกาศจากบริษัทอวกาศนานาชาติ
หลังจากเดินชมบูธของเหล่าประเทศพันธมิตรแล้ว ทีมงานขอพาทุกคนเข้าสู่โซนที่เต็มไปด้วยบริษัทอวกาศระดับโลกที่มาร่วมจัดแสดงในงานปีนี้ ซึ่งถือเป็นอีกจุดที่สะท้อนให้เห็นทิศทางของเทคโนโลยีอวกาศโลกและโอกาสของไทยใน Ecosystem ที่ใหญ่ขึ้นอย่างชัดเจน

เริ่มจากบูธของ Airbus Defence and Space บริษัทผู้อยู่เบื้องหลังดาวเทียมสำรวจโลกของไทยอย่าง THEOS-2 ที่เป็นหัวใจสำคัญของระบบภูมิสารสนเทศระดับประเทศ ปีนี้ Airbus นำเทคโนโลยี OneSat ดาวเทียมสื่อสารยุคใหม่ที่สามารถปรับรูปแบบลำสัญญาณและบริการได้แบบเรียลไทม์มาโชว์ให้เห็นจริงในงานซึ่งเป็นนวัตกรรมสำคัญที่ทำให้ดาวเทียมสามารถตอบสนองความต้องการทางธุรกิจได้ยืดหยุ่นกว่ารุ่นเดิมมาก

ถัดมาเป็นบูธของ Synspective สตาร์ตอัปดาวเทียมเรดาร์ SAR จากญี่ปุ่นที่มีบทบาทเด่นมากในปีนี้ เพราะนำเสนอกรณีศึกษาจากประเทศไทยโดยตรง “หลุมยุบสามเสน” เหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายและเป็นข่าวใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ทีม Synspective ใช้ภาพเรดาร์จากดาวเทียมของตนเองวิเคราะห์ย้อนหลังจนพบว่า พื้นที่นั้นมีแนวโน้มการทรุดตัวสะสมมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้ข้อมูลอวกาศเพื่อเข้าใจภัยธรรมชาติและโครงสร้างเมืองในระดับที่ข้อมูลภาคพื้นไม่สามารถทำได้ บูธนี้จึงกลายเป็นหนึ่งในจุดที่คนแวะมาดูและซักถามกันแน่นตลอดวัน

อีกบูธที่สะดุดตาไม่แพ้กันคือ OroraTech บริษัทจากเยอรมนีที่พัฒนาเครือข่ายดาวเทียมขนาดเล็กสำหรับตรวจจับไฟป่าทั่วโลกในเกือบ “เรียลไทม์” โดยอาศัยเซนเซอร์อินฟราเรดและระบบวิเคราะห์ข้อมูลบนวงโคจร ความน่าสนใจคือระบบของ OroraTech สามารถตรวจจับความร้อนที่ผิดปกติได้ก่อนจะเกิดไฟป่าขนาดใหญ่ ทำให้หลายประเทศในยุโรปและเอเชียเริ่มนำไปใช้ในระบบเตือนภัยระดับชาติแล้ว
ส่วนทางฝั่งเอเชียก็มีผู้เล่นหน้าใหม่ที่น่าจับตามอง เช่น Nara Space จากเกาหลีใต้ ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยีดาวเทียมขนาดเล็กแบบ Modular และระบบควบคุมทิศทางความละเอียดสูง สำหรับภารกิจสังเกตการณ์และสื่อสารในวงโคจรต่ำ ขณะที่ OnyX Space เองก็ถือเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นสำคัญในตลาดภาพถ่ายดาวเทียม โดยบริษัทนี้มีพอร์ตดาวเทียมสำรวจโลก Earth Observation ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค ซึ่งแต่ละดวงมีจุดเด่นและความสามารถเฉพาะตัวแตกต่างกันไป ในโลกของภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูงมาก Very High Resolution Imagery

กลุ่มดาวเทียมของ OnyX Space ครอบคลุมความละเอียดของข้อมูลภาพตั้งแต่ 80 เซนติเมตร ไปจนถึงระดับ 30 เซนติเมตร และสูงสุดถึง 15 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าคมชัดในระดับที่สามารถระบุรายละเอียดเชิงโครงสร้างของเมืองได้อย่างแม่นยำ ดาวเทียมรุ่นสำคัญของบริษัท เช่น OnyX-1 และ OnyX-VHR Series ถูกนำมาโชว์ในงานเพื่อให้ผู้เข้าชมได้เห็นศักยภาพของเทคโนโลยีภาพถ่ายจากวงโคจรที่ใช้จริงในภาคธุรกิจและการบริหารจัดการเมือง
อีกหนึ่งบูธที่ผู้เข้าชมหลายคนให้ความสนใจคือ MDA Space บริษัทเก่าแก่จากแคนาดาที่เป็นตำนานในวงการ โดยอยู่เบื้องหลัง “Canadarm” แขนกลหุ่นยนต์บนกระสวยอวกาศและสถานีอวกาศนานาชาติ รวมถึงเป็นผู้พัฒนาระบบสื่อสารดาวเทียมและเรดาร์สำหรับโครงการสำรวจขั้วโลกและอวกาศลึกมานานหลายทศวรรษ การกลับมาร่วมงานครั้งนี้ของ MDA ถือเป็นการสะท้อนถึงบทบาทของบริษัทดั้งเดิมที่ยังคงยืนอยู่ท่ามกลางกระแส New Space ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

และที่ต้องพูดถึงคือฝั่ง จีน ซึ่งปีนี้เรียกได้ว่า “มาแรงที่สุดในงาน” ด้วยการนำทัพบริษัทอวกาศรุ่นใหม่เข้ามาร่วมแสดงเต็มพื้นที่ ทั้ง Galaxy Space ที่กำลังพัฒนาเครือข่ายดาวเทียมสื่อสารวงโคจรต่ำของตนเอง และยังมีความร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ของไทยในการวิจัยและพัฒนาดาวเทียมขนาดเล็กร่วมกัน ถือเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจของการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมอวกาศจีนกับภาคการศึกษาไทยโดยตรง นอกจากนี้ยังมี Beijing JTSPACE Technology บริษัทผู้ผลิตจรวดและโครงสร้างดาวเทียมขนาดเล็กที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดเอเชีย
เทคโนโลยีอวกาศไทยจากทั้งเอกชน หน่วยงานรัฐ และสถาบันการศึกษา
อีกส่วนที่ได้รับความสนใจอย่างมากในงานปีนี้คือโซนเทคโนโลยีอวกาศไทยจากทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า Ecosystem ของอวกาศไทยเริ่มครบวงจรขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการวิจัยเชิงทฤษฎีอีกต่อไป แต่เริ่มมีชิ้นงานจริง เครื่องมือจริง และ Payload ที่มีประสบการณ์บนอวกาศจริงมาจัดแสดงให้เห็นกันในงาน

ฝั่งหน่วยงานรัฐอย่าง สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ NARIT นำโครงการ TSC-1 มาจัดแสดง โดยเป็นดาวเทียมขนาด 80 กิโลกรัมที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมปล่อยสู่วงโคจร และถือเป็นดาวเทียมไทยลำแรกที่ออกแบบและประกอบขึ้นในประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ภายในบูธของ NARIT มีการจัดแสดงข้อมูลของ Payload สำคัญอย่าง POISE หรือ Plasma Observation in the Ionosphere by Satellites และระบบกล้อง Hyperspectral Camera ที่ NARIT พัฒนาขึ้นมาเอง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของไทยในระดับการพัฒนาดาวเทียมที่พร้อมใช้งานจริง

ด้านสถาบันการศึกษาก็ไม่น้อยหน้า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้นำโครงการ Thai Liquid Crystal in Space ที่เพิ่งถูกส่งขึ้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา มาจัดแสดงพร้อม Engineering Model ที่เหมือนกับของจริงทุกประการ แสดงให้เห็นการออกแบบระบบของเหลว ปั๊ม และวาล์วที่ใช้ในสภาวะไร้น้ำหนัก

เช่นเดียวกับ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ที่นำเสนอ Payload สำหรับศึกษาการผลิตอาหารและยาในสภาวะอวกาศ ซึ่งมีกำหนดจะถูกส่งขึ้นไปบนสถานีอวกาศในปีหน้า และได้นำ Engineering Model ของระบบต้นแบบมาโชว์เช่นกัน เรียกได้ว่าทั้งสองโครงการเป็นตัวแทนของ “งานวิจัยไทยที่ไปไกลถึงอวกาศ” อย่างแท้จริง

และที่ขาดไม่ได้คือพลังของคนรุ่นใหม่ เวทีของเยาวชนอย่าง ชมรม CUHAR จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มาจัดแสดงผลงานพัฒนาจรวดที่เพิ่งคว้ารางวัลจากการแข่งขันระดับนานาชาติที่สหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับชมรม Space AC จากโรงเรียนอัสสัมชัน พร้อมแบ่งปันประสบการณ์จริงของการพัฒนาและยิงจรวดจากศูนย์ทดสอบต่างประเทศ ขณะที่ มหาวิทยาลัยมหิดล ก็นำโครงการส่ง ข้าวไทยสู่อวกาศ ที่จะร่วมเดินทางไปกับยาน Shijian ของจีนมาจัดแสดงเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าเยาวชนและนักวิจัยไทยกำลังเริ่มเชื่อมโยงเข้ากับโครงการระดับนานาชาติอย่างเป็นรูปธรรม

ในฝั่งเอกชน บริษัทดาวเทียมไทยอย่าง EOS Orbit และ NB Space ก็เข้ามาร่วมจัดแสดง โดยทั้งสองบริษัทมี “Space Heritage” หรือประสบการณ์จริงในการส่งดาวเทียมของตนขึ้นสู่วงโคจรแล้ว ภายในบูธมีการนำ Engineering Model ของดาวเทียมรุ่นล่าสุดมาจัดแสดง พร้อมเล่าถึงแนวคิดการออกแบบและทดสอบระบบดาวเทียมขนาดเล็กในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการยืนยันว่าอุตสาหกรรมดาวเทียมไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่สามารถสร้าง ผลิต และทดสอบได้ภายในประเทศ

โซนนี้จึงเป็นเหมือน “หัวใจของงาน” ที่สะท้อนพลังของทุกภาคส่วนในประเทศไทย ตั้งแต่นักวิจัย นักศึกษา จนถึงบริษัทเอกชน ที่ต่างมีเป้าหมายร่วมกันคือทำให้งานอวกาศของไทยไม่ใช่แค่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงในวันนี้
บรรยากาศในโซนเทคโนโลยีอวกาศไทยปีนี้อบอุ่นเป็นพิเศษจนสัมผัสได้จริง ๆ เพราะไม่ใช่แค่การโชว์ผลงาน แต่เป็นการได้เห็น “คนทำงานอวกาศของไทย” มายืนคุย แลกเปลี่ยน และแบ่งปันความรู้กันข้ามบูธ เหมือนเป็นการรวมญาติของคนในวงการที่ไม่ได้มีโอกาสเจอกันบ่อยนัก บางคนมาจากฝั่งวิจัย บางคนจากภาคเอกชน หรือแม้แต่เยาวชนที่เพิ่งเริ่มต้นในเส้นทางนี้ แต่ทุกคนต่างพูดภาษาเดียวกันคือภาษาแห่งความหลงใหลในอวกาศ

วงการอวกาศไทยอาจยังไม่ใหญ่ แต่สิ่งที่เห็นชัดในงานนี้คือ “พลังของการช่วยกัน” ตั้งแต่การเดินมาดูงานของกันและกัน แชร์แนวคิดเรื่องระบบทดสอบ Payload ไปจนถึงการแนะนำกันเรื่องการขอทุนหรือโอกาสความร่วมมือกับต่างประเทศ บรรยากาศแบบนี้เองที่ทำให้เห็นว่าความก้าวหน้าของอวกาศไทยไม่ได้มาจากการแข่งขัน แต่เกิดจากการเดินไปด้วยกันของคนตัวเล็ก ๆ หลายคนที่เชื่อว่าประเทศเราก็สามารถสร้างเทคโนโลยีของตัวเองได้จริง
โชว์เทคโนโลยีดาวเทียมสำรวจโลกชุดล่าสุดของไทย
จากนั้นทีมงานเดินต่อมาที่โซนสำคัญของงาน บูธของ GISTDA ซึ่งจัดแสดงเทคโนโลยีดาวเทียมสำรวจโลกชุดล่าสุดของประเทศไทย ภายใต้ชื่อ THEOS Series หรือโครงการดาวเทียมสำรวจโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ ที่เป็นหัวใจสำคัญของระบบภูมิสารสนเทศระดับชาติ
ในบูธมีการเล่าพัฒนาการของโครงการตั้งแต่ THEOS-2 ดาวเทียมหลักที่ปล่อยขึ้นสู่วงโคจรเมื่อปี 2023 และ THEOS-2Aดาวเทียมขนาดเล็กที่ประเทศไทยออกแบบและประกอบเองที่ศูนย์ประกอบและทดสอบดาวเทียมแห่งชาติ AIT Center ของ GISTDA ก่อนจะไปจนถึงการเปิดตัวแนวคิดของดาวเทียมรุ่นต่อไป THEOS-3 ที่เพิ่งผ่านการทบทวนการออกแบบเบื้องต้น หรือ Preliminary Design Review หรือ PDR และกำลังเข้าสู่ขั้นตอนการพัฒนาเต็มรูปแบบ

ที่น่าสนใจคือ GISTDA ประกาศแผนระยะยาวของ THEOS ที่จะขยายต่อเนื่องไปจนถึง THEOS-6 โดยในแต่ละรุ่นจะไม่ใช่แค่ดาวเทียมถ่ายภาพ Multi-Spectral ทั่วไปอีกต่อไป แต่จะพัฒนาให้สามารถสำรวจโลกในช่วงคลื่น Short-Wave Infrared หรือ SWIR และ Mid-Wave Infrared หรือ MWIR ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยมีข้อมูลที่ลึกกว่าเดิมในการศึกษาภูมิประเทศ ป่าไม้ พลังงาน ความชื้น และอุณหภูมิพื้นผิวโลกในระดับเชิงวิทยาศาสตร์

นอกจากนี้ GISTDA ยังเผยแนวคิดสำคัญในการพัฒนา ดาวเทียม Synthetic Aperture Radar ของตนเอง โดยใช้คลื่นเรดาร์สะท้อนจากพื้นผิวโลกเพื่อเก็บข้อมูลที่แม้แต่กล้องถ่ายภาพปกติไม่สามารถทำได้ เช่น การติดตามการทรุดตัวของพื้นดิน การเปลี่ยนแปลงของป่าไม้ หรือการสำรวจพื้นที่ในช่วงที่มีเมฆปกคลุมมาก ซึ่งเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถเทียบเท่าประเทศที่มีเทคโนโลยีดาวเทียมชั้นนำของโลก
โซนนี้จึงไม่ใช่เพียงนิทรรศการแสดงผลสำเร็จในอดีต แต่เป็นการประกาศ “ทิศทางในอนาคต” ของ GISTDA ว่าประเทศไทยกำลังก้าวสู่ยุคที่สร้างดาวเทียมด้วยเทคโนโลยีของตนเอง ตั้งแต่การออกแบบ ทดสอบ ไปจนถึงการใช้งานข้อมูลเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว
เวทีของการพูดคุยแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้กับแรงบันดาลใจ
งาน Thailand Space Expo ยังทำหน้าที่เป็นเวทีของการพูดคุย แลกเปลี่ยน และแบ่งปันความรู้กับแรงบันดาลใจ ที่เต็มไปด้วย Session หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่เวทีเสวนาหลักที่มีผู้บริหารจากองค์กรอวกาศระดับโลกขึ้นพูด ไปจนถึงเวทีขนาดเล็กสำหรับภาคธุรกิจที่เปิดให้ผู้ประกอบการไทยและต่างชาติในสายอวกาศขึ้นมาแนะนำตัวเอง แชร์สิ่งที่กำลังพัฒนา และต่อยอดความร่วมมือผ่านกิจกรรม Business Matching ที่จัดขึ้นภายในงาน ทำให้พื้นที่นี้ไม่ใช่แค่เวทีแลกเปลี่ยนข้อมูล แต่เป็นจุดเริ่มต้นของเครือข่ายธุรกิจอวกาศใหม่ ๆ ที่อาจกลายเป็นโครงการจริงในอนาคต

ในขณะเดียวกัน ก็มี Technical Workshop ที่จัดขึ้นควบคู่กันไปตลอดทั้งวัน โดยแต่ละห้องจะเน้นลงลึกในสาขาเฉพาะทาง ตั้งแต่การใช้ประโยชน์จากข้อมูลดาวเทียม Satellite Data Utilization ไปจนถึงหัวข้อเชิงเทคนิคอย่าง GNSS, Space Weather และเทคโนโลยี Synthetic Aperture Radar SAR ซึ่งผู้เข้าร่วมสามารถพูดคุย ถามคำถาม และแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญได้แบบใกล้ชิดมากกว่าการฟังบรรยายทั่วไป
ที่พิเศษคือเวทีของเยาวชนอย่าง UNISEC Thailand First Meeting ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ชมรมและกลุ่มนักศึกษาด้านอวกาศจากทั่วประเทศได้มาพบกันอย่างเป็นทางการ ทั้ง CUHAR, ARC, INSTED และ STA รวมถึงอาจารย์ที่ปรึกษาและผู้ใหญ่จากองค์กรอวกาศระดับประเทศ บรรยากาศเป็นกันเองแต่เปี่ยมไปด้วยพลังของคนรุ่นใหม่ที่อยากสร้างสิ่งใหม่ในวงการอวกาศไทย และการได้ Connect กับคนในระดับองค์กรก็ช่วยเปิดโอกาสให้พวกเขาเห็นเส้นทางการทำงานจริงในสายนี้

ในอีกหลายเวทีของงาน ยังมีการ แชร์ประสบการณ์จากคนที่ทำงานจริงในวงการอวกาศ ตั้งแต่นักวิจัย วิศวกร ไปจนถึงผู้ประกอบการ ที่มาเล่าเส้นทางการทำงาน ความท้าทาย และโอกาสที่พบเจอในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้คนฟังเข้าใจว่า “งานอวกาศ” มีหลากหลายมากกว่าที่คิด แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนที่อยากเริ่มต้นในสายนี้ได้เห็นภาพชัดว่าประตูสู่วงการอวกาศไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมต่อยอดที่สืบเนื่องมาจากโครงการและการแข่งขันด้านอวกาศตลอดทั้งปี หนึ่งในนั้นคือ รอบชิงชนะเลิศของการแข่งขัน GeoHackathon 2025 THEOS-2 Challenge – “Visions from the Sky: From Ideas to Impact” ซึ่งเปิดโอกาสให้นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไปได้พัฒนาแนวคิดการใช้ข้อมูลดาวเทียม THEOS-2 เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ไม่ว่าจะเป็นด้านสิ่งแวดล้อม การเกษตร เมืองอัจฉริยะ หรือการบริหารจัดการทรัพยากร กิจกรรมนี้ไม่เพียงเป็นเวทีให้เยาวชนไทยได้แสดงศักยภาพด้านการวิเคราะห์ข้อมูลอวกาศเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเชื่อมระหว่างความคิดสร้างสรรค์กับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีจริง ที่ช่วยสะท้อนภาพว่าความรู้จากวงโคจรสามารถกลับมาสร้างคุณค่าให้กับโลกได้อย่างเป็นรูปธรรม
สรุปบรรยากาศของงาน Thailand Space Expo 2025
ภาพรวมของงานปีนี้ต้องเรียกว่า “เข้มข้นและครบทุกมิติ” ทั้งในแง่ของเนื้อหา เทคโนโลยี และผู้เข้าร่วมที่หลากหลาย ตั้งแต่หน่วยงานระดับโลก ไปจนถึงบริษัทอวกาศไทยรุ่นใหม่และสถาบันการศึกษาที่เริ่มสร้างชิ้นงานขึ้นสู่วงโคจรจริงได้แล้ว ถือเป็นการยืนยันว่า GISTDA มาถูกทางกับแนวคิด “United Space” ที่เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนใน Ecosystem ได้มาพบกัน และสร้างการเชื่อมโยงระหว่างรัฐ เอกชน และเยาวชนในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ในเชิงคุณภาพของเนื้อหา ปีนี้ถือว่า GISTDA ทำได้ดีมาก ทั้งในส่วนของนิทรรศการที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างดาวเทียม THEOS-3 และโครงการสำรวจโลกของไทย ไปจนถึงเวทีเสวนาที่รวมผู้นำอุตสาหกรรมอวกาศจากทั่วโลกไว้แน่นขนัด ตั้งแต่การพูดคุยระดับนโยบาย ไปจนถึงการแลกเปลี่ยนแนวคิดเชิงเทคนิคอย่าง Workshop และ Business Matching ที่ช่วยให้คนในวงการได้เจอกันจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม หากจะมองอย่างตรงไปตรงมา ปีนี้ยังมีบางจุดที่อาจต้องปรับปรุง เช่น การจัดตาราง Agenda ที่ค่อนข้างซับซ้อนและหาข้อมูลได้ยาก บาง Session น่าสนใจแต่ซ้อนเวลากัน หรือไม่มีป้ายบอกชัดเจนว่าห้องไหนจัดกิจกรรมอะไร เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของงานที่มีหลายเวทีและกิจกรรมขนานกัน การจัดระบบข้อมูลและการนำทางในพื้นที่ให้ดีกว่านี้จะช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้เข้าชมได้มาก
แต่โดยรวมแล้ว Thailand Space Expo 2025 คืออีกก้าวสำคัญของวงการอวกาศไทย ที่ไม่ได้เป็นเพียงงานนิทรรศการโชว์เทคโนโลยี แต่เป็น “สัญญาณแห่งการรวมตัว” ของผู้คนที่กำลังขับเคลื่อนอนาคตของอวกาศไทยอย่างจริงจัง ถ้า GISTDA เดินต่อด้วยแนวทางนี้ และเสริมประสบการณ์ผู้เข้าร่วมให้ราบรื่นขึ้นอีกนิด งานนี้มีศักยภาพมากพอที่จะก้าวขึ้นไปสู่ระดับเดียวกับงานระดับโลกอย่าง International Astronautical Congress ได้ในอนาคตอันใกล้
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co