ส่องตลาดของ Ariane 6 หลังให้บริการเที่ยวบินเชิงการค้าเที่ยวบินแรก

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2025 ที่ผ่านมา บริษัท Arianespace เพิ่งประสบความสำเร็จในการนำส่งดาวเทียม CSO-3 ดาวเทียมสอดแนมของฝรั่งเศสด้วยจรวด Ariane 6 นับเป็นเที่ยวบินแรกที่มีการนำเอาจรวดรุ่นใหมนี้มาให้บริการเชิงการค้า หลัจากที่ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2024 จรวด Ariane 6 ได้ขึ้นบินในเที่ยวบินทดสอบครั้งแรก และนำส่ง Payload ทดสอบขึ้นสู่วงโคจรสำเร็จไปแล้ว ทำให้ตอนนี้ เราสามารถพูดได้เต็มปากกว่า Ariane 6 จรวดแห่งความหวังของยุโรป ได้เข้าสู่ช่วงให้บริการเต็มรูปแบบ และจากเป้าหมายเดิม ที่ Ariane 6 ได้ถูกออกแบบมาให้เสริมความคล่องตัวและลดค่าใช้จ่ายในการนำส่งดาวเทียมจากฝั่งยุโรป ในบทความนี้เราะจะมาลองวิเคราะห์ตลาด และดูว่าแผนต่อไปของ Arianespace ในการทำตลาดจรวดรุ่นใหม่นี้ จะเป็นอย่างไร

Ariane 6 เป็นจรวดรุ่นใหม่ของบริษัท Ariane Group ที่ดำเนินงานร่วมกับภายใต้ความร่วมมือของชาติสมาชิก European Space Agency หรือ ESA ซึ่งมาทดแทนจรวด Ariane 5 เดิม ที่คอยรับใช้ชาติสมาชิก ESA และลูกค้ารายอื่น ๆ มาอย่างยาวนาน

จรวด Ariane 6 จากเที่ยวบินนำส่งดาวเทียม CSO-3 ให้กับฝรั่งเศส ที่มา – Ariane Group

Ariane 6 เดิมมีกำหนดทดสอบในช่วงปี 2023 แต่ถูกเลื่อนออกมาเป็นกลางปี 2024 ตัวจรวดรุ่นใหม่นี้พัฒนาโดยใช้เงินลงทุนมากกว่า สองพันแปดร้อยล้านยูโร เป็นความร่วมมือในลักษณะร่วมทุนโดยรัฐกับเอกชน (Public Private Partnership) ที่หวังว่าจะเข้ามาทำตลาดในช่วงราคาต่อการปล่อยอยู่ที่เริ่มต้น 75 ล้านยูโรต่อเที่ยว (ประมาณ 81 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 2,700 ล้านบาท) ซึ่งอยู่ในจุดที่แข่งขันได้กับจรวดอย่าง H-II, H3ของฝั่งญี่ปุ่น ญี่ปุ่นเตรียมหั่นราคาปล่อยจรวด H3 เหลือครึ่งเดียวเริ่มต้น 1,200 ล้านบาท จรวดตระกูลอินเดีย หรือแม้กระทั่งกับ Falcon 9 ของ SpaceX ที่ทำตลาดอยู่ที่ประมาณ 60 ล้านเหรียญฯ สหรัฐฯ หรือราว 2,000 ล้านบาท

ตัวเลข 75 ล้านยูโรนั้น ถือว่าถูกลงมากเมื่อเทียบกับ Araine 5 ที่เคยทำตลาดอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านยูโรขึ้นไป และการเข้ามาของ Ariane 6 น่าจะช่วยให้ Ariane และ ESA นำส่งดาวเทียม ยานอวกาศ ให้กับตัวเอง ชาติพันธมิตร และลูกค้าได้ในราคาที่ Competitive มากขึ้น

Ariane 6 บิน ขึ้นครั้งแรก 9 กรกฎาคม 2024 และตัวจรวดก็ทำภารกิจได้ตามที่ออกแบบไว้โดยมีปัญหาในการจุดเครื่องยนต์ Upper Stage เพื่อ Deorbit ตัวเองลงสู่โลกในช่วงท้าย ๆ แต่ตัวจรวดได้พาเอาดาวเทียมทดสอบเข้าสู่วงโคจรที่ออกแบบไว้

สายการผลิตจรวด Araine 6 ของ Arianespace ที่วางเป้าไว้ที่ 10 เที่ยวบินต่อปี ที่มา Ariane Group

แม้การทดสอบจะค่อนข้างมีมวลรวมของอารมณ์ไปในทางบวกและไม่ระเบิดแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การเลื่อนการทดสอบของ Ariane 6 ที่เดิมทีควรจะบินขึ้นตั้งแต่ในช่วงปี 2020 หรือเร็วกว่านั้น ทำให้ Arianespace ต้องเสียลูกค้าบางส่วนไปให้กับบริษัทอวกาศจากฝั่งสหรัฐฯ อย่าง SpaceX แม้กระทั่งดาวเทียมระบุตำแหน่งบนโลกตระกูล Galileo ของยุโรปเอง อย่างภารกิจ Galileo-L12 ยังต้องถูกย้ายมาปล่อยกับจรวด Falcon 9 ด้วยซ้ำ เนื่องจาก Ariane 6 ยังไม่เสร็จ 

โดยเฉพาะเมื่อเกิด สงครามรัสเซียยูเครน ที่ทำให้รัสเซียเลิกขายจรวด Soyuz ให้กับ Arianespace และเกิดผลกระทบต่อลูกค้า เช่น โครงการ OneWeb

เดิมที การบินของ Ariane 6 นั้น ถูกกำหนดให้มี Overlap กับเที่ยวบิน Ariane 5 รุ่นเดิม แต่ Arianspace นั้น ก็ได้จบเที่ยวบินอำลาของ Ariane 5 ไปในวันที่ 5 กรกฎาคม 2023 เรียบร้อย ในภารกิจ ทำให้ ณ ตอนนี้ Ariane 6 และ Vega-C กลายเป็นสองจรวดที่ Arianespace ให้บริการอยู่

เที่ยวบินเชิงการค้าเที่ยวบินแรก

ลูกค้ารายแรกของ ArianeSpace ที่ปล่อยดาวเทียมกับ Arianespace ก็คือ Directorate General of Armament หรือ DGA ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐบาลของฝรั่งเศสที่จัดหาและพัฒนาอาวุธให้กับกองทัพ และดูแลโครงการดาวเทียมร่วมกับ CNES หรือองค์การอวกาศฝรั่งเศส

การปล่อยดาวเทียม CSO-3 ของ Ariane 6 เที่ยวบินเชิงการค้าครั้งแรก ที่มา – Ariane Group

การปล่อยรอบนี้ใช้ Ariane 6 ใน Configuration แบบ 62 ก็คือมีการใช้ Solid Rocket Booster ขนาบข้างสองตัว (64 จะใช้ 4 ตัว) การปล่อยเกิดขึ้นที่ฐานปล่อย ELA-4 ใน Guiana Space Centre ในเกียนาดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศส ตัวจรวดได้บินขึ้นเวลา 23:24 ของคืนวันที่ 6 มีนาคม 2025 ตามเวลาประเทศไทย หลังจากการปล่อยตัวจรวดท่อนแรกและท่อนที่สองประสบความสำเร็จในการปล่อยดาวเทียมอย่างไม่มีอะไรผิดพลาดเลยในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงหลังจากการปล่อย ดาวเทียมได้เข้าสู่วงโคจรที่ระดับความสูง 800 กิโลเมตร แถมการปล่อยรอบนี้ยังไม่เจอการเลื่อนการปล่อยด้วย เรียกได้ว่าราบรื่นมาก ๆ

ลูกค้าของ Arianespace และจรวดรุ่นใหม่

การเริ่มเปิดขายเที่ยวบินแรกของ Ariane 6 นั้นต้องย้อนกลับไปตั้งแต่งาน World Satellite Business Week ในปี 2018 ที่ตอนนั้นได้มีการเปิดเผยถึงรายชื่อลูกค้าจำนวนหนึ่งที่เลือกใช้บริการกับ Ariane 6 ในข่าว Ariane 6 accelerates as Arianespace signs first commercial GEO MuLTIple-LAUNCH contract, plus a new institutional mission โดยหนึ่งในรายชื่อก็คือ DGA ที่บอกว่าจะใช้ Ariane 6 ปล่อยดาวเทียม CSO-3 ซึ่งดาวเทียมรุ่นเดียวกันก่อนหน้า ก็ถูกปล่อยโดย Arianespace นี่แหละในปี 2018 และ 2020 ตามลำดับ แต่ปล่อยโดยจรวด Soyuz ที่ Arianespace ไปนำมาให้บริการ

หากเราดูรายการปล่อยเราจะพบว่า ลูกค้าส่วนมานั้นก็คือหน่วยงานรัฐฯ และเอกชนในยุโรปเองซะส่วนใหญ่ โดยเฉพาะองค์การอวกาศยุโรป ESA ที่มีแผนใช้ Ariane 6 ในการปล่อยดาวเทียมทั้งกลุ่มสำรวจโลกอย่าดาวเทียมตระกูล Sentinel และดาวเทียมระบุตำแหน่ง Galileo (ก็ตามสไตล์ยุโรปทำยุโรปใช้ยุโรปเจริญ) โดยเมื่อต้นปี 2025 ที่ผ่านมา Arianespace เพิ่งเซ็นสัญญากับ ESA ในการนำส่งดาวเทียมตระกูล Galileo ให้ใน Arianespace Signs Ariane 6 Launch Contract For Galileo’s First Pair Of Second-generation Satellites แต่นอกจากในยุโรปแล้ว ลูกค้าอีกกลุ่มที่ซื้อเที่ยวบิน Araine 6 ไว้นั้นก็คือ Kuiper Systems ของ Amazon ที่ทำดาวเทียมอินเทอร์เน็ต และได้มีการไปซื้อเที่ยวบินผู้ให้บริการต่าง ๆ มากกว่า 92 เที่ยวบิน จากทั้ง United Launch Alliance, Blue Origin, SpaceX และ Arianespace ซึ่งจำนวนเที่ยวบินที่ Kuiper ซื้อ Araiane 6 ไว้ก็คือ 18 เที่ยวบิน จากประกาศ Amazon Secures Up to 83 Launches from Arianespace, Blue Origin, and United Launch Alliance for Project Kuiper ในปี 2022

เจ้าหน้าที่ Araine Group และ Intelsat ถ่ายภาพร่วมกันหลังบรรลุข้อตกลงปล่อยดาวเทียม Intelsat 45 กับ Araine 6 ที่มา – Ariane Group

นอกจากนี้ยังมีสัญญาการปล่อยที่สองบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านดาวเทียมอย่าง Intelsat และ Eutelsat ซื้อเที่ยวบิน Ariane 6 รอไว้ด้วย ตามที่เคยถูกรายงานไว้ในปี 2022 ใน Arianespace to ramp up to full Ariane 6 rocket launch rate in 2026 – CEO ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะบริษัทเหล่านี้ก็เป็นลูกค้ากันมาอย่างยาวนาน

ประเด็นก็คือ ไม่แปลกที่เราจะเห็นบริษัทที่เคยปล่อยกับ Arianespace ยังคงใช้บริการ Arianespace อยู่ รวมถึงการใช้ Ariane 6 ในการปล่อยดาวเทียมหรือยานอวกาศด้านวิทยาศาสตร์จากฝั่งยุโรป แต่คำถามก็คือ Ariane 6 และราคาที่มันทำตลาดอยู่จะสามารถดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ได้หรือเปล่า

ตลาด Rideshare จะเทมาฝั่ง Arianespace บ้างมั้ย

ตลาดกลุ่มที่เรียกได้ว่าโคตรจะยอดมาแรงของในยุคนี้ก็คือการทำ Rideshare ซึ่งแน่นอนว่าถูกทำให้ตลาดแตกจาก SpaceX และจรวดอินเดีย การเอาดาวเทียมเป็นร้อย ๆ ดวงอัดเข้าไปใน Paylaod Fairing และปล่อยออกมากลายเป็นสิ่งที่ทำให้ต้นทุนการส่งของขึ้นสู่อวกาศมีราคาถูกลงมาก รวมถึงการทำ Rideshare ไปกับดาวเทียมดวงหลัก ก็ช่วยให้บริษัทอวกาศขนาดเล็กและขนาดกลางเข้าถึงการปล่อยได้มากขึ้น การทำ Rideshare นั้นก็อยู่ในธุรกิจใหม่ของ Arianespace เช่นเดียวกัน

การปล่อยดาวเทียมแบบ Rideshare ซึ่งจะมีดาวเทียมขนาดเล็กติดไปด้วยหลาย ๆ ดวง ที่มา – Arianespace

ในปี 2018 ได้มีการประกาศโครงการ Light satellite Low-cost Launch opportunity initiative และทำเอาเทคโนโลยีการปล่อยแบบ Rideshare มาใช้กับ Ariane 6 และ Vega-C ที่พุ่งเป้าไปที่ดาวเทียมที่น้ำหนักต่ำกว่า 500 กิโลกรัม ซึ่งแน่นอนว่าดาวเทียม THEOS-2 ที่เพิ่งปล่อยไปในปี 2023 กับ Vega ของไทยก็ถูกนับว่าเป็นการทำ Rideshare เช่นกัน (แม้จะเป็น Rideshare แค่สองดวงก็ตาม)

แม้ปัจจุบันเราจะยังไม่เห็นภารกิจที่เป็น Rideshare อย่างเดียว (อย่างเช่นภารกิจตระกูล Transporter ของ SpaceX) แต่ Ariane 6 ก็มีการคิดเผื่อภารกิจลักษณะดังกล่าวที่เป็น Rideshare อย่างเดียวไว้เหมือนกัน ดูจากคู่มือการใช้งาน Multi Launch Services แปลว่าในอนาคตอันใกล้ เราอาจจะได้เห็นภารกิจที่เป็น Rideshare อย่างเดียวเกินขึ้นกับ Ariane 6 และ Vega-C

สรุปก้าวต่อไปที่หน้าจับตาของ Arianespace

สรุปได้ว่า ความสำเร็จในการนำส่งดาวเทียม CSO-3 ด้วยจรวด Ariane 6 ในวันที่ 6 มีนาคม 2025 เป็นก้าวสำคัญที่พิสูจน์ว่าจรวดรุ่นใหม่นี้พร้อมเข้าสู่การให้บริการเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการออกแบบเพื่อลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความคล่องตัวในการนำส่งดาวเทียมให้กับลูกค้าของ ESA และประเทศพันธมิตร แม้ในอดีตจะมีความล่าช้าและผลกระทบจากสถานการณ์โลก แต่การเปิดตัวเชิงพาณิชย์ครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะฟื้นฟูความน่าเชื่อถือและการแข่งขันในตลาดจรวดที่ท้าทาย

นอกจากนี้ แนวโน้มในการขยายตลาด Rideshare ที่ Ariane 6 เตรียมรับมือในอนาคต ยังเป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่าจรวดรุ่นนี้จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอวกาศยุโรปและเปิดโอกาสให้กับลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ในยุคที่การส่งดาวเทียมมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.