NASA และ Lockheed Martin ทดสอบ X-59 เที่ยวบินแรก กับอนาคตของการบินเร็วเหนือเสียงที่่เงียบ

เช้าวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา เครื่องบินทดลอง X-59 ของ NASA ได้ขึ้นบินสำเร็จเป็นครั้งแรกจากฐานทัพ Palmdale Plant 42 ในรัฐแคลิฟอร์เนีย บินข้ามทะเลทราย Mojave ก่อนลงจอดอย่างราบรื่นที่ฐานทัพอากาศ Edwards ใกล้ศูนย์วิจัย Armstrong ของ NASA ถือเป็นเที่ยวบินที่ถูกจับตามองจากทั่วโลก เพราะนี่ไม่ใช่แค่การบินทดสอบธรรมดา แต่มันคือ “จุดเริ่มต้นของการทวงคืนท้องฟ้า” ให้กับเครื่องบินความเร็วเหนือเสียง

สิ่งนี้ถือว่าคืบหน้าอย่างมากหลังจากที่ก่อนหน้านี้ NASA กำลังพัฒนาเครื่องบินความเร็วเหนือเสียงที่ “เงียบ” ก่อนจะประกาศโครงการพัฒนา X-59 ขึ้นในช่วงปี 2023 และเริ่มทดสอบภาคพื้นดินมาเรื่อย ๆ จนในที่สุดเที่ยวบินแรกก็เกิดขึ้นได้จริงในปี 2025 นี่จะนำไปสู่การเก็บข้อมูลที่สำคัญที่จะพัฒนาวงการการบินไปตลอดกาล

ในอดีต เสียง Sonic Boom คือสัญลักษณ์ของการที่เครื่องบินความเร็วที่ทะลุขีดจำกัดของเสียง แต่ในโลกแห่งความจริง มันคือเสียงรบกวนที่ทำให้บ้านสั่น สัตว์เลี้ยงตกใจ และคนบนพื้นดินเกือบทั้งประเทศร้องเรียน จน Federal Aviation Administration หรือ FAA ต้องออกกฎห้ามเครื่องบินพลเรือนบินเร็วกว่า Mach 1 เหนือผืนดินตั้งแต่ปี 1973 Concorde จึงถูกจำกัดให้บินเฉพาะเส้นทางเหนือมหาสมุทร แม้จะเป็นผลงานทางวิศวกรรมที่งดงาม แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานในเชิงพาณิชย์

เครื่อง X-59 บินขึ้นจากฐานใน Palmdale Plant 42 ในเที่ยวบินทดสอบแรก ที่มา – NASA

การกลับมาของ X-59 จึงไม่ใช่เพียงการทดลองเครื่องบินใหม่ แต่คือการท้าทายข้อจำกัดทางนโยบายที่มีมาครึ่งศตวรรษ NASA เรียกภารกิจนี้ว่า Quesst Mission หรือ Quiet SuperSonic Technology เพื่อพิสูจน์ว่าเสียงบูมสามารถถูก “ออกแบบใหม่” ให้กลายเป็นเพียงเสียง Thump เบา ๆ ระดับไม่เกิน 75 EPNdB หรือเทียบเท่ากับเสียงปิดประตูรถ

ผู้อยู่เบื้องหลังคือ Lockheed Martin Skunk Works ทีมวิศวกรในตำนานที่สร้าง SR-71 Blackbird และ F-117 Nighthawk เครื่องบินที่เปลี่ยนโฉมสงครามเย็นด้วยความเร็วและความลับ แต่คราวนี้พวกเขาไม่ได้สร้างเครื่องบินเพื่อหลบเรดาร์ แต่เพื่อ “หลบเสียง” X-59 มีรูปร่างที่แปลกตา ลำตัวยาว 38 เมตร จมูกเรียวยาวเกือบ 12 เมตร หรือราว เท่ารถบัส 1 คัน โครงสร้างที่เหมือน “เข็มยาวแทงอากาศ” นี้ออกแบบมาเพื่อควบคุมคลื่นกระแทกหรือ Shock Waves ที่เกิดขึ้นจากส่วนต่าง ๆ ของลำตัว ให้กระจายออก แทนที่จะมารวมกันจนเกิดเสียง BOOM ขนาดใหญ่เหมือนเครื่องบินทั่วไป

ด้วยจมูกที่ยาวขนาดนั้น นักบินใน X-59 ไม่มีหน้าต่างมองออกด้านหน้าเลย แทนที่ด้วยระบบ External Vision System หรือ XVS ที่ใช้กล้อง 4K ความละเอียดสูง ถ่ายทอดภาพจากส่วนหัวเครื่องไปยังจอมอนิเตอร์ภายในห้องนักบินเทคโนโลยีนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อความล้ำ แต่เป็นการแก้โจทย์จริง เพราะจมูกยาวขนาดนั้นจะบดบังทัศนวิสัยทั้งหมดของนักบิน สิ่งที่ NASA กำลังทดสอบจึงไม่ใช่แค่ “ความเร็ว” แต่รวมถึง “วิธีที่นักบินรับรู้โลก” ด้วย มันคือการเปลี่ยนมุมมองจากสายตาแบบมนุษย์ ไปสู่สายตาผ่านกล้อง ที่อาศัยซอฟต์แวร์ช่วยวิเคราะห์ภาพ เพื่อความแม่นยำและความปลอดภัยในระดับที่มนุษย์คนเดียวอาจทำไม่ได้ด้วยซ้ำ

เครื่อง X-59 เอกลักษณ์ที่สำคัญคือจมูกที่ยาวของมัน ซึ่งแน่นอนว่าบดบังทัศนวิศัยของการบิน ที่มา – NASA

X-59 ติดตั้งเครื่องยนต์ GE F414-GE-100 รุ่นเดียวกับที่ใช้ใน F/A-18 Super Hornet ซึ่งให้แรงขับเพียงพอสำหรับความเร็ว Mach 1.4 หรือประมาณ 1,490 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ความสูงกว่า 16 กิโลเมตร ตัวเครื่องถูกออกแบบให้เบา เน้นสมดุลทางอากาศพลศาสตร์มากกว่าความแข็งแรงของโครงสร้างรบ เพราะจุดประสงค์คือการเข้าใจ “เสียงและอากาศ” รอบตัวเครื่องขณะที่มันทำการบิน

การบินครั้งแรกกินเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง โดยมีเครื่องบินไล่ติดตามของ NASA บินประกบเพื่อเก็บข้อมูลทุกมิติ ทั้งการสั่นสะเทือน แรงดัน และรูปแบบคลื่นเสียงที่เกิดขึ้น ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้สร้างแบบจำลอง Acoustic Signature เพื่อเปรียบเทียบกับการคำนวณจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์ หากผลออกมาตรงกัน จะถือว่า X-59 ยืนยันแนวคิด “Low-Boom Design” ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ นี่คือก้าวสำคัญของศาสตร์ที่เรียกว่า Aeroacoustics ฟิสิกส์ของเสียงที่เกิดจากการไหลของอากาศ หรือพูดให้เข้าใจง่ายกว่านั้น คือการออกแบบให้ “อากาศเงียบ” ซึ่งเป็นโจทย์ที่ไม่เคยง่ายเลยสำหรับสิ่งที่ต้องวิ่งเร็วกว่าเสียง

การทดสอบจุดเครื่องยนต์ GE F414-GE-100  ในช่วงต้นปี 2025 ก่อนการทดสอบบินจริง ที่มา – NASA

หลังจากช่วงทดสอบเบื้องต้น NASA จะส่ง X-59 เข้าสู่ระยะ Community Test Phase ภายใน ปี 2026 เครื่องบินจะบินผ่านเมืองต่าง ๆ ในสหรัฐฯ โดยมีการวัดระดับเสียงจากชุมชนและให้ประชาชนรายงานว่ารู้สึกได้ถึงเสียงแค่ไหน ข้อมูลเหล่านี้จะถูกใช้เป็นหลักฐานทางสังคม เพื่อให้ FAA และ ICAO พิจารณาปรับกฎห้ามบินเหนือเสียงเหนือผืนดิน มันเป็นการทดลองที่ไม่ใช่แค่ทางวิศวกรรม แต่เป็นการทดสอบ “ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับสังคม” อย่างแท้จริง เสียงที่เบาเพียง 75 EPNdB ในห้องแล็บอาจยังดังเกินไปในย่านชุมชน และ NASA ก็รู้ดีว่าการได้กลับมาบินเหนือเสียงนั้น ต้องชนะใจคนบนพื้นดินให้ได้ก่อน

หากการทดลองนี้สำเร็จ ผลกระทบจะไม่ได้จบแค่ในห้องวิจัย เพราะมันอาจปลดล็อกอุตสาหกรรมการบินพาณิชย์มูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ บริษัทเอกชนอย่าง Boom Supersonic หรือ Hermeus ต่างจับตา X-59 อย่างใกล้ชิด เพราะมันจะเป็นตัวตัดสินว่าโลกพร้อมหรือยังสำหรับเครื่องบินโดยสาร Mach 1 ยุคใหม่ ที่บินได้ทั้งเหนือทะเลและเหนือเมือง แต่ในอีกมุมหนึ่ง คำถามคือ “ใครจะได้ประโยชน์” จากการเดินทางที่เร็วขึ้น เพราะการบินเหนือเสียงไม่เคยราคาถูก ค่าใช้จ่ายต่อผู้โดยสารยังคงสูง และอาจกลายเป็นเทคโนโลยีที่รับใช้คนเพียงไม่กี่กลุ่ม เว้นแต่วิศวกรรม และนโยบาย จะเดินคู่กันได้อย่างชาญฉลาด

หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน X-59 จะกลายเป็นต้นแบบของเครื่องบินโดยสารเหนือเสียงยุคใหม่ ที่สามารถบินจากนิวยอร์กถึงลอสแอนเจลิสในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง โดยไม่ต้องออกทะเลเหมือน Concorde ในอดีต และจะเป็นการคืนชีพของยุคแห่ง “การเดินทางที่เร็วกว่าความเร็วของเสียง” ในรูปแบบที่เข้ากับโลกสมัยใหม่มากกว่าเดิม กว่า 50 ปีหลังจาก Concorde ยุติบทบาท เสียง Boom ที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความทะเยอทะยานแห่งศตวรรษที่ 20 อาจกลับมาดังอีกครั้ง แต่คราวนี้ มันจะไม่ใช่เสียงที่รบกวน แต่เป็นเสียงของอนาคตที่เงียบและชาญฉลาดกว่าเดิม เสียงที่บอกว่ามนุษย์กำลังเรียนรู้จะอยู่ร่วมกับความเร็วอย่างเข้าใจมากขึ้น

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.