พาบุก China Space Day 2025 อัพเดทเทคโนโลยี วิเคราะห์ก้าวต่อไปของอวกาศจีน

ทุกประเทศที่พัฒนาอุตสาหกรรมอวกาศล้วนมี “วันสำคัญ” เป็นของตัวเอง ของจีน วันนั้นคือวันที่ 24 เมษายน — วันเดียวกับที่ดาวเทียมดวงแรกของประเทศ Dong Fang Hong-1 ถูกปล่อยขึ้นสู่วงโคจรในปี 1970 และนับจากปี 2016 เป็นต้นมา วันที่ 24 เมษายนได้กลายเป็น China Space Day อย่างเป็นทางการ ในมุมหนึ่ง มันคือวันเฉลิมฉลองความสำเร็จทางเทคโนโลยี แต่อีกมุมหนึ่ง มันคืองานแสดงพลังเชิงนโยบายของประเทศที่มอง “อวกาศ” ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่คือ โครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ของโลกใหม่

ปีนี้ China Space Day 2025 จัดขึ้นที่ นครเซี่ยงไฮ้ เมืองที่ไม่ได้มีแค่ตึกสูงหรือเศรษฐกิจโลก แต่กำลังแปรสภาพเป็นเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมอวกาศแบบเต็มตัว เดินเข้าไปใน Exhibition Hall เหมือนเดินเข้าอีเวนต์ระดับโลกอย่าง IAC ที่ปารีสตอนปี 2022 แค่ครั้งนี้ Host คือรัฐบาลจีน

ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงปลายปี 2024 เราได้เขียนบทความ สรุปกิจกรรมในวงการอวกาศไทย 2024 เมื่อไทยหันร่วมมือสำรวจอวกาศกับจีนมากขึ้น เพื่ออัพเดทโครงการอวกาศต่าง ๆ ของไทย จะเห็นว่าไทยมีแนวโน้มการสำรวจอวกาศไปทางจีนอย่างชัดเจน ทำให้ในงานวันนี้ถือว่าเป็นความน่าสนใจอย่างมากที่เราจะได้มาอัพเดทกันว่า แล้วหลังจากนี้เราจะได้เห็นอะไร

นิทรรศการการสำรวจดวงจันทร์ของจีน ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

ทันทีที่เข้ามาในนิทรรศการ โซนที่โดดเด่นที่สุดคือบูธของ China National Space Administration หรือ CNSA ที่จัดเต็มภารกิจล่าสุดอย่าง Chang’e-6, Chang’e-7 และ Chang’e-8 ซึ่งถูกวางเรียงต่อกันเหมือน Timeline ของอนาคต เริ่มตั้งแต่การเก็บตัวอย่างดินจากด้านไกลของดวงจันทร์กลับสู่โลก ไปจนถึงการตั้งถิ่นฐานแบบถาวร ซึ่งจีนเองก็ได้เอาทั้งแคปซูลของยานอวกาศ Chang’e 5 และตัวอย่างดินดวงจันทร์มาจัดแสดงในงานนี้ด้วยเช่นกัน

แสดงตัวอย่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จีนพัฒนาขึ้นมาในโครงการ Chang’e ที่จะนำไปสู่การวางถิ่นฐานถาวรบนดวงจันทร์ วางไว้เป็นดาวเทียมทวนสัญญาณจากด้านหลังดวงจันทร์ ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth
ดาวเทียม Queqiao ระบบสื่อสารในอวกาศที่จีนวางไว้เป็นดาวเทียมทวนสัญญาณจากด้านหลังดวงจันทร์ ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

ข้าง ๆ กันมีโซนของ Tianwen-2 และ Tianwen-3 ที่จะเป็นการทำ Mars Sample Return จากฝั่งจีน ภารกิจสำรวจดาวเคราะห์น้อยและการส่งตัวอย่างกลับโลกที่แสดงให้เห็นว่า จีนไม่ได้อยากไปแค่ดวงจันทร์ แต่กำลังออกนอกระบบดวงจันทร์เพื่อวางรากฐานการสำรวจระบบสุริยะในอีก 10 ปีข้างหน้า และแน่นอนว่าทั้งหมดนี้ผูกโยงกันด้วยชื่อที่เราคุ้นกันดีในวงการตอนนี้อย่าง ILRS หรือ International Lunar Research Station แผนการร่วมพัฒนาสถานีวิจัยบนดวงจันทร์ที่จีนกำลังจับมือกับหลายประเทศรวมถึงไทย

ตัวอย่างดินดวงจันทร์ที่ถูกเก็บมาจากภารกิจ Chang’e 5 ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

International Lunar Research Station คือโปรเจกต์ที่เริ่มต้นจากความร่วมมือระหว่างจีนกับรัสเซีย โดยมีเป้าหมายใหญ่คือการสร้างสถานีวิจัยถาวรบนดวงจันทร์ภายในช่วงทศวรรษ 2030 ฟังดูเหมือนโครงการระหว่างสองมหาอำนาจ แต่ความจริงคือ ตอนนี้จีนแทบจะเป็นคนขับทั้งคัน ในขณะที่รัสเซียเหลือบทบาทแค่ “นั่งข้าง ๆ” แบบหลับ ๆ ตื่น ๆ

เดิมทีรัสเซียตั้งใจจะใช้ภารกิจ Luna-25 เป็นต้นทางสำหรับกลับมาโชว์ศักยภาพด้านการสำรวจอวกาศของตัวเอง Luna 25 ภารกิจดวงจันทร์ของรัสเซียที่รอนานกว่า 47 ปี แต่ก็ล้มเหลวตั้งแต่ยกแรก ยานตกตั้งแต่ยังไม่ถึงพื้นผิวดวงจันทร์ และหลังจากนั้นก็แทบไม่มีผลงานอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอันให้เห็นอีกเลย ความจริงก็คือ งบวิจัยหาย กำลังคนรั่ว และเทคโนโลยีล้าหลัง ทำให้รัสเซียค่อย ๆ หลุดจากการเป็นผู้นำอวกาศแบบที่เคยเป็นในยุคโซเวียต

ระบบยาน Chang’e 5 ที่ประสบความสำเร็จในการนำตัวอย่างดินดวงจันทร์กลับโลก ด้านขวาคือแคปซูลของจริงที่เดินทางกลับโลกนำมาจัดแสดง ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

พูดง่าย ๆ ILRS อาจจะเริ่มจากจีนกับรัสเซีย แต่ตอนนี้จีนคือคนถือหางเสือ และเริ่มเชิญประเทศอื่น ๆ เข้ามาร่วมวงแทน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในแถบเอเชีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ ซึ่งหลายประเทศก็ตอบรับ เพราะเห็นว่าอย่างน้อย จีนก็ยัง “ทำให้ของมันเสร็จ” และเปิดพื้นที่ให้มีตัวเลือกอื่นนอกจากการไปร่วมงานกับ NASA หรือ ESA ที่มีกติกาเข้มงวดกว่ามาก

เปิดตัวการทดลองของคนไทยสู่ผิวดวงจันทร์

ไฮไลต์สำคัญที่ทำให้คนไทยต้องตั้งใจฟังคือ ข่าวอัปเดตเกี่ยวกับ ความร่วมมือไทย–จีน ภายใต้กรอบ ILRS ที่เพิ่งลงนามอย่างเป็นทางการเมื่อ เดือนเมษายน 2024 ที่ผ่านมา ที่เราเคยเล่าไปในบทความ วิเคราะห์ไทยเซ็น ILRS เป็นทางการ หลังร่วมส่งอุปกรณ์บนฉางเอ๋อ 7 โดยมี Payload ถึงสองตัวจากประเทศไทยที่ต่อคิวอยู่ในภารกิจดวงจันทร์ของจีน

ตัวแรกคือ MATCH เครื่องมือวัดรังสีคอสมิกที่พัฒนาโดยทีมของศาสตราจารย์ David Ruffolo จากมหาวิทยาลัยมหิดล และอีกตัวคือ ALIGN ซึ่งเปิดตัวสด ๆ ร้อน ๆ ในงาน China Space Day นี้ ร่วมกับ Payload อีกกว่า 10 ประเทศ ที่เป็นพันธมิตรในโครงการอวกาศกับจีน ความร่วมมือนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก และไม่ใช่ทุกประเทศจะได้ มันคือประตูที่เปิดเข้าระบบนิเวศของอวกาศระดับลึก ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกสงวนไว้แค่ประเทศมหาอำนาจเท่านั้น

ยานอวกาศ Chang’e 8 นั้นมีกำหนดลงจอดใกล้ขั้วใต้ดวงจันทร์ในปี 2029 พันธมิตรในภารกิจนี้ประกอบด้วย ไทย, รัสเซีย, อิตาลี, ปากีสถาน, ตุรกี, อิหร่าน, อียิปต์, บาห์เรน, แอฟริกาใต้, เปรู และ ฮ่องกง ซึ่งต่างมีบทบาทแตกต่างกัน นอกจากของไทยเราแล้วยังมี รถสำรวจจากปากีสถานและตุรกี, กล้องถ่ายภาพพื้นผิวจากบาห์เรนและอียิปต์, หุ่นยนต์จากฮ่องกง, อุปกรณ์ดาราศาสตร์จากเปรูและแอฟริกาใต้, เลเซอร์จากอิตาลี, อุปกรณ์พลาสมาจากรัสเซีย, เครื่องมือวัดจากอิหร่าน ซึ่งนับเป็นความร่วมมือที่หลากหลายและเปิดกว้างที่สุดเท่าที่จีนเคยเปิดรับในภารกิจแบบนี้

MATCH หรือ Moon-Aiming Thai-Chinese Hodoscope การทดลองของคนไทยที่จะไปติดตั้งบนยาน Chang’e 7 ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

ALIGN หรือ Assessing Lunar Ion-Generated Neutrons คืออุปกรณ์ตรวจจับนิวตรอนที่พัฒนาโดยนักวิทยาศาสตร์ไทย ใช้เทคนิค Passive Neutron Detection เพื่อ “ฟัง” นิวตรอนที่ถูกปล่อยออกมาเองตามธรรมชาติ จากการที่อนุภาคพลังงานสูง เช่น รังสีคอสมิก หรือพายุสุริยะ พุ่งชนพื้นผิวดวงจันทร์ สามารถอ่านหลักการ การทำงานและข้อมูลเชิงลึกได้ในบทความ ALIGN เครื่องมือไทยที่จะถูกส่งไปยังดวงจันทร์พร้อมกับ Chang’e 8

Assessing Lunar Ion-Generated Neutrons ที่จะไปติดตั้งบนยานลงจอดของภารกิจ Chang’e 8 ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

เมื่อรังสีพุ่งชนผิวดวงจันทร์ ก็เหมือนยิงลูกเหล็กลงทราย แรงกระแทกจะทำให้นิวตรอนกระเด็นออกมา การตรวจวัดนิวตรอนเหล่านี้จะช่วยบอกคุณสมบัติของดินดวงจันทร์ เช่น ความหนาแน่น องค์ประกอบ และที่สำคัญบอกได้ว่ามีน้ำแข็งหรือน้ำซ่อนอยู่หรือไม่ ซึ่งเป็นหัวใจของการสร้างระบบสนับสนุนชีวิตในอนาคตด้วยขนาดแค่ 3.5 กิโลกรัม และกินไฟเพียง 15 วัตต์ ALIGN จึงถือเป็น Payload ขนาดเล็กแต่ทรงพลังที่ออกแบบมาเพื่อไขปริศนาเรื่องทรัพยากรบนดวงจันทร์โดยเฉพาะ

บทความอื่น ๆ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้อง เจาะลึกนิทรรศการของ NARIT ภายใต้ความร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจ TCP ใน อว. แฟร์ มาครบเหมือนยกเชียงใหม่มา

โครงสร้างพื้นฐานด้านการสำรวจอวกาศ

ในงานนิทรรศการ China Space Day 2025 จีนได้นำโมเดลของดาวเทียมและยานอวกาศหลากหลายประเภทมาโชว์อย่างอลังการ และสิ่งที่เห็นได้ชัดคือ จีนไม่ได้แค่มีของครบ แต่มีครบแบบ “ระดับลึก” และ “ระดับชาติ” จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นดาวเทียมสำรวจโลกด้วยแสงแบบ Optical Earth Observation ซึ่งเป็นพื้นฐานของการทำแผนที่ วิเคราะห์การใช้พื้นที่ ไปจนถึงการคาดการณ์ภัยธรรมชาติ หรือดาวเทียม Synthetic Aperture Radar หรือ SAR ที่ใช้เรดาร์สแกนพื้นผิวโลกแม้ในเวลากลางคืนหรือในสภาพอากาศปิดทึบ ซึ่งเทคโนโลยี SAR นี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเฝ้าระวังภัยพิบัติ การตรวจจับแผ่นดินไหว การขยับตัวของเปลือกโลก และแม้แต่การสังเกตภูเขาน้ำแข็งในขั้วโลก ซึ่งในอดีตเคยเป็นเทคโนโลยีที่สงวนไว้เฉพาะประเทศที่มีศักยภาพสูง เช่น สหรัฐฯ, เยอรมนี หรือญี่ปุ่น

ตระกูลดาวเทียมสำรวจโลกของจีนตระกูล Gaofen ที่ทำหน้าที่ถ่ายภาพความละเอียดสูงและทำ Remote Sensing ที่สำคัญของจีน ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

แต่ตอนนี้ จีนมีของเหล่านี้ทั้งหมดในมือ และที่น่าสนใจกว่าคือเขาไม่ต้องพึ่งตะวันตกเลยแม้แต่น้อย เพราะทั้ง Payload, Platform และระบบวิเคราะห์ข้อมูลหลังบ้าน ล้วนเป็นของจีนเอง

อีกหนึ่งชิ้นที่ขาดไม่ได้ใน Ecosystem ของจีนคือดาวเทียมนำทาง BeiDou (เป่ยโต่ว) ซึ่งถือเป็น “GPS เวอร์ชันจีน” และตอนนี้ก็ให้บริการทั่วโลกแล้วอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่ในจีนหรือเอเชียแปซิฟิกอีกต่อไป การมีระบบนำทางของตัวเองหมายความว่าในสถานการณ์สงคราม หรือความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ จีนสามารถควบคุมระบบโลจิสติกส์ การบิน และอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการระบุตำแหน่งได้อย่างอิสระ ไม่ต้องกังวลว่าถ้าสหรัฐฯ ปิดสัญญาณ GPS จะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ทำให้จีนจริงจังกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางอวกาศแบบ “ไม่พึ่งพาใคร”

ดาวเทียม Tianguan หรือที่เรารู้จักกันในนาม Einstein Probe ของจีน ซึ่งทำแผนที่เอกภพในย่าน X-Ray ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

ภาพรวมทั้งหมดนี้ ทำให้บูธนิทรรศการของจีนในงานครั้งนี้ดูไม่ต่างจากการรวมตัวของ NASA และ ESA เวอร์ชันภาษาจีน ที่ไม่ได้มีแค่ของโชว์ แต่มีครบทุกฟังก์ชัน ทั้งยาน Relay สำหรับสื่อสารกับภารกิจดวงจันทร์, ดาวเทียมควอนตัมที่ใช้เทคโนโลยี Quantum Key Distribution หรือ QKD, และยังมีภารกิจแบบ Deep Science อย่าง Einstein Probe สำหรับตรวจจับแหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์ในเอกภพ ไปจนถึงดาวเทียมแบบ GRACE ของ NASA ที่ใช้วัดความผิดปกติของแรงโน้มถ่วงของโลกด้วยความละเอียดระดับมิลลิเมตร ซึ่งจีนก็มีโครงการในลักษณะเดียวกันในชื่อ ChiGaM หรือ Chinese Gravimetry Augment and Mass Change Exploring Mission

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในขณะที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับปัญหา ส่องร่างงบ NASA และ NOAA ปี 2026 ตัดงบกว่าครึ่ง เสี่ยงยุบกล้อง Nancy Roman และ Mars Sample Return  หรือเมื่อช่วงปีก่อนเราก็ได้เห็น วิกฤติตัดงบกล้องโทรทรรศน์อวกาศจันทรา หายนะทางวิทยาศาสตร์และการเมือง ในขณะที่กล้อง Einstein Probe ของจีน ซึ่งทำหน้าที่เหมือน Chandra ได้สร้างการค้นพบต่าง ๆ ใหม่ ๆ มากมายในวงการฟิสิกส์ดาราศาสตร์

การทดลอง Quantum Key Distribution ที่เดินทางไปกับยาน Jinan กลายเป็นดาวเทียมดวงแรกที่ใช้การสื่อสารควอนตัม ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “จีนไม่ได้ตามหลังใคร” และที่สำคัญคือจีนกำลังสร้าง Ecosystem ทางอวกาศที่ไม่ต้องพึ่งพาตะวันตกแม้แต่น้อย และยังสามารถส่งต่อเทคโนโลยีเหล่านี้ให้กับประเทศที่กำลังพัฒนารวมถึงประเทศไทยได้โดยตรง โดยไม่ติดข้อจำกัดทางการเมืองหรือความมั่นคงแบบที่เคยเจอจากโลกตะวันตก

ระบบนิเวศน์ด้านอวกาศของจีน

แต่ความทะเยอทะยานของจีนไม่ได้จบแค่การพาเอาการทดลองจากพันธมิตรขึ้นดวงจันทร์ ในงานนี้ สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือการเห็นภาพรวมของ “ระบบนิเวศอวกาศ” ที่จีนสร้างมาอย่างเป็นระบบ และกำลังเติบโตจากรัฐไปสู่เอกชนอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าศูนย์กลางของระบบนี้ยังคงเป็น CASC หรือ China Aerospace Science and Technology Corporation ซึ่งทำหน้าที่พัฒนาและปล่อยจรวด Long March แทบทุกรุ่นภายใต้บริษัทลูกต่าง ๆ เช่น CALT หรือ China Academy of Launch Vehicle Technology บ้านของจรวดตระกูล Long March-2, 3, 4 และ 5

บริษัทที่เรียกได้ว่าเป็นรากฐานสำคัญของการสร้างองค์ความรู้ในจีน CASC ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

นอกจากนี้ยังมี SAST หรือ Shanghai Academy of Spaceflight Technology ที่เน้นพัฒนาจรวด Long March รุ่นเล็ก และยังมี AALPT ผู้เชี่ยวชาญด้าน Liquid Propulsion และ AASPT เจ้าแม่ Solid Propulsion ของจีน ที่มาร่วมจัดนิทรรศการแสดงผลงานล่าสุด ซึ่งทาง CASC นั้น เน้นไปที่ศักยภาพของการปล่อยจรวดทั้งทางบก และทางทะเล และเมื่อช่วงปีก่อน จีนก็เพิ่งอัพเดทไลน์จรวดของตัวเองใหม่ ตามที่เรารายงานไปในข่าว จีนอัพเดทจรวดรุ่นใหม่ และเปิดตัวเครื่องบินอวกาศฮ่าวหลง ดีไซน์คล้าย X-37B

งานหุ่นยนต์การผลิตที่อาศัยการทำ Precision Machining กับงานชิ้นส่วนยานอวกาศความละเอียดสูง ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

CASC ยังคงหยิบเอาเรื่อง Precision Machining มาเล่าอย่างจริงจัง ใครจะคิดว่าการกลึงโลหะระดับไมครอนเพื่อผลิตวาล์ว ท่อ หรือข้อต่อเล็ก ๆ จะดูเท่ได้ขนาดนี้ แต่พอเป็นจีน จีนก็ไม่ทำให้มันแค่ “เท่” แต่เขายกเครื่องจักรจริงมาโชว์ขั้นตอนการผลิตเลยว่า จากวัตถุดิบในประเทศ ผ่านแรงงานที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าอเมริกา และเทคโนโลยีที่เขาพัฒนาขึ้นมาเองทั้งหมดนั้น ทำให้จีนมีศักยภาพในการ “ผลิตทุกอย่างเองได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ” แบบที่เรียกได้ว่าเป็น Industrial Revolution เวอร์ชันของตัวเองไปแล้ว

CALT บริษัทรัฐวิสาหกิจภายใต้ CASC ที่พัฒนาระบบการปล่อยให้กับจีน ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

ลองเทียบกับ SpaceX ที่ใช้แนวคิด Vertically Integrated Manufacturing เช่นเดียวกัน คือพยายามทำทุกอย่าง In-House เพื่อลดต้นทุนและควบคุมคุณภาพ จีนก็เดินเกมเดียวกัน แต่มาในสเกลที่ใหญ่มาก ๆ มีทั้งรัฐหนุน เครื่องมือพร้อม ตลาดในประเทศมหาศาล และกำลังจะมีดาวเทียมอินเทอร์เน็ตนับหมื่นดวงของตัวเองในอวกาศ ความน่ากลัวอยู่ตรงนี้ จีนไม่ได้แค่ผลิตจรวดได้ แต่จีนผลิตโรงงานที่ผลิตจรวดได้ด้วย และทั้งหมดกำลังทำงานพร้อมกันในลูปที่มีแต่จะโตขึ้นเรื่อย ๆ

นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงยานอวกาศ “Qingzhou” ยานขนส่งเติมเสบียงให้กับสถานีอวกาศ Tiangong รุ่นใหม่ของจีน ที่เพิ่งเปิดตัวแบบ Life-size Model ครั้งแรกที่งาน Space Day of China นี่ด้วย

โมเดลจำลองยานขนาดเท่าของจริงของ Qingzhou ยานอวกาศเติมเสบียงรุ่นใหม่ของจีน ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

Qingzhou ไม่ใช่แค่ยานรุ่นใหม่ที่ดูเท่กว่าเดิม แต่มันคือตัวแทนยุทธศาสตร์ระยะยาวของจีนในด้าน “Logistics in Space” เพราะภารกิจหลักของมันคือการส่งของขึ้นไปยังสถานีอวกาศ Tiangong รวมถึงภารกิจส่งกำลังบำรุงในอนาคตที่อาจไกลกว่านั้น เช่น ดวงจันทร์ หรือภารกิจวงโคจรอื่น ๆ จุดที่น่าสนใจคือ Qingzhou ถูกพัฒนาโดยสถาบัน Innovation Academy for Microsatellites ซึ่งอยู่ภายใต้ Chinese Academy of Sciences และนับว่าเป็นยานเติมเสบียงรุ่นที่สองของจีนต่อจากยาน Tianzhou ที่ทำหน้าที่อยู่ ณ​ ปัจจุบัน

บริษัทอวกาศเอกชนของจีนที่เติบโตอย่างหยุดไม่อยู่

ในขณะเดียวกัน ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เราเห็นบริษัทเอกชนจีนผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด และพัฒนาเร็วอย่างไม่น่าเชื่อในงาน China Space Day เราได้เห็นบริษัทอวกาศเอกชนสัญชาติจีน เข้ามานำเสนอผลงานจรวด ซึ่งก็มีทั้งที่ประสบความสำเร็จแล้ว และยังอยู่ระหว่างพัฒนา ใครที่ติดตามข่าวจากเราน่าจะคุ้นชินกับชื่อของบริษัทอวกาศจีนเหล่านี้อย่างดี

เริ่มต้นจากบริษัท LandSpace เจ้าของจรวด Zhuque-2 ซึ่งเป็นจรวดที่ใช้เชื้อเพลิงมีเทนรุ่นแรกของโลกที่ปล่อยสำเร็จจริง ประสบความสำเร็จไปในปี 2022 ชนะ SpaceX ไปแบบเงียบ ๆ ตามมาด้วย Deep Blue Aerospace บริษัทที่วิ่งตามแนวทาง Reusable Vertical Landing แบบ Falcon 9 โดยปล่อยทดสอบมาแล้วหลายเที่ยวบิน

โดยใครที่สนใจพัฒนาการของจรวดจีนในปีที่ผ่านมาเราแนะนำให้อ่านบทความ สรุปกิจกรรมด้านการบินอวกาศ 2024 ปีแห่งการผลักดันพรมแดนเทคโนโลยีจรวด

เครื่องยนต์ของจรวด Zhuque-2 ที่เป็นเครื่องยนต์มีเทนรุ่นแรกของโลกที่ประสบความสำเร็จในการขึ้นสู่วงโคจร ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

หรือ Space Pioneer เปิดตัวด้วย Tianlong-2 จรวดขนาดกลางที่ ปล่อยสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก และกำลังเตรียมพัฒนาเวอร์ชัน Reusable แถมยังตามมาด้วย iSpace หนึ่งในบริษัทเอกชนจีนรายแรก ๆ ที่เคยปล่อย Hyperbola-1 สำเร็จ ถึงแม้จะเจอปัญหาในเที่ยวบินถัดมา แต่ก็ยังไม่ล้มเลิก หรือบริษัทอย่าง Galactic Energy ผู้เล่นสายดาวเทียมขนาดเล็กที่เน้นปล่อย Ceres-1 เพื่อให้ตัวเองมีศักยภาพในการนำส่งมากที่สุด และนำเอาข้อผิดพลาดมาปรับปรุง

บริษัท Space Pioneer และจรวดตระกูล Tian Long หรือมังกรฟ้า ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

สิ่งที่น่าทึ่งคือ บริษัทเหล่านี้ไม่ได้แค่พัฒนาจรวด แต่หลายแห่งพัฒนา Engine, Navigation, Avionics, Fairing และ Payload Adapter เองทั้งหมด หมายความว่า จีนกำลังมี Supply Chain อวกาศของตัวเองแบบแทบไม่ต้องพึ่งโลกตะวันตกอีกต่อไป

แผง Solar Arrays แบบพับได้ของบริษัท Pioneer Satellites ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตดาวเทียมสื่อสารแบบ Constellation ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

และทั้งหมดนี้มาบรรจบกันที่ โครงการดาวเทียมสื่อสารวงโคจรต่ำของจีนเองอย่าง “Guowang” ที่หลายคนมองว่าเป็นคู่แข่งโดยตรงของ Starlink จีนกำลังพยายามสร้าง Internet Constellation ที่ไม่เพียงครอบคลุมประเทศตัวเอง แต่จะครอบคลุมประเทศพันธมิตรด้วยในระยะถัดไป พร้อมเสริมด้วยเทคโนโลยีอย่าง Space-based Cloud Infrastructure และแนวคิด Space Solar Power Station ซึ่งจีนหวังว่าจะทดลองระบบจริงได้ภายในปี 2030

ถ้าเดินดูให้ครบทุกบูธ แล้วนั่งลงคิดดี ๆ จะพบว่าจีนนั้นไม่ได้แค่สร้างยาน แต่กำลังสร้าง “อารยธรรมอวกาศ” ที่มีระบบนิเวศครบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และความจริงที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าคือ ประเทศไทยได้เข้ามายืนอยู่ในห่วงโซ่นั้นแล้ว

การเดินเกมการเมืองเป็นสิ่งสำคัญว่าไทยเราจะไปต่อยังไง

สิ่งที่เราเห็นจากความเคลื่อนไหวของจีนในช่วงหลัง คือการเดินเกมอวกาศที่ไม่ได้มาเล่น ๆ อีกต่อไปแล้ว จีนไม่ได้แค่ส่งดาวเทียมขึ้นฟ้า แต่กำลังสร้าง Ecosystem ที่ครบวงจร การเปิดโอกาสสำหรับการทดลอง Payload จากต่างประเทศอย่าง MATCH และ ALIGN ไปจนถึงการขยายอุตสาหกรรมเอกชนที่รองรับเทคโนโลยีต้นน้ำถึงปลายน้ำอย่างเป็นระบบ ภายในเวลาไม่กี่ปี จีนกลายเป็นตัวแสดงหลักในโลกอวกาศยุคใหม่ และเริ่ม “เขียนกติกา” บางอย่างขึ้นมาเองอย่างมั่นคง

ถ้าจะถามว่าจีนคือมหาอำนาจหน้าใหม่ด้านอวกาศใช่หรือไม่คำตอบแบบง่าย ๆ เร็ว ๆ เลยก็คือว่าใช่ ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่ควรปิดตาไม่เห็นข้อกังวลที่มีอยู่ ทั้งเรื่องสิทธิมนุษยชน การใช้เทคโนโลยีเพื่อควบคุมภายในประเทศ หรือการจัดการเศษอวกาศที่ยังไม่โปร่งใส แต่ในฐานะประเทศเล็ก เราไม่มีอำนาจจะไปเปลี่ยนระบบเหล่านั้นได้โดยตรง สิ่งที่เราทำได้จริง ๆ คือการเลือกวางตัวให้ฉลาดที่สุด เรียนรู้จากสิ่งที่จีนทำให้เกิดขึ้นจริง เช่น โครงสร้างอุตสาหกรรม การผลิตชิ้นส่วนอย่างแม่นยำ การสร้างบุคลากรในประเทศ แล้วค่อย ๆ ปรับสิ่งเหล่านั้นให้เหมาะกับบริบทของไทย โดยไม่ทิ้งหลักการเรื่องความโปร่งใสและความยั่งยืนระยะยาว

สุดท้าย คำถามที่เราต้องตอบตัวเองให้ได้ไม่ใช่แค่ “จีนดีหรือไม่ดี?” แต่คือ “เราจะอยู่ตรงไหนในเกมนี้?” ถ้าจีนคือรถไฟความเร็วสูงของเทคโนโลยี เราจะยืนอยู่ริมชานชาลาเฉย ๆ หรือจะหาทางขึ้นไปบนขบวนด้วยวิธีของเราเอง เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยไม่ต้องแลกทุกอย่างที่เรายึดถืออยู่

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.