ทุก ๆ มีไทยและสหรัฐฯ จะมีการจัดฝึกร่วมทางการทหารภายใต้ชื่อ Cobra Gold ที่จัดอย่างเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ปีนี้นับเป็นการฝึกครั้งที่ 44 และมีชาติพันธมิตรต่าง ๆ ร่วมการฝึก ซึ่งเราน่าจะพอได้เห็นภาพการฝึกด้วยการใช้กำลังพลและอาวุธยุโทปกรต่าง ๆ กัน แต่จริง ๆ แล้วการฝึก Cobra Gold ไม่ได้มีการฝึกการรบในรูปแบบของกองกำลังอย่างเดียว (พูดง่าย ๆ คือไม่ได้มีแค่ยิงกันหรือระเบิด) แต่รวมไปถึงการฝึกการวางแผน รับมือ และถ่ายทอดองค์ความรู้ในการรบภายใต้โดเมนต่าง ๆ ด้วย
อย่างเช่นในช่วงหลัง ที่มีโดเมนใหม่ ๆ อย่างเช่น “ไซเบอร์” และ “อวกาศ” เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ได้มีแค่การรบทางบก ทางน้ำ และทางอากาศอย่างเดียว โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ ได้จัดตั้งเหล่าทัพใหม่คือ “กองทัพอวกาศ” หรือ United States Space Force (USSF) ขึ้นมา ยิ่งเป็นตัวอย่างว่าประเทศมหาอำนาจ มองว่าการรักษาความปลอดภัยโดยใช้เทคโนโลยีอวกาศ และการป้องกันภายทางอวกาศ เป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญมาก ๆ
ที่ผ่านมา เราได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวข้องกับกองทัพอวกาศสหรัฐฯ รวมถึงปฏิบัติการต่าง ๆ ทั้งการส่งดาวเทียมสอดแนม ของ National Reconnaissance Office, การจัดการกับภารกิจการปล่อย ของ Space Launch Delta หรือฐานทัพอวกาศต่าง ๆ (เช่น Cape Canaveral Space Force Station หรือ Vandanberg Space Force Station – อ่าน ประวัติศาสตร์ที่ดินของแหลมคะเนอเวอรัล) แต่เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่านอกจากการปล่อยดาวเทียม หรือการจัดการกับดาวเทียมแล้ว Space Force นั้นมีวิธีการคิดอย่างไรบ้าง

โชคดีมากที่ในวันนี้ 4 มีนาคม 2025 เราได้ร่วมเป็นตัวแทนจากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ภายใต้ Department of State สหรัฐฯ เดินทางไปเยี่ยมชมการฝึก Cobra Gold 2025 ที่หนึ่งในเนื้อหาที่เราจะพาทุกคนไปดูก็คือการฝึกในภาคอวกาศ Combined Forces-Space Component Command หรือ CFSCC ที่ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งในการเยี่ยมชมนี้มีพลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองบัญชาการกองทัพไทย และเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย Robert Frank Godec ร่วมเป็นโฮสหลักของกิจกรรมครั้งนี้

โดยการเยี่ยมชมในครั้งนี้นั้นพลเอก ทรงวิทย์ ได้ตั้งชื่อให้ว่า “Up Close and Personal Visit” ซึ่งมาจากไอเดียว่าอยากพาตัวแทนจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าชมอย่างใกล้ชิดและเป็นส่วนตัว ไม่ใช่การโชว์ผลงานแต่เป็นการเปิดรับไอเดียใหม่ ๆ ให้กองทัพไทย ได้นำเอาไปปรับปรุงและเป็นแนวทางในการพัฒนาศักยภาพของกองทัพภายใต้รัฐธรรมนูญ (ซึ่งกองทัพนั้นอยู่ภายใต้กระทรวงกลาโหมและดูแลโดยรัฐบาล และรัฐสภา เสียงจากประชาชนจึงเป็นสิ่งสำคัญ)
ในการเยี่ยมชมครั้งนี้นอกจากฝั่งเราที่มาพร้อมรัฐบาลสหรัฐฯ แล้วก็ยังมีตัวแทนจากฝั่งไทย เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคต่าง ๆ, กรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร, นักข่าวและสื่อมวลชน รวมถึงตัวแทนจากภาคธุรกิจเข้ามาร่วมด้วย รวมถึงนักวอร์กับทหารอย่าง ส.ส. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร แห่งพรรคประชาชน ประธานคณะกรรมาธิการการทหาร ก็อยู่ในผู้ร่วมเดินทางครั้งนี้ด้วย

หลักจากการกล่าวตอนรับ คณะเดินทางก็เตรียมพร้อมขึ้นเครื่องบินลำเลียง Lockheed C-130 ที่กองทัพอากาศจัดให้เป็นยานพาหนะของการเดินทางในวันนี้ โดยการบินจะใช้เวลาประมาณ 30 นาทีนับตั้งแต่ตัวเครื่องบินขึ้นจนถึงที่จังหวัดนครราชสีมา

การบินวันนี้มีกำหนดการออกจากท่าอากาศยานทหาร ในฝั่งฐานทัพอากาศดอนเมือง หรือ Don Muang Royal Thai Air Force Base เวลา 11:30 และบินตรงไปยังกองบิน 1 นครราชสีมา ซึ่งตรงนี้ก็อยากแชร์ประสบการณ์ว่าการนั่งเครื่องบินลำเลียงนั้นไม่ได้สบาย มีเสียงดังกว่าเครื่องบินพาณิชย์ปกติมาก และแม้จะมีการปรับความดันในห้องโดยสารแต่ก็ไม่ได้ปรับให้สบายเท่ากับในเครื่องบินยุคใหม่ ๆ และถ้าไม่จำเป็นหรือไม่ได้อยากลองก็ไม่ต้องหาทำมานั่งก็ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่ได้หาได้ง่ายนัก

เราใช้เวลาเดินทาง 30 นาทีตรงกับกำหนดการณ์และถึงที่กองบิน 1 โคราช เวลาประมาณเที่ยงตรง และออกเดินทางไปยังค่ายสุรนารี ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการสำคัญของการฝึก Cobra Gold 2025 ในปีนี้ เพื่อร่วมรับประทานอาหารกับตัวแทนหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งฝั่งพลเรือนและทหาร ทั้งจากฝั่งไทยและสหรัฐฯ ก่อนที่จะเริ่มต้นเดินทางไปเยี่ยมชมการฝึกและฟังรายงานจากเจ้าหน้าที่ประจำสถานี

โดยในสถานีแรกนั้นก็จะเป็นการอธิบายภาพรวมของการฝึก Cobra Gold ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นพื้นที่เรียนรู้ให้กับกำลังพลไทย และสหรัฐฯ รวมถึงชาติพันธมิตร ซึ่งรายละเอียดการฝึกคร่าว ๆ ในปีนี้ก็คือ ประกอบไปด้วย 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ การฝึกปัญหาที่บังคับการ (Command-and-Control Exercise) โครงการช่วยเหลือประชาชน (Humanitarian Civic Assistance Project) และการฝึกภาคสนาม (Field Training Exercise)
การฝึกในปีนี้มีประเทศต่าง ๆ รวม 30 ประเทศเข้าร่วมการฝึกหรือเข้าร่วมสังเกตการณ์ และมีกำลังพลจากสหรัฐฯ ประมาณ 3,200 นาย เข้าร่วมการฝึก รวมทั้งหมดจากทุกประเทศรวมถึงประเทศไทยมากกว่า 8,000 นาย

แต่ในการมาเยี่ยมชมครั้งนี้อย่างที่บอกไปว่าเราไม่ได้มาดูระเบิด หรือการยิงกัน แต่จะโฟกัสไปในหัวข้อได้แก่ STAFFEX การบรรยายสรุปภาพรวมของการฝึกฝ่ายเสนาธิการ ซึ่งมีพลตรี Michelle Schmidt กองทัพบกสหรัฐฯ ได้มากล่าวให้ข้อมูล
ต่อมาเราจะได้ไปดูการฝึก Combined Forces-Space Component Command หรือ SPACE ศึกษาการฝึกด้านอวกาศสำหรับการปฏิบัติทางทหาร ต่อด้วย CYBEREX ซึ่งเป็นการฝึกปฏิบัติการทางไซเบอร์ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถด้านความมั่นคงทางดิจิทัล
และจะเดินทางไปดูศูนย์ ADECC ซึ่งเป็นเหมือนกับศูนย์กลางของการฝึกทั้งหมด การบรรยายการขีดความสามารถ ขั้นตอนการทำงาน และชมการสาธิตการปฏิบัติงานของ เจ้าหน้าที่โดยการจำลองสถานการณ์การโจมตีทางทะเล (Maritime Strike) ณ ศูนย์ ADECC และสุดท้ายเป็นการฟังบรรยายเกี่ยวกับ การฝึกช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (HCA) และการอพยพพลเรือนในสถานการณ์ฉุกเฉิน (NEO/RJNO) ก่อนจะบินกลับกรุงเทพฯ
เข้าใจบริบทด้านอวกาศกับทหาร
ก่อนที่จะไปดูว่าการฝึก SPACE นั้นทำอะไรกันบ้าง มาลองทำความเข้าใจบริบทคร่าว ๆ กันก่อน ปัจจุบันในฝั่งสหรัฐฯ นั้นได้มีการตั้งหน่วยงานที่เข้ามาดูแลกิจกรรมด้านอวกาศ อย่างของกองทัพอากาศไทยนั้นก็มี ศูนย์ปฏิบัติการทางอวกาศกองทัพอากาศ Space Operations Center Royal Thai Air Force และทางกองทัพอากาศเองก็มีแผนการเปลี่ยนชื่อเหล่าทัพเป็น กองทัพอากาศและอวกาศ ด้วย
ซึ่งตอนนี้กองทัพอากาศ ไทยได้มีการใช้ดาวเทียมสองดวง ได้แก่ดาวเทียม NAPA-1 และ NAPA-2 ซึ่งเป็นดาวเทียมทดสอบเทคโนโลยีและขีดความสามารถในการจัดการและใช้ประโยชน์จากดาวเทียมบนวงโคจร Low Earth Orbit โดย NAPA-1 นั้น เป็นดาวเทียมแบบ 6U (ขนาด 10x20x30 เซนติเมตร) ผลิตโดยบริษัท ISIS Space ประเทศเนเธอแลนด์ และปล่อยขึ้นสู่อวกาศไปในปี 2021 ที่ผ่านมาเที่ยวบิน Rideshare ของจรวด Vega ของ Ariane Space โดยโคจรอยู่ที่ระดับความสูง 530 กิโลเมตร ในขณะที่ NAPA-2 เป็นดาวเทียมแบบ 6U เช่นกัน และถูกพัฒนาโดยบริษัท ISIS เหมือนกัน ปล่อยขึ้นสู่อวกาศในปี 2021 เช่นกัน ในเที่ยวบิน Rideshare ภารกิจ Transporter-2 ของจรวด Falcon 9 จาก Cape Canaveral Space Force Station
กองทัพอากาศนั้นใช้ NAPA-1 และ 2 ในการฝึกความสามารถของกำลังพลในการเรียนรู้การทำงานกับเทคโนโลยีอวกาศ และนอกจากดาวเทียมแล้วกองทัพอากาศไทยก็มีการทำงานในด้านการเฝ้าระวังภัยจากอวกาศ และศึกษาเกี่ยวกับการจัดการวงโคจรดาวเทียมต่าง ๆ ด้วย
ในขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ อย่างที่บอกไปตอนแรกว่ามีประสบการณ์กับอวกาศอย่างมาก และถึงขั้นมีเหล่าทัพแยกมาแล้ว และกองทัพอวกาศสหรัฐฯ ก็มีหน่วยงานต่าง ๆ ภายในซับซ้อนไปหมด ดังนั้นอาจจะไม่ได้เล่าให้ฟังทั้งหมด เอาเป็นว่า Space Force นั้นจะทำหน้าที่ดูแล จัดการ ใช้งานดาวเทียม เพื่อป้องกันภัยทางอวกาศ ปัจจุบัน Space Force แบ่งออกเป็น 3 กองบัญชาการหลัก (Field Commands) ได้แก่

Space Operations Command (SpOC) รับผิดชอบปฏิบัติการอวกาศ เช่น ระบบดาวเทียม, การเตือนภัยขีปนาวุธ, และการเฝ้าติดตามอวกาศ, Space Systems Command (SSC) รับผิดชอบด้านการพัฒนา, การจัดซื้อ, และการส่งดาวเทียมและยานอวกาศ และ Space Training and Readiness Command (STARCOM) มีหน้าที่จัดการฝึกซ้อมและอบรมสำหรับทหารอวกาศ
กองทัพอวกาศจะทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งภายใต้กองทัพอากาศและกระทรวงกลาโหม Department of Defense หรือ DOD เช่น National Reconnaissance Office หรือ NRO ที่ดูแลดาวเทียมสอดแนม และทำงานร่วมกับ Space System Command
Combined Forces-Space Component Command
ในการฝึก SPACE นั้นดูแลโดย US Space Forces Indo-Pacific ซึ่งเป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้ United States Indo-Pacific Command (ซึ่งก็คือหน่วยงานหลักที่จัดการฝึก Cobra Gold นี้ร่วมกับศูนย์บัญชาการกองทัพไทยนี่แหละ) โดย United States Indo-Pacific Command จะใช้วิธีจัดตั้งกองกำลัง US Space Forces Indo-Pacific เป็น Service Component เพื่อดูแลกิจการและทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ในอินโดแปซิฟิก
ซึ่ง US Space Forces Indo-Pacific หากนับภายใต้ US Space Force ก็จะอยู่ภายใต้ Space Operations Command (SpOC) ที่รับผิดชอบปฏิบัติการระบบดาวเทียมและเตือนภัย ตามที่เราเล่าไปในหัวข้อก่อนหน้านั่นเอง

การฝึก SPACE นั้นสโคปก็คือจะมีการฝึกทั้งหมด 23 นายด้วยกัน โดยมาจากไทย 5 สหรัฐฯ 6 ญี่ปุ่น 3 เกาหลีใต้ 3 ออสเตรเลีย 2 สิงคโปร์ 3 และ มาเลเซียหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่า ณ ตอนนี้มีแค่เฉพาะสหรัฐฯ เท่านั้นที่มี Space Force ที่เหลือก็จะมาจาก กองทัพบก และกองทัพอากาศ ในส่วนงานที่เกี่ยวข้อง (ส่วนเกาหลีใต้มาแปลก เป็นกองทัพเรือและนาวิกโยธิน)

ต้องอธิบายให้ฟังเพิ่มเติมก่อนว่าในการฝึก Cobra Gold นั้นในแต่ละปีจะมีการสลับกันระหว่างการฝึกที่เรียกว่า “Light-Year” (ที่ไม่ใช่ปีแสง แต่แปลว่าปีที่ฝึกแบบเบา ๆ) โดยเป็นการวางแผน สร้างองค์ความรู้ กับ “Heavy-Year” ที่เป็นการฝึกหนัก ใช้ทรัพยากรเยอะ มีสถานการการฝึกชัดเจน เหมือนเรียนในภาคทฤษฎีกับภาคปฏิบัติ ซึ่งในปีนี้เป็นการฝึกแบบ Light-Year ทำให้ในการฝึกจะเป็นการวางแผนร่วมกันซะส่วนใหญ่

ในการฝึก Cobra Gold นั้นจะจำลองสถานการ “ในประเทศสมมติ” อย่างในกรณีนี้คือการจำลองความขัดแย้งในดินแดนสมมติที่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ที่ชื่อว่า Arcadia, Kuhistan, Mojave, Tierra del Oro, Sonora และ Isla del Sol ซึ่งมีพรมแดนติดกัน (เลยไม่รู้จะทำอะไรเลยรบกันเองดีกว่า) ซึ่งกองกำลังผสมร่วมจะต้องเข้าไปช่วยเหลือ
สถานการของเราก็คือกองกำลังของ Sonora เข้าไปบุก Teirra del Oro เพื่อแย่งชิงทรัพยากรณ์ โดยเราจะต้องช่วยปกป้อง Teirra del Oro และรับมือกับการใช้กำลังทางอวกาศของ Sonora และปลดอาวุธด้านอวกาศของ Sonora ซึ่งความรู้ที่ใช้นั้นก็จะได้แก่
การใช้ดาวเทียมสื่อสาร Satellite Communications (SATCOM), การใช้ดาวเทียมคอยเฝ้าระวังสถานการณ์ Environmental Monitoring (EM), การเฝ้าระวังภัยทางอวกาศ Space Domain Awareness (SDA), การใช้ระบบระบุตำแหน่งและบอกเวลา Positioning, Navigation, Timing (PNT), ระบบเฝ้าระวังขีปนาวุธ Missile Warning (MW) และ การใช้ดาวเทียมสอดแนม Space-Based Intelligence, Surveillance, Reconnaissance (ISR)

ซึ่งกองกำลังร่วมผสมของเราจะต้องใช้ความรู้และการจัดการ ตัดสินใจรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในส่วนนี้เราได้ถามคำถามไปยัง พันตรี Moises Rendon ว่า แล้วในการฝึกซ้อมมีการใช้ข้อมูล หรือฮาร์ดแวร์จริง ๆ (เช่นดาวเทียมสอดแนมของ NRO, เครื่องบินอวกาศ X-37B, หรือข้อมูลจากดาวเทียมจริง ๆ) ในการฝึกด้วยหรือไม่ ซึ่งเราได้รับคำตอบว่าเป็นการฝึกร่วมระหว่างซิมูเลชัน และข้อมูลจริงบางส่วน แต่ไม่ได้รับคำตอบว่าฮาร์ดแวร์เหล่านี้คืออะไร ซึ่งก็จะสอดคล้องกับเหตุผลว่าในปีนี้ เป็นการฝึกแบบการวางแผน หรือ Light-Year เป็นหลัก (ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ขยายความเพิ่มเติม)
โดยเป้าหมายของการฝึกนี้ ไม่ได้เป็นการใช้อวกาศเพื่อการโจมตี (Offensive) แต่เป็นการเฝ้าระวังและปกป้องโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ดาวเทียม THEOS ของ GISTDA หรือดาวเทียมสื่อสาร Thaicom (สมมติว่าข้าศึกใช้วิธีโจมตีทางคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก่อกวนดาวเทียมของเรา) – ผลที่จะเกิดขึ้น ไม่ได้แค่เราจะดูทีวีไม่ได้ แต่ส่งผลต่อการรับรู้ข่าวสารของประชาชน (เราไม่สามารถบอกประชาชนว่า คุณพี่อยู่จังหวัดอะไรคะ, คุณพี่โทรไปตามช่างจานดาวเทียม, เอารีโมตขึ้นมาจูน, ดูไม่ได้ก็ไม่ต้องดู)
ซึ่งในการรายงานการฝึกก็มีการพูดถึงการดำเนินการภายใต้ Outer Space Treaty ซึ่งเราเคยเล่าไว้ในบทความ ถ้าเราก่ออาชญากรรมในอวกาศ ใครจะมาจับเรา รู้จักสนธิสัญญาอวกาศ ไปแล้ว
การฝึกด้านไซเบอร์เพื่อรับมือและปกป้องโครงสร้างพื้นฐาน
นอกเหนือจากการฝึกฝั่งอวกาศแล้ว มีอีกอันที่เราอยากเอามาเล่าให้ฟังเพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่อธิบายยากพอสมควรหากอธิบายโดยคนที่ไม่เข้าใจก็คือเรื่องการฝึกด้านไซเบอร์ ที่ชื่อว่า CYBEREX เพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางเทคโนโลยีและการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ คำถามก็คือแล้ว CYBEREX ฝึกอะไรกัน
จริง ๆ แนวคิดของการรับมือกับภัยทางไซเบอร์นั้นก็คือ สมมติว่าประเทศเราโดนโจมตี การจะตัดกำลังอย่างนึงที่สำคัญก็คือบึ้มโครงสร้างพื้นฐานทิ้ง เช่น อินเทอร์เน็ต การสื่อสาร ระบบธนาคาร ซึ่งการบึ้มที่ว่าก็มีทั้งการใช้กำลังจริง ๆ มาบึ้มทิ้งหรืออีกท่าก็คือ “การโจมตีทางไซเบอร์” เช่น การใช้มัลแวร์ หรือแม้กระทั่งการเจาะระบบเพื่อเข้ามาจัดการ ขโมย ทำลายกับข้อมูลสำคัญ ซึ่งอันนี้แน่นอนว่ามีความเกี่ยวข้องกับกิจการพลเรือนสูง

เราถามคำถามกับ พันตรี Andrew VanZandt ผู้รายงานในสถานีนี้ ไปว่า “ทหารมีวิธีรับมือกับเทคโนโลยีทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์ที่ใช้กันหลากหลายในปัจจุบันยังไง ขนาดเราเป็นโปรแกรมเมอร์ธรรมดา ๆ ทั่วไป ให้ไปทำงานกับสภาพแวดล้อมหรือ Environment ที่ไม่ชินยังต้องเรียนรู้เยอะเลย ” ซึ่งเราก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า ก็จำเป็นต้องเข้าใจความรู้ขั้นพื้นฐานก่อน แล้วค่อย ๆ ศึกษาเป็นกรณีไป (ทาง อนาลโย กอสกุล บรรณาธิการเว็บไซต์ ThaiArmedForce ที่เดินทางกับเรา บอกเราเพิ่มเติมว่าจริง ๆ แล้วในกรณีแบบนี้ทหารก็จะต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานพลเรือนเป็นหลักอยู่แล้ว)

ในการฝึกนั้นจะใช้ระบบที่เรียกว่า Cyber Range ซึ่งถ้าใครที่เรียนด้านเน็ตเวิร์คหรือ Cybersecurity มาน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่ถ้าใครที่ไม่เข้าใจ Cyber Range เป็นเหมือนโปรแกรมตัวนึงที่จำลองสถานการการโดนเจาะระบบด้วยเทคนิคต่าง ๆ อธิบายแบบง่าย ๆ มันก็คือเกมเกมหนึ่งนั่นแหละ แต่เอาไว้ใช้ในการฝึกและทำความเข้าใจระบบ Network แบบพื้นฐาน (ถ้าลงลึกหน่อยก็คือ ใช้ Protocal พวก TCP/IP ใช้ Port ต่าง ๆ เหมือนกับโลกของความเป็นจริง, มีการใช้ความรู้ด้าน Cryptography หรือการเข้ารหัสลับต่าง ๆ แบบที่เราเรียนกันในวิชา Cybersecurity นั่นแหละ) และสามารถทำการแข่งขัน Capture the Flag (CTF) ซึ่งเป็นการไล่จับธงโดยเราจะต้องใช้ความรู้ด้าน Network ต่าง ๆ ในการแข่งขันกับทีมอื่น แข่งกับเวลา

ซึ่งจริง ๆ การฝึกแบบนี้ก็จะเหมือนกับแบบที่พลเรือนใช้นั่นแหละ เพียงแค่ว่าระบบ Cyber Range ของทหารก็จะมีความพิเศษก็คือมีราคาแพงเป็นพิเศษ (ฮา) และใช้ฮาร์ดแวร์ระดับ Military Grade อย่างในกรณีนี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ให้ข้อมูลเราว่าในตู้ Rack ที่เห็นในภาพด้านบนมีมูลค่าหลักร้อยล้านบาทเลยทีเดียว ซึ่งทางสหรัฐฯ ได้ยกมาใช้ในการฝึกครั้งนี้
สรุปการเยี่ยมชมการฝึก Cobra Gold 2025
หลักจากการดูการฝึกฝั่ง SPACE และ CYBERX แล้วเราเดินทางต่อไปยัง ADECC ซึ่งเป็นการจำลองการรับมือกับการโจมตีจริง ๆ ซึ่ง ณ ตรงนี้เราไม่ได้รับอนุญาติให้ถ่ายภาพเนื่องจากมีการใช้ข้อมูลจากระบบแจ้งเตือนภัยจริง ๆ แต่ก็ได้เห็นการซ้อมรับมือและตัดสินใจกับสถานการณ์เป็นเวลาประมาณ 7 นาที ซึ่งก็ประสบความสำเร็จในการทำลายข้าศึกได้
และสุดท้ายเรากลับมาที่กองบิน 1 เพื่อฟังบรรยายเพิ่มเติมในส่วนของการฝึกซ้อมกิจกรรมด้านมนุษยธรรม เช่นการอพยกพลเรือนออกจากพื้นที่ขัดแย้ง หรือการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้กับพลเรือนในยามภัยพิบัติ และสุดท้ายทูต Godec และพลเอกทรงวิทย์ก็ได้ออกมากล่าวขอบคุณทุกคน และย้ำถึงความสำคัญของการฝึกครั้งนี้ ก่อนที่จะเดินทางขึ้นเครื่อง C-130 เดินทางกลับกรุงเทพมหานครฯ

ถ้าถามว่าเราได้เห็นอะไรในการเดินทางมาเยี่ยมชมการฝึกครั้งนี้บ้าง ก็คงตอบได้ว่า ปกติเวลาพูดถึง Cobra Gold เราจะเห็นภาพการยกพลขึ้นพก การบินเครื่องบินรบและเฮลิคอปเตอร์ หรือการเข้าป่ากินงู หาของกินตามป่า ซึ่งโอเค นั่นก็ใช่และเป็นหนึ่งในการฝึก แต่สำหรับปัจจุบันที่การรบไม่ได้อยู่แค่ในสนามรบอีกแล้ว แต่ไปอยู่ในโลกไซเบอร์ และอวกาศ ทำให้เราจำเป็นต้องได้รับการถ่ายทอดความรู้จากประเทศอย่างสหรัฐฯ ที่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าด้านอวกาศคงไม่มีใครเทียบได้อีกแล้ว ทั้งในด้านจำนวนของฮาร์ดแวร์ที่ Space Force ใช้งานอยู่ ความสามารถในการจัดการกับดาวเทียมและยานอวกาศ การปล่อยยานอวกาศ โครงการอย่าง National Security Space Launch, ดาวเทียมสอดแนมของ NRO ไปจนถึงองค์ความรู้ในการจัดการ จัดระเบียบวัตถุอวกาศและป้องกันภัย เช่น NORAD การที่สหรัฐฯ เอาองค์ความรู้พวกนี้มาถ่ายทอด ก็น่าจะช่วยให้กองทัพของบ้านเราทันสมัยมากขึ้น และรู้ว่าชาติมหาอำนาจเขาคิดกันอย่างไร
สุดท้าย แม้จะน่าเสียดายที่เรายังไม่ได้ข้อมูลเจาะลึกว่าในการฝึกนั้นใช้ข้อมูลฝั่งอวกาศ หรือมีการเอาฮาร์ดแวร์จริง ๆ มาใช้ในการฝึกหรือไม่มากน้อยแค่ไหน (เพราะเราก็คงอยากรู้ว่า เสป็คดาวเทียมสอดแนมของ NRO นั้นดีแค่ไหน หรือ X-37B ขึ้นไปทำอะไรบนอวกาศ หรือมีเทคโนโลยีไหนอีกที่สหรัฐฯ ครอบครองไว้) แต่ก็พอจะมองภาพออกว่าพอการฝึกฝั่งอวกาศ (และไซเบอร์) มาอยู่ใน Cobra Gold ภาพที่ออกมากับองค์ความรู้ที่จะเกิดขึ้นคืออะไร

สุดท้ายก็ต้องขอขอบคุณ Department of State สหรัฐฯ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ที่ชวนให้เราเข้ามาเป็นหนึ่งในขณะฝั่งสหรัฐฯ เยี่ยมชมการฝึกนี้ และฝั่งกองบัญชาการกองทัพไทย ที่ดูแลตลอดการเยี่ยมชม รวมถึงกองทัพอากาศไทยที่ให้ข้อมูลในฝั่งอวกาศกับเรา และให้บริการเครื่อง C-130 เดินทางอย่างปลอดภัย
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co