อัพเดทล่าสุดวันที่ 2 มีนาคม 2025 ยาน Blue Ghost ประสบความสำเร็จในการลงจอดบนดวงจันทร์เวลา 15:35 ตามเวลาประเทศไทย ทำให้ Firefly Aerospace กลายเป็นบริษัทเอกชนรายแรกที่ประสบความสำเร็จในการลงจอดอย่างเต็มรูปแบบ ภารกิจนี้เป็นการเปิดฉากโครงการ CLPS อย่างสมบูรณ์
ยาน Blue Ghost ลงจอดบนดวงจันทร์แล้ว กลายเป็นเอกชนรายแรกที่ประสบความสำเร็จ
15 มกราคม 2025 บริษัท SpaceX ส่งยานอวกาศ Blue Ghost ของบริษัท Firefly Aerospace เดินทางสู่ดวงจันทร์ นับเป็นภารกิจลงจอดบนดวงจันทร์ภารกิจแรกของสหรัฐฯ ในปี 2025 หลังจากที่ในปี 2024 ยานอวกาศ Perigrine นั้น ล้มเหลวในการเดินทางสู่ดวงจันทร์ และตกกลับสู่โลก ส่วน ยาน NOVA-C ก็ได้เดินทางไปลงจอดสำเร็จ แต่ดันล้มบนผิวดวงจันทร์จนนับว่าเป็นความสำเร็จแค่บางส่วน (Partial Success) หากการลงจอดของ Blue Ghost สำเร็จจะนับว่าเป็นเอกชนรายแรกที่ประสบความสำเร็จในการทำภารกิจสำรวจดวงจันทร์
ภารกิจการเดินทางสู่ดวงจันทร์ครั้งแรกของ Blue Ghost นั้นได้รับการตั้งชื่อเท่ ๆ ว่า Ghost Riders in the Sky ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นตราสัญลักษณ์ของภารกิจด้วยเช่นกัน

ยานอวกาศ Blue Ghost ของ Firefly นั้นนับเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Commercial Lunar Payload Services หรือ CLPS ที่ NASA ให้ทุนเอกชนในการพัฒนายานอวกาศและว่าจ้างให้นำเอา Payload การทดลองต่าง ๆ ลงสู่ผิวดวงจันทร์ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของบริษัทอวกาศเอกชน กระตุ้นเศรษฐกิจภาคอวกาศ และเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญให้กับโครงการ Artemis ที่มุ่งเป้าไปที่การสำรวจดวงจันทร์ ภารกิจ Blue Ghost Mission 1 นับว่าเป็น การเดินทางภายใต้สัญญา CLPS ลำดับที่ 3 และเป็นภารกิจแรกของปีนี้

บริษัท Firefly ได้รับสัญญาพัฒนาตัวยานและนำส่ง Payload ลงบนดวงจันทร์ตั้งแต่ปี 2021 ภายใต้งบประมาณ 93 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดย Payload การทดลองที่ NASA ฝากไปกับภารกิจ Blue Ghost นั้นก็เป็นชุดการทดลองทั้งสิ้น 10 ชุด มีเป้าหมายในการไปลงจอดในบริเวณที่ชื่อ Mare Crisium ซึ่งเป็นแอ่งลาวาโบราณ ที่เกิดจากการพุ่งชนของอุกกาบาตในอดีต
บริษัท Firefly Aerospace นั้นนอกจากการทำยานอวกาศแล้ว ยังอยู่ในตลาดการส่งจรวดขนาดเล็กและขนาดกลาง โดยมีจรวด Firefly Alpha เป็นจรวดหลัก ซึ่งอยู่ระหว่างการทดสอบ และ Firefly Beta เป็นจรวดขนาดกลาง (Medium-Lift Launch Vehicle) ที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา ที่สำคัญยังได้รับการว่าจ้างจากบริษัท Northrop Grumman ให้ผลิตจรวด Antares ในรุ่น 300 ที่ใช้ในการส่งยานอวกาศ Cygnus เดินทางเติมเสบียงให้กับสถานีอวกาศนานาชาติ
หลังจากภารกิจ Blue Ghost Mission 1 แล้ว Firefly Aerospace ยังมีแผนส่งภารกิจที่ 2 ในปี 2026 และ 3 ในปี 2028 ตามลำดับด้วยเช่นกัน

Blue Ghost เป็นยานอวกาศแบบลงจอด ขนาดสูง 2 เมตร กว้าง 3 เมตร รองรับการนำ Payload หนัก 150 กิโลกรัม ลงสู่พื้นผิวดวงจันทร์ ถือว่าเป็นยานลงจอดขนาดกลาง ๆ ได้รับการออกแบบให้สามารถทำงานบนผิวดวงจันทร์ได้ 60 วัน
มีเครื่องยนต์ทั้งหมด 9 ตัว ใช้เชื้อเพลิงแบบ Monomethylhydrazine (MMH) เป็นเชื้อเพลิงและ Mixed Oxides of Nitrogen (MON-3) เป็นออกซิไดเซอร์ ได้แก่ เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ตรงกลาง (Main Engine) มีกำลังขับอยู่ที่ 1,000 นิวตัน จะใช้สำหรับการปรับทิศทางการโคจรในอวกาศ รวมถึงการชะลอความเร็วเพื่อเข้าสู่วงโคจรของดวงจันทร์
ในขณะที่เครื่องยนต์ขนาดเล็ก 8 ตัวที่ชื่อว่า Spectre จะใช้ในการพยุงตัวยานเพื่อลงจอดบนผิวของดวงจันทร์ และใช้เป็นระบบ Reaction Control System หรือ RCS เพื่อปรับทิศทางการหมุนของตัวยาน เมื่อใช้งานพร้อมกันจะมีแรงขับ 1,600 นิวตัน

นอกจากเครื่องยนต์หลัก 9 ตัวแล้ว Blue Ghost ยังมี Attitude Control System หรือ ACS เป็น Cold Gas Thruster อีกจำนวน 12 ตัว (ฝั่งละ 3 ตัว อยู่ข้าง ๆ RCS) เป็นเครื่องยนต์ขนาดเล็กช่วยในการรักษาทิศทางในขณะที่เครื่องยนต์หลักกำลังทำงานด้วย ระบบเครื่องยนต์ของ Blue Ghost นั้นถือว่าเป็นมรดกทางวิศวกรรม (Enginnering Heritage) ที่ได้จากการพัฒนาจรวดของตัวเอง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบของบริษัท Firefly Aerospace
ในขณะที่ชิ้นส่วนอื่น ๆ รวมถึงระบบซอฟแวร์ของยานนั้นได้รับการแชร์เทคโนโลยีมาจากบริษัทอวกาศอีกแห่งอย่าง Rocket Lab เช่นตัวแผง Solar Arrays ที่สามารถสร้างกำลังไฟได้ 400-650 วัตต์ หรือระบบการลงจอด, อัลกอริทึม, และระบบ GNC หรือ Guidence Navigation and Control ของตัวยาน
รวมการทดลองที่เดินทางไปกับภารกิจ
ชุดการทดลองจาก NASA ทั้งหมด 10 ชุดที่เดินทางไปกับภารกิจ Blue Ghost Mission 1 นั้นก็ได้แก่
Lunar Instrumentation for Subsurface Thermal Exploration with Rapidity หรือ LISTER พัฒนาโดย Honeybee Robotics ซึ่งเป็นบริษัทลูกภายใต้ Blue Origin อุปกรณ์ LISTER มีหน้าที่วัดการไหลของความร้อนจากภายในดวงจันทร์ โดยจะวัดอุณหภูมิและการนำความร้อนใต้พื้นผิวดวงจันทร์ อุปกรณ์นี้จะเจาะลึกลงไปประมาณ 2-3 เมตร พร้อมเครื่องมือวัดความร้อนที่ปลายอุปกรณ์ เพื่อช่วยนักวิทยาศาสตร์เข้าใจเกี่ยวกับการไหลของพลังงานจากแกนกลางของดวงจันทร์

Lunar PlanetVac หรือ LPV พัฒนาโดย Honeybee Robotics ถูกออกแบบมาเพื่อทดสอบการเก็บตัวอย่างดินบนดวงจันทร์ด้วยการใช้แรงดันลม เมื่อถูกปล่อยลงพื้นผิว อุปกรณ์จะยิงแก๊สลงไปเพื่อยกดินขึ้นสู่ส่วนเก็บตัวอย่าง โดยจะใช้กล้องตรวจสอบตัวอย่างที่เก็บได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นจะใช้ลมเพิ่มเติมเพื่อร่อนและจัดเรียงตัวอย่าง พร้อมทั้งทดสอบการเกาะติดของฝุ่นและประสิทธิภาพของลมในการทำความสะอาด อ่าน NASA Lander to Test Vacuum Cleaner on Moon for Sample Collection
Next Generation Lunar Retroreflector หรือ NGLR พัฒนาโดย University of Maryland ช่วยในการวัดระยะห่างระหว่างโลกและดวงจันทร์ โดยการสะท้อนแสงเลเซอร์ที่ยิงจากสถานีตรวจจับแสงเลเซอร์บนโลก Lunar Laser Ranging Observatories หรือ LLRO และวัดเวลาที่แสงเลเซอร์ใช้เดินทางไปกลับจากดวงจันทร์ อุปกรณ์นี้ดีกว่า Retroreflector ที่ใช้ในยุค Apollo และสามารถวัดระยะได้อย่างแม่นยำในระดับมิลลิเมตร

Regolith Adherence Characterization หรือ RAC พัฒนาโดยบริษัท Aegis Aerospace จะศึกษาว่าฝุ่นดินบนดวงจันทร์เกาะติดกับวัสดุต่างๆ ที่สัมผัสกับสภาพแวดล้อมของดวงจันทร์อย่างไรตลอดทั้งวันบนดวงจันทร์ โดยจะวัดอัตราการสะสมของฝุ่นดินบนพื้นผิวของวัสดุหลายชนิด เช่น แผง Solar Arrays, ระบบ Optics และเซนเซอร์ต่าง ๆ ผ่านการถ่ายภาพเพื่อหาความสามารถในการป้องกันหรือขจัดฝุ่นดวงจันทร์ ข้อมูลที่ได้จะช่วยให้อุตสาหกรรมสามารถทดสอบ ปรับปรุง และปกป้องยานอวกาศ ชุดอวกาศ และที่อยู่อาศัยจากการเสียดสีของฝุ่นดินบนดวงจันทร์
Radiation Tolerant Computer หรือ RadPC พัฒนาโดย Montana State University จะทดสอบคอมพิวเตอร์ที่สามารถแก้ไขการทำงานของตัวเองหากโดนชนโดยรังสีจากอวกาศจนเกิดสิ่งที่เรียกว่า Bit-Flip ที่ทำให้ข้อมูลเสียหาย อุปกรณ์ต้นแบบของ RadPC นี้เคยถูกทดสอบบนสถานีอวกาศนานาชาติมาแล้ว แต่การทดสอบในครั้งนี้จะเป็นการทดสอบรังสีที่รุนแรงที่สุด ก็คือตัว RadPC จะต้องเดินทางผ่านแถบ Van Allen Belt ซึ่งเป็นแถบรังสีอันตราย และทดสอบการเจอกับปริมาณรังสีบนดวงจันทร์
Electrodynamic Dust Shield หรือ EDS พัฒนาโดย NASA Kennedy Space Center เป็นเทคโนโลยีลดฝุ่นบนยานโดยใช้สนามไฟฟ้าในการขจัดฝุ่นจากพื้นผิวและป้องกันไม่ให้ฝุ่นสะสมบนพื้นผิวโดยไม่ต้องมีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว ซึ่งจะถูกทดสอบเป็นครั้งแรกบนพื้นผิวดวงจันทร์ อุปกรณ์นี้จะถูกปล่อยออกจากขาอีกข้างของยานลงบนพื้นผิวดวงจันทร์เพื่อให้ฝุ่นสัมผัสกับอุปกรณ์มากที่สุดและทดลองประสิทธิภาพของมัน
อ่าน – NASA Technology Helps Guard Against Lunar Dust

Lunar Environment heliospheric X-ray Imager หรือ LEXI พัฒนาร่วมกันโดย Boston University, NASA Goddard Space Flight Center และ Johns Hopkins University จะถ่ายภาพในย่าน X-Ray โดยหันทิศทางการถ่ายมายังโลกเพื่อศึกษาพฤติกรรมของลมสุริยะบนสนามแม่เหล็กของโลกความพิเศษก็คือ LEXI จะถ่ายภาพออกมาได้เห็นโลกทั้งใบ ทำให้เราเห็นพายุสุริยะที่พัดเข้าหาโลกจากมุมของดวงจันทร์
Lunar Magnetotelluric Sounder หรือ LMS พัฒนาโดย Southwest Research Institute จะทำการศึกษารูปแบบและองค์ประกอบของแมนเทิล (ชั้นเนื้อใน) ของดวงจันทร์ โดยการวัดสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก การศึกษานี้จะช่วยให้เข้าใจโครงสร้างอุณหภูมิและการพัฒนาความร้อนของดวงจันทร์ เพื่อให้เข้าใจถึงวิธีที่ดวงจันทร์ได้เย็นตัวลงและแยกตัวทางเคมีตั้งแต่เริ่มก่อตัว
Lunar GNSS Receiver Experiment หรือ LuGRE พัฒนาร่วมกันระหว่าง Italian Space Agency (ASI) และ NASA Goddard Space Flight Center จะพยายามจับสัญญาณจากกลุ่มดาวเทียมนำทางได้แก่ GPS และ Galileo ขณะเดินทางจากโลกไปยังดวงจันทร์ รวมถึงขณะลงจอดบนพื้นผิวดวงจันทร์ เพื่อดูว่าจะเป็นอย่างไรหากเราพยายามใช้ระบบ GNSS เลยจากวงโคจรของดาวเทียมกลุ่มนี้ออกไป และข้อมูลที่ได้ออกมาจะบอกอะไรเราได้บ้าง

Stereo CAmera for Lunar Plume-Surface Studies หรือ SCALPSS พัฒนาโดย NASA Langley Research Center จะใช้เทคนิคการถ่ายภาพ Stereo เพื่อจับภาพผลกระทบของเครื่องยนต์ลงจอด ที่มีต่อฝุ่นดินบนดวงจันทร์ขณะยานลงจอดบนพื้นผิวของดวงจันทร์ เพื่อศึกษาว่าฝุ่นที่ฟุ้งจากการลงจอดบนดวงจันทร์จะส่งผลต่อตัวยานอวกาศ หรือสภาพในบริเวณนั้นอย่างไรได้บ้าง
อ่าน – Tiny NASA Cameras to Picture Interaction Between Lander, Moon’s Surface
Payload ทั้ง 10 การทดลองนี้ถือว่าเจ๋งและน่าสนใจมาก ๆ โดยเฉพาะเมื่อเราพยายามโฟกัสกับเรื่องพฤติกรรมของฝุ่นหรือดินบนดวงจันทร์ ที่อาจทำอันตรายหรือเป็นภัยต่อยานอวกาศรวมถึงการลงจอดของมนุษย์ในภารกิจ Artemis ต่าง ๆ เป็นโจทย์วิจัยที่จำเป็นต้องอาศัยการลงจอดบนดวงจันทร์เท่านั้นถึงสามารถทำได้
โปรไฟล์การเดินทางของภารกิจ
หลังจากการปล่อยในวันที่ 15 มกราคม 2025 ด้วยจรวด Falcon 9 ซึ่งในภารกิจดังกล่าวนี้ก็ยังมีเพื่อนร่วมโดยสารไปด้วย นั่นก็คือยาน Hakuto-R ในภารกิจที่สอง ของบริษัท ispace ประเทศญี่ปุ่น
Falcon 9 จะพายาน Blue Ghost ขึ้นไปอยู่ในวงโคจรแบบ High-Eliptical Orbit รอบโลกก่อน และตัวยานจะอยู่ในวงโคจรรอบโลกประมาณ 25 วันเพื่อทดสอบอุปกรณ์ และทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์บางชิ้นที่ออกแบบมาให้ทำในวงโคจรโลก

จากนั้นตัวยานจะเริ่มต้นจุดเครื่องยนต์เดินทางไปยังดวงจันทร์ การลงจอดบนดวงจันทร์จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม 2025 โดย Blue Ghost จะใช้เวลาเดินทาง 4 วันด้วยกัน และเข้าสู่วงโคจรของดวงจันทร์เพื่อทำงานวิทยาศาสตร์บนวงโคจรของดวงจันทร์เป็นเวลาอีก 16 วัน ก่อนที่จะเตรียมลงจอดบนผิวดวงจันทร์ โดยกระบวนการลงจอดนั้นจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
การลงจอดบนดวงจันทร์นั้นจะแสกนหาจุดที่เหมาะสมกับการลงจอดอัตโนมัติในขณะที่มันอยู่เหนือผิวดวงจันทร์ประมาณ 500 เมตร โดยอาศัยกล้อง Navigation Camera ก่อนที่จะค่อย ๆ ประคองให้ลงสู่พื้นผิวที่ความเร็วคงที่โดยประมาณ 1 เมตรต่อวินาที ก่อนที่จะสัมผัสกับพื้นผิว โดยในขณะทีสัมผัสนั้นตัวขาตั้งที่มีตัวโช๊คจะทำหน้าที่ช่วยรับแรงและตัว Contact Sensor จะสั่งตัดการทำงานของเครื่องยนต์

หากดูจากรูปร่างของตัวยาน Blue Ghost ที่มีความแบนออกและมีขาตั้งที่กว้างแบบนี้นั้น เดาได้ว่าตัวยานคงไม่ประสบปัญหาล้มหน้าทิ่มแบบยาน Nova-C ที่เดินทางไปลงจอดก่อนหน้านี้ และเราก็หวังว่าจะให้เป็นแบบนั้น
หลังจากการลงจอด Blue Ghost จะทำงานเป็นเวลา 14 วัน ซึ่งช่วงเวลานี้จะรวมถึงช่วงที่ดวงจันทร์เป็นกลางคืนด้วย แปลว่าตัวยานจะเจอกับสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย อุณหภูมิที่ต่ำและไม่เจอกับแสงอาทิตย์ ซึ่งนี่ก็จะเป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งของยานอวกาศบนดวงจันทร์ว่าจะรอดจากช่วงกลางคืนบนดวงจันทร์ไปได้หรือไม่
Blue Ghost Mission 1 เป็นเพียงภารกิจแรกสู่การเดินทางไปยังดวงจันทร์ในปีนี้ ตลอดปี 2025 นี้ ภารกิจตระกูล CLPS จะยังดำเนินต่อไป โดยเฉพาะเมื่อ Intuitive Machines เตรียมแก้มือด้วยภารกิจ Nova-C ที่สอง และในช่วงท้ายปีบริษัท Astrobotic ก็เตรียมส่งยาน Griffin ยานลงจอดรุ่นใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม เดินทางสู่ดวงจันทร์ด้วยจรวด Falcon Heavy
ในขณะที่ทั้ง 10 การทดลองที่เดินทางไปกับ Blue Ghost นั้น มีบทบาทสำคัญในการขยายขอบเขตความรู้และความสามารถของมนุษยชาติในการสำรวจดวงจันทร์ แต่ละการทดลองมุ่งเป้าศึกษาประเด็นเฉพาะ ตั้งแต่โครงสร้างและองค์ประกอบของดวงจันทร์, การปกป้องเทคโนโลยีจากสภาพแวดล้อมที่รุนแรง, ไปจนถึงการพัฒนาวิธีนำทางและลดผลกระทบจากฝุ่นดวงจันทร์ ข้อมูลที่ได้จะช่วยพัฒนาทั้งด้านวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี และการออกแบบภารกิจในอนาคต เพื่อรองรับการกลับไปสำรวจดวงจันทร์อย่างยั่งยืน และปูทางสู่การสำรวจดาวเคราะห์อื่นๆ เช่น ดาวอังคาร
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co