เมื่อดาวเทียมมาอยู่บนสายพานการผลิต สิ่งนี้พลิกโฉมวงการอวกาศอย่างไร

หากมองย้อนกลับไปในยุคที่ดาวเทียมยังเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำชาติมหาอำนาจ หนึ่งภารกิจคือหนึ่งชีวิตของวิศวกรนับร้อยคนพันคนที่ต้องร่วมกันสร้างผลงานระดับ Master Piece ด้วยมือ มันคือของแพง ของชิ้นเดียว และของที่พลาดไม่ได้ แต่ในวันนี้ การผลิตดาวเทียมเริ่มเปลี่ยนหน้าตาไปอย่างสิ้นเชิง ดาวเทียมขนาดเล็กจำนวนมากกำลังถูกผลิตในลักษณะ Mass Production ไม่ต่างจากรถยนต์บนสายพานของ Ford ในศตวรรษที่ 20 หรือสมาร์ตโฟนที่เปิดตัวปีเว้นปีในยุคนี้

แล้วอะไรทำให้สิ่งที่เคยเป็น Rare Item ที่ทำด้วยมือกลายเป็นสินค้าบนสายการผลิต คำตอบคือการเปลี่ยนผ่านหลายขั้นตอน ตั้งแต่แนวคิดเรื่อง Modular Design อย่าง Satellite Bus ไปจนถึงการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของการส่งดาวเทียมด้วยจรวดแบบ Reusable ที่เปิดพื้นที่ให้กับธุรกิจใหม่ใน Low Earth Orbit และการออกแบบระบบสื่อสารผ่านเลเซอร์กับ Beamforming ที่ทำให้ Constellation ของดาวเทียมไม่ใช่แค่ “เยอะ” แต่ยัง “ฉลาด” และ “เร็ว”

โรงงาน Starlink ของ SpaceX ในเมือง Bastrop รัฐเท็กซัส สายพานการผลิตสำคัญของ SpaceX ที่มา – SpaceX

บทความนี้จะพาไปสำรวจการเปลี่ยนแปลงในมุมของเทคโนโลยี อุตสาหกรรม เศรษฐศาสตร์ และแนวคิดการบริหาร ตั้งแต่ Lean Manufacturing จนถึง Feedback Loop ที่ทำให้วงจรพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอวกาศเริ่มหมุนเร็วพอ ๆ กับ Startup บนโลกใบนี้ และสิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ เมื่อการผลิตดาวเทียมเป็นเรื่องของการ Scale Up แทนที่จะเน้น Precision แบบเดิม โลกเราจะเปลี่ยนไปอย่างไรในวันที่ดาวเทียมไม่ใช่แค่ ‘ดาวเทียม’ อีกต่อไป

จากงานคราฟต์สู่การใช้ Bus และการ Modularization ของดาวเทียม

ย้อนกลับไปในอดีต การสร้างดาวเทียมคือการทำงานแบบคราฟต์ที่ใช้เวลานาน ต้องออกแบบใหม่แทบทุกครั้ง ตั้งแต่โครงสร้าง ไปจนถึงระบบอิเล็กทรอนิกส์และซอฟต์แวร์ แถมมันยังใช้การออกแบบในลักษณะ Waterfall พูดง่าย ๆ ก็คือคิดวัตถุประสงค์ของมันก่อน จากนั้นลงลึกไปถึงขั้นงานระบบ ว่าจะต้องมีอะไรบ้าง ทำหน้าที่อะไร ลงลึกไปอีกว่าแล้วระบบย่อยหรือ Subsystem ต้องมีอะไรบ้าง ลงไปจนสุดจากนั้นก็ทดสอบ ทดสอบมันกลับขึ้นมาตั้งแต่ระบบที่ย่อยที่สุด มาจนถึงระบบที่ใหญ่กว่า และภาพรวมของตัวดาวเทียม มันคือกระบวนการที่ใกล้เคียงกับการสร้างเครื่องบินรบหรือกล้องโทรทรรศน์ระดับวิจัยมากกว่าการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม

ดาวเทียม Thaicom 6 ปล่อยกับจรวด Falcon 9 ของ SpaceX

เราอาจอธิบายได้ว่าการสร้างดาวเทียมเปรียบเสมือนการสร้างบ้านที่ต้องออกแบบใหม่ตั้งแต่รากฐานในทุกครั้ง แม้จะเป็นการทำดาวเทียมที่มีฟังก์ชันคล้ายกัน แต่ก็ไม่มีความเป็นมาตรฐานร่วมกันมากนัก จนกระทั่งแนวคิดเรื่อง “Satellite Bus” หรือโครงสร้างพื้นฐานกลาง เริ่มได้รับความนิยม โดย Bus จะรวมระบบหลักที่จำเป็นของดาวเทียม เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบควบคุมทิศทาง ระบบสื่อสารพื้นฐาน และระบบควบคุมการบิน เอาไว้ในหน่วยเดียว ทำให้บริษัทสามารถสร้าง Bus ที่พร้อมใช้งาน แล้วให้ลูกค้าเลือกโหลด Payload หรือ Instrument ที่แตกต่างกันเข้าไป เช่น กล้องสำรวจ, Transponder, หรือเซนเซอร์ต่าง ๆ

การแยกโครงสร้างและ Payload ออกจากกันแบบนี้ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการออกแบบแต่ละภารกิจ และทำให้บริษัทสามารถขาย Platform ของตัวเองได้ในลักษณะ “Build Once, Sell Many Times” คล้ายกับการทำแพลตฟอร์มมือถือหรือ Cloud Infrastructure ในโลก Software ที่เราคุ้นชินกัน

Mass Production จากหลักสิบสู่หลักพัน

ในอดีต โลกของดาวเทียมไม่เคยมีพื้นที่สำหรับคำว่า “Lean” เพราะแค่จะส่งขึ้นไปยังวงโคจร ก็ต้องแลกกับต้นทุนระดับพันล้านเหรียญต่อครั้ง ทุกการออกแบบจึงต้องเป็นงานละเอียด งานทน งานระยะยาว ดาวเทียมหนึ่งดวงจึงกลายเป็นงานคราฟต์ที่ทั้งแพง หนัก และเต็มไปด้วยอุปกรณ์ระดับ Flagship ที่ต้องใช้งานได้ต่อเนื่องหลายสิบปี เมื่อราคาการปล่อยยังสูงเสียดฟ้า การคิดจะผลิตดาวเทียมแบบสายพานย่อมเป็นเรื่องสิ้นเปลืองจินตนาการ เพราะแค่ดวงเดียวก็แทบไม่มีเงินจะส่งซ้ำแล้ว แล้วจะมีใครคิดผลิตเป็นร้อยเป็นพันเพื่อมาทำ Constellation ล่ะ

แต่ภาพนั้นเริ่มเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อจิ๊กซอว์ที่หายไปนานก็คือ “ราคาการปล่อย” เริ่มถูกลงอย่างมหาศาล จากการมาถึงของจรวดแบบ Reusable อย่าง Falcon 9 ที่ลดต้นทุนต่อกิโลกรัมลงได้หลายเท่าตัว SpaceX ไม่ได้เปลี่ยนแค่เทคโนโลยีจรวด แต่เปลี่ยนสมการต้นทุนของทั้งอุตสาหกรรม และพอราคาการปล่อยถูกลง เกมทั้งหมดก็เปลี่ยน เพราะเมื่อ Launch ไม่ใช่ Bottleneck อีกต่อไป เราจึงสามารถมองดาวเทียมใหม่ว่า มันไม่จำเป็นต้องอยู่ยาว 15 ปีเสมอไป แต่มันสามารถ “หมุนเวียน” ได้เหมือนมือถือ คือใช้แล้วเปลี่ยน ใช้แล้วอัปเกรด นี่คือจุดเริ่มต้นของแนวคิด Lean Manufacturing ที่เข้ามาในวงการอวกาศ

จรวด Falcon 9 ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ช่วยลดต้นทุนการปล่อย ที่มา – SpaceX

และนี่คือเหตุผลว่าทำไม Starlink ถึงเกิดขึ้นได้ แม้ Starlink จะไม่ใช่ Constellation แรกของโลก Iridium เคยพยายามมาแล้วในยุค 90 ด้วยจำนวนดาวเทียมระดับหลักสิบ แต่โครงสร้างต้นทุนยังไม่เอื้อ และไม่มีใครควบคุมราคา Launch ได้แบบ SpaceX ที่เป็นทั้งผู้ผลิตดาวเทียม และเจ้าของจรวดของตัวเอง

Starlink จึงเป็นเหมือนการนำ Optimization ทุกชั้นมาเชื่อมต่อกัน ทั้งการผลิตดาวเทียมบนสายพาน การออกแบบวงโคจร LEO ให้ครอบคลุมและหนาแน่น การใช้ Beamforming และ Laser Comm เพื่อลดภาระภาคพื้น และที่สำคัญคือการยิงแบบทีละล็อตใหญ่โดยไม่ต้องรอใคร พูดง่าย ๆ Starlink ไม่ได้เกิดจากไอเดียใหม่ แต่มันคือ Product ที่เกิดจาก “เวลาเหมาะ คนเหมาะ เทคโนโลยีพร้อม” และเมื่อจิ๊กซอว์ทุกชิ้นอยู่ในมือเดียวกัน Mass Production ของดาวเทียมก็ไม่ใช่แค่เรื่องที่ทำได้ แต่มันทำกำไรได้ด้วย

ดาวเทียม Starlink ถ่ายจากจรวด Falcon 9 ในแต่ละรอบ SpaceX จะปล่อยดาวเทียมประมาณ 20-30 ดวง ที่มา – SpaceX

ผลลัพธ์คือ SpaceX สามารถผลิตดาวเทียมได้ถึง 40-50 ดวงต่อสัปดาห์ และปล่อยขึ้นสู่วงโคจรได้อย่างต่อเนื่อง จนทำให้ในช่วงเวลาไม่กี่ปี พวกเขามีดาวเทียมอยู่ในอวกาศมากกว่า 8,000 ดวง ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนเกมไปโดยสิ้นเชิง

จุดเปลี่ยนสำคัญที่เปลี่ยนเกมตลาดดาวเทียม

หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมอวกาศ คือการมาถึงของจรวดแบบ “Reusable Launch Vehicles” โดยเฉพาะ Falcon 9 ของ SpaceX ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติต้นทุนการเข้าสู่อวกาศ จากที่เคยต้องเผาเงินหลักร้อยล้านดอลลาร์เพื่อปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร การนำส่วนหนึ่งของจรวดกลับมาใช้ใหม่ได้ ทำให้ต้นทุนลดลงมาอยู่ที่หลักสิบล้าน หรือในบางกรณีที่มีการแชร์ภารกิจร่วมกับดาวเทียมหลายดวง ก็อาจถูกลงไปอีกหลายเท่าตัว จุดนี้เปลี่ยนสมการทางเศรษฐศาสตร์ของดาวเทียมไปโดยสิ้นเชิง เพราะการยิงดาวเทียมไม่ใช่การลงทุนระยะยาวที่ต้องวางแผนแบบ “รออีกสิบปีค่อยยิงใหม่” อีกต่อไป แต่กลายเป็นโมเดลที่เปิดโอกาสให้การลองผิดลองถูก และการ Iterate เกิดขึ้นได้จริงในระดับอุตสาหกรรม

จรวด Falcon 9 ของ SpaceX

เมื่อจรวดราคาถูกลง สิ่งที่เปลี่ยนตามมา คือ Application ของดาวเทียม ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากที่เคยใช้เพื่อวิจัยอวกาศ หรือสื่อสารระหว่างทวีปในระดับรัฐบาลหรือองค์กรขนาดใหญ่ ตอนนี้ดาวเทียมเริ่มถูกใช้ในระดับ “Consumer-Grade” มากขึ้น เช่น การให้สัญญาณกับอุปกรณ์ Internet of Things (IoT) ติดตามรถบรรทุก เครื่องบิน เรือ หรือแม้แต่การให้บริการอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่สามารถวางเสาสัญญาณได้ จุดนี้ทำให้คำถามจากเดิมที่ว่า “เราจะทำดาวเทียมให้ดีแค่ไหน” กลายเป็น “เราจะทำดาวเทียมให้เยอะและครอบคลุมแค่ไหน” แทน เพราะการให้บริการแบบ Global Coverage จำเป็นต้องมีดาวเทียมหลายร้อยหรือหลายพันดวง ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในยุคที่ยังใช้จรวดแบบยิงครั้งเดียวทิ้งเหมือนเมื่อสิบปีก่อน

การสื่อสารระหว่างดาวเทียม Starlink แต่ละดวงด้วย Laser Communication ที่มา – SpaceX

ไม่ใช่แค่จำนวนเท่านั้นที่เปลี่ยน เทคโนโลยีในตัวดาวเทียมเองก็พัฒนาไปไกล การใช้ระบบสื่อสารผ่านเลเซอร์ หรือที่เรียกว่า Laser Communication/Inter-satellite Link ทำให้ดาวเทียมไม่จำเป็นต้องส่งข้อมูลลงโลกบ่อย ๆ แต่สามารถสื่อสารกันเองเป็นเครือข่ายกลางอวกาศ ก่อนจะค่อย ๆ ส่งข้อมูลกลับมายังสถานีภาคพื้นดินที่มีความพร้อม จุดนี้ลดปัญหาคอขวดของระบบลงได้มาก ขณะเดียวกัน เทคโนโลยี Beamforming และ High Throughput Satellite ก็ทำให้ดาวเทียมหนึ่งดวงสามารถให้บริการได้กับผู้ใช้จำนวนมากขึ้น พร้อมความเร็วที่สูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนต่อผู้ใช้งาน (Cost per User) ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และนี่คือเหตุผลว่าทำไมบริษัทต่าง ๆ ถึงกล้าทุ่มเงินสร้างระบบดาวเทียมแบบ Constellation หลายพันดวง เพราะมัน “คุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์” มากกว่าที่เคยเป็น

ผลิตในลักษณะสายพานการผลิต ลดต้นทุนมหาศาล

อีกหนึ่งสิ่งที่พลิกวงการมาก คือการที่อุตสาหกรรมอวกาศกำลังเรียนรู้จากบทเรียนของอุตสาหกรรมการผลิตในศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะแนวคิดแบบ Fordism และ Lean Manufacturing การใช้สายพานการผลิต Assembly Line ที่เคยเปลี่ยนโลกของรถยนต์เมื่อร้อยปีก่อน กำลังถูกนำมาใช้กับการสร้างดาวเทียม ไม่ว่าจะเป็นการทำ Feedback Loop ระหว่างแต่ละ Batch ที่ผลิต การควบคุมคุณภาพแบบ Total Quality Management (TQM) หรือแม้แต่การใช้ระบบ Just-In-Time ในการสั่งซื้อและส่งมอบชิ้นส่วนจาก Supplier เพื่อไม่ต้องเสียพื้นที่และต้นทุนในการสต็อกของไว้ล่วงหน้า จุดนี้เปลี่ยนบทบาทของวิศวกรจาก “นักออกแบบระบบเฉพาะกิจ” มาเป็น “ผู้ออกแบบระบบซ้ำได้และปรับปรุงได้ทุกสัปดาห์” ซึ่งถือเป็น Mindset ที่ต่างจากโลกอวกาศแบบเดิมโดยสิ้นเชิง นึกภาพจากยุคที่เราต้องซื้อซอฟแวร์ เป็นกล่อง ๆ กลายเป็นยุคที่ซอฟแวร์อัพเดทกันทุกวัน Patch กันทุกวัน

ดาวเทียม Starlink V2 mini ของ SpaceX ที่วางเรียงกันรอการปล่อย ที่มา – SpaceX

ผลกระทบของทั้งหมดนี้ ทำให้ Product Lifecycle ของดาวเทียมสั้นลงอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิมที่หนึ่งดวงต้องใช้งานได้ 10-15 ปี เพราะต้องคุ้มค่ากับค่าจรวดมหาศาล กลายเป็นยุคที่ดาวเทียมรุ่นใหม่จะถูกยิงทุก ๆ ปี หรือบางทีอาจจะรายไตรมาสด้วยซ้ำ แนวคิดนี้ไม่ต่างจากวงการมือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่เวอร์ชันใหม่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดในเวลาแค่ไม่กี่เดือน ผลที่ตามมา คือระบบ Supply Chain ต้อง Agile มากพอจะตามให้ทัน และสายพานการผลิตก็ต้องออกแบบมาให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงแทบจะตลอดเวลา ให้นึกภาพว่าตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา SpaceX ออกแบบ Starlink รุ่นย่อย ๆ ปรับปรุงนู่นนี่มาหลาย Batch มาก ซึ่งถ้าเรามองในมุมดาวเทียมดวงใหญ่อย่างในยุคก่อน 5 ปีนี่แทบจะอยู่ในขั้นตอนการวางแผน ยกตัวอย่างง่าย ๆ Thaicom 4 ของเราใช้มา 20 ปีแล้ว เปรียบเทียบกับ Starlink ที่ 5 ปีก็ Deorbit แล้ว

Amazon ก่อสร้างโรงงานสร้างดาวเทียม Kuiper แห่งใหม่ใกล้กับ NASA Kennedy Space Center ที่มา – Amazon

และเมื่อประตูบานนี้เปิดออก สิ่งที่ตามมาก็คือผู้เล่นหน้าใหม่ที่เริ่มสร้าง “โรงงานดาวเทียม” ขึ้นมาจริง ๆ เช่น Project Kuiper ของ Amazon ที่กำลังเร่งสร้าง Constellation นับพันดวง โดยอาศัยโมเดลโรงงานแบบเดียวกับ Starlink ตั้งเป้าผลิตดาวเทียมได้ เดือนละหลายร้อยดวง และใช้การปล่อยแบบหลายดวงต่อรอบกับจรวด Vulcan หรือ Atlas V ที่มีดีลกับ ULA อยู่แล้ว Kuiper อาจจะมาช้ากว่า Starlink แต่ตั้งใจจะ “มาทัน” ด้วยการข้ามขั้นและทุ่มทุนสร้าง Production Line ให้ทันยุค สามารถอ่านได้จากบทความ ส่องธุรกิจอินเทอร์เน็ตดาวเทียมของ Amazon หลังเริ่มต้นส่องดาวเทียมชุดแรก

อีกฝั่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ ดาวเทียมจีน ทั้งจากภาครัฐและเอกชนอย่าง GalaxySpace, Qianfan ที่วางแผนสร้าง Constellation ขนาดใหญ่หลายหมื่นดวง เทียบเท่าหรือเกิน Starlink ไปอีกขั้น พวกเขาเริ่มพูดถึงแนวคิด “Smart Satellite Factory” ที่ไม่ใช่แค่ผลิตเยอะ แต่ใช้ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และ AI มาช่วยควบคุมคุณภาพ ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้นจริง ก็จะเป็นอีกก้าวของการเปลี่ยนอุตสาหกรรมดาวเทียมแบบองค์รวม เราเคยเล่าเรื่องนี้ไปในบทความ พาบุก China Space Day 2025 อัพเดทเทคโนโลยี วิเคราะห์ก้าวต่อไปของอวกาศจีน ซึ่งก็ต้องบอกว่าจีนน่าจับตามอง (มาก ๆ) เพราะเราก็รู้ว่าจีนเก่งเรื่องการเป็น “โรงงาน” แค่ไหน

การที่ดาวเทียมมาอยู่บน Production Line ไม่ใช่แค่เปลี่ยนวิธีการผลิต แต่มันคือการเปลี่ยนวิธีคิดทั้งหมดเกี่ยวกับอวกาศ จากสิ่งที่เคยเป็น High Risk, High Cost, Long Timeline สู่สิ่งที่คล้ายกับวงจรของ Consumer Electronics มากขึ้นเรื่อย ๆ

Mass Production ทำให้ต้นทุนของการเข้าถึงอวกาศลดลง และเปิดโอกาสให้ผู้เล่นใหม่เข้ามาในตลาดได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเล็ก ๆ ที่สามารถซื้อ Bus จากบริษัทอื่นแล้วใส่ Payload ตัวเอง หรือ Startup ที่สามารถใช้บริการการปล่อยแบบ Ridshare ในการปล่อยดาวเทียมแรกของตน ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลและมหาวิทยาลัยก็สามารถทำภารกิจวิจัยหรือบริการสาธารณะโดยไม่ต้องรอทุนมหาศาลอีกต่อไปเพราะต้นทุนที่ต่ำลงและอุปกรณ์ที่พร้อมใช้งานได้ทันที

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องไปถึงขั้นโรงงานถึงจะได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้ ยังมีผู้เล่นอีกกลุ่มที่ได้แรงส่งจากแนวคิดเดียวกัน นั่นคือ ผู้พัฒนา SmallSat หรือ CubeSat ที่เลือกใช้ Satellite Bus แบบมาตรฐาน เช่น Microsat Platform จาก Blue Canyon Technologies, Spire หรือ Astranis (ซึ่ง Thaicom 9 ก็จะเป็น Astranis – Thaicom Strengthens Its Fleet At 119.5 Degrees East With Thaicom-9, Provided By Astranis) ซึ่งทำให้การสร้างดาวเทียมเฉพาะทางสำหรับภารกิจอย่างถ่ายภาพ, ติดตามเรือ, หรือแม้แต่รับ-ส่งข้อมูล IoT สามารถทำได้เร็วขึ้น ถูกลง และวางแผนล่วงหน้าได้นานขึ้น เพราะไม่ต้องออกแบบใหม่ทั้งระบบ

ซึ่งก็ต้องแยกให้ชัดว่า SmallSat และ CubeSat กลุ่มนี้ ยังไม่ได้เข้าสู่ยุค Lean Manufacturing เต็มตัว เพราะหลายรายยังพึ่งพา “การประกอบเอง” หรือ “การสั่งผลิตเป็นล็อตเล็ก” อยู่ การผลิตยังคงอยู่ในเฟส Semi-Custom มากกว่า Standard Product บนสายพาน แต่ลองคิดดูสิว่าถ้าวันนึง SmallSat ทั่วไปกลายมาเป็น Product เหมือนกับ Starlink ขึ้นมา เกมดาวเทียมจะเปลี่ยนไปแค่ไหน

ดาวเทียมตระกูล MicroGEO ซึ่งเป็นดาวเทียมขนาดเล็กของ Astranis จะสังเกตว่าขนาดเล็กลงกว่าดาวเทียม GEO ยุคก่อนมาก ๆ ที่มา – Astranis

ดังนั้น หากจะพูดถึงดาวเทียมที่เข้าใกล้ “Lean แบบจริงจัง” ที่สุดในปัจจุบัน ก็ยังมีไม่กี่เจ้า Starlink, Kuiper, และอาจรวมถึง OneWeb รุ่นใหม่ ที่เริ่มใช้สายการผลิตมาตรฐาน และผลิตด้วย Mindset ของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ มากกว่าวิศวกรรมการบินอวกาศแบบดั้งเดิม

อนาคตของโลกที่เราจะทำดาวเทียมกันเป็นเรื่องปกติ

การที่มนุษย์สามารถผลิตดาวเทียมจากหลักสิบมาสู่หลักพัน และกำลังจะกลายเป็นหลักหมื่น มันไม่ใช่แค่ความสำเร็จของเทคโนโลยี แต่มันคือการเปลี่ยน Paradigm ของอวกาศทั้งใบ จากการเป็นงานแฮนด์เมดของวิศวกรไม่กี่คน สู่การเป็นอุตสาหกรรมที่มีสายพานการผลิตและ Feedback Loop ที่เรียนรู้ได้แบบเรียลไทม์ สิ่งนี้ไม่ใช่แค่ทำให้เราได้อินเทอร์เน็ตเร็วขึ้น หรือดูโลกจากอวกาศชัดขึ้น แต่มันคือการปูรากฐานให้ “อวกาศ” กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานอีกชุดหนึ่งของมนุษยชาติ

ลองคิดเล่น ๆ ว่า ถ้าเราผลิตดาวเทียมได้เหมือนการผลิตมือถือ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราสามารถอัปเดตดาวเทียมทุกปีเหมือนเราปล่อย iPhone รุ่นใหม่ หรือถ้าโรงเรียนเล็ก ๆ ในชนบทมีดาวเทียมเฉพาะกิจที่เชื่อมกับระบบการเรียนรู้โลกทั้งใบ หรือถ้าฟาร์มแห่งหนึ่งในแอฟริกาสามารถสั่งดาวเทียมถ่ายภาพแปลงเกษตรตัวเองได้ในราคาหลักร้อย หรือถ้าเมืองหนึ่งอยากสำรวจโครงสร้างใต้อาคาร ก็แค่ยิง CubeSat ขึ้นไปด้วย Payload เฉพาะทางที่ Customize มาให้ภายใน 3 เดือน ได้ผลเสร็จก็ปล่อยดาวเทียม Deorbit ตัวเองทิ้งไป

นี่คืออนาคตที่ไม่ไกลเกินไป ถ้าเราเข้าใจว่า “โรงงานดาวเทียม” คืออะไร และเข้าใจว่าการเข้าใกล้ต้นทุนที่ต่ำลงเรื่อย ๆ จะเปิดประตูให้ใครก็ได้ “สั่งผลิตอวกาศ” ได้เหมือนสั่งของจากโรงงานในเซินเจิ้น โลกหลังยุค Fordism เปลี่ยนทุกอุตสาหกรรมที่มันแตะ และตอนนี้ Fordism กำลังมาเยือนอวกาศ คำถามจึงไม่ใช่ว่า “เราควรทำดาวเทียมเยอะขนาดนั้นไหม” แต่ควรถามว่า “ถ้าเราทำได้ เราจะใช้มันเปลี่ยนโลกยังไงดี”

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.