1 สิงหาคม 2025 ภารกิจ Crew‑11 ของ SpaceX กลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่ไม่ใช่แค่เรื่องการส่งมนุษย์ไปสถานีอวกาศนานาชาติ แต่ยังเป็นการปิดตำนานของ Landing Zone 1 หรือ LZ‑1 สถานที่ซึ่ง Falcon 9 เคยร่อนกลับลงมาด้วยความแม่นยำระดับเมตรมาหลายสิบครั้ง เพราะนี่คือการลงจอดครั้งสุดท้ายของมัน ก่อนที่ SpaceX จะคืนพื้นที่ให้กับ Cape Canaveral Space Force Station เพื่อส่งต่อให้บริษัทหน้าใหม่อย่าง Vaya Space และ Phantom Space ใช้เป็นฐานปล่อยจรวดแทน
จากนี้ไป SpaceX จะเหลือเพียง Landing Zone 2 ใช้ไปพลางระหว่างการสร้างฐานลงจอดใหม่ใกล้ LC‑39A และ SLC‑40ข้อดีคือไม่ต้องขนจรวดไป‑มาไกลเหมือนที่ผ่านมา ลดเวลาการขนส่งและทำให้กระบวนการ Reuse เร็วขึ้น แต่เรื่องราวของ LZ‑1 กว่าจะมาถึงวันนี้ มันเริ่มจากความบ้าบิ่นเมื่อสิบปีก่อน

ย้อนกลับไปปี 2015 ตอนที่ “จรวดลงจอดเองได้” ยังเป็นไอเดียที่หลายคนหัวเราะเยาะ SpaceX เลือกที่จะไม่หัวเราะ แต่เช่าฐานปล่อยเก่า Launch Complex 13 ใน Cape Canaveral Air Force Station ชื่อเดิมของ Cape Canaveral Space Force Station มาปรับปรุงเป็น Landing Zone 1 สำหรับทดลองนำบูสเตอร์ Falcon 9 กลับมาลงบนบก การลงจอดครั้งแรกเกิดขึ้นใน ภารกิจ Orbcomm‑OG2 ในวันที่ 21 ธันวาคม 2015 บูสเตอร์หมายเลข B1019 ร่อนลง LZ‑1 อย่างแม่นยำ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จรวดส่งดาวเทียมวงโคจรกลับมาลงจอดสำเร็จบนพื้นโลก


ความสำเร็จครั้งนั้นคือประตูสู่การบินซ้ำหรือ Reusable อย่างจริงจังเกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2016 ภารกิจ CRS‑8 พิสูจน์ว่าการลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ก็ทำได้เช่นกัน นับแต่นั้น SpaceX จึงใช้ทั้งฐานบนบก LZ‑1 และฐานลอยน้ำร่วมกัน ในภารกิจ CRS‑9 วันที่ 18 กรกฎาคม 2016 จรวด Falcon 9 ลง LZ‑1 อีกครั้งอย่างสวยงาม และภารกิจต่อมาไม่ว่าจะเป็น CRS‑10, CRS‑12 หรือเที่ยวบินดาวเทียมเชิงพาณิชย์ต่างก็เลือกใช้ LZ‑1 หากภารกิจและเส้นทางการบินเอื้อ
Landing Zone 2 และ Landing Zone 3
จนกระทั่งปี 2018 SpaceX มองไกลไปกว่านั้น ด้วยการสร้าง Landing Zone 2 ขึ้นมาเพื่อรองรับ Falcon Heavy โดยตั้งอยู่ห่างจาก LZ‑1 ไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตร ลักษณะเป็นลานกลมเหมือนกัน แต่มีขนาดเล็กกว่า LZ‑1 เพียงเล็กน้อย เรียกได้ว่าแทบเป็น “ฝาแฝด” กัน ต่างกันก็เพียงเส้นผ่านศูนย์กลางและรายละเอียดโครงสร้างบางส่วน LZ‑1 และ LZ‑2 ถูกออกแบบให้ทำงานเป็นคู่เพื่อรองรับการลงจอดพร้อมกันของบูสเตอร์ด้านข้างสองลำของ Falcon Heavy และในเดือนมกราคม 2018

การก่อสร้าง LZ‑2 เสร็จสมบูรณ์ทันเวลาสำหรับ Falcon Heavy Test Flight ที่เกิดขึ้นในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2018 วันนั้นบูสเตอร์ด้านข้างทั้งสองร่อนลงมาพร้อมกัน หนึ่งลำที่ LZ‑1 อีกหนึ่งที่ LZ‑2 สร้างภาพอันเป็นเอกลักษณ์ที่แฟนอวกาศทั่วโลกไม่มีวันลืม โดยหลังจากนั้น Landing Zone ทั้งสองก็ได้ถูกใช้สำหรับภารกิจ Falcon Heavy มาโดยตลอด


แผนดั้งเดิมยังมี LZ‑3 เผื่อภารกิจ Falcon Heavy ที่บูสเตอร์ทั้งสามจะกลับลงมาบนบกพร้อมกัน แต่ในความเป็นจริง บูสเตอร์แกนกลางมักต้องลง DroneShip ที่กลางทะเลเพราะใช้เชื้อเพลิงมาก จึงไม่เคยมี LZ‑3 เกิดขึ้น ในขณะที่ฝั่งตะวันตกก็มี LZ‑4 ซึ่งเดิมคือฐานปล่อย SLC‑4W ที่ Vandenberg เพื่อรองรับภารกิจที่ปล่อยจากแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเราเลยเล่าไปในบทความ รู้จักกับฐานลงจอด Landing Zone 4 ของ SpaceX โดยการลงจอดครั้งแรกของ Landing Zone 4 นั้นก็เกิดขึ้นครั้งแรกในวันที่ 8 ตุลาคม 2018 สำหรับการปล่อยภารกิจ SAOCOM 1A
เหตุการณ์สำคัญของ Landing Zone 1
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมาของ LZ‑1 มีหลายเหตุการณ์ที่ฝังอยู่ในความทรงจำของแฟน SpaceX อย่างไม่มีวันลืม เริ่มตั้งแต่ Orbcomm‑OG2 ในเดือนธันวาคม 2015 ซึ่งเป็นการลงจอด Falcon 9 ครั้งแรกของโลก และเปิดประตูสู่ยุคใหม่ของจรวดนำกลับมาลงจอด ณ ฐานปล่อย
ต่อมาในปี 2016 ภารกิจ CRS‑9 ก็สร้างภาพจำการลงจอดกลางดึกที่งดงามราวกับการแสดงแสงสีบนท้องฟ้าอีกครั้งนับจากภารกิจ Orbcomm-OG2 ก่อนที่ปี 2017 จะมี CRS‑12 ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจของ Falcon 9 Block 4 ที่พิสูจน์ความเสถียรและความพร้อมของระบบได้อย่างชัดเจน ต่อมาในปีนั้นจรวด Falcon Heavy ในเที่ยวบินทดสอบก็ได้ลงจอดบูสเตอร์คู่ที่ LZ‑1 และ LZ‑2 พร้อมกันเป็นครั้งแรก สร้างความตื่นตะลึงให้กับคนทั้งโลก


อย่างไรก็ตาม 5 ธันวาคม 2018 ก็เกิดเหตุการณ์ที่เป็น “รอยด่างเพียงครั้งเดียว” ของ LZ‑1 เมื่อจรวด Falcon 9 ในภารกิจ CRS‑16 ประสบปัญหากับระบบ Grid Fin จนบูสเตอร์หมุนมั่วอย่างไร้การควบคุม และระบบอัตโนมัติตัดสินใจลงจอดในทะเลเพื่อความปลอดภัย

เวลาผ่านไปจนถึงปี 2022 ภารกิจ Hakuto‑R Mission 1 ก็กลายเป็นครั้งแรกที่ Falcon 9 เลือกใช้ LZ‑2 ในการลงจอดแทน LZ‑1 และในปี 2025 ก็เกิดภาพประวัติศาสตร์อีกครั้งเมื่อ Bandwagon‑3 และ CRS‑32 ส่งบูสเตอร์หมายเลข B1092 และ B1090 ลงจอดคู่กันบน LZ‑1 และ LZ‑2 ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เห็น Falcon 9 ลงจอดคู่โดยไม่ใช่ภารกิจ Falcon Heavy และในที่สุด ภารกิจ Crew‑11 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2025 ก็กลายเป็นบทสรุปของตำนานนี้ เมื่อบูสเตอร์หมายเลข B1094 ลงจอดเป็นครั้งสุดท้ายของ LZ‑1 ปิดฉากด้วยสถิติการลงจอด 54 ครั้ง สำเร็จ 53 ครั้ง และล้มเหลวเพียงครั้งเดียว


หลังภารกิจ Crew‑11 SpaceX จะคืนทั้ง LZ‑1 และในอนาคต LZ‑2 ให้กับเจ้าของพื้นที่เดิม แผนต่อไปคือการสร้าง Landing Zone ใหม่ติดกับ LC‑39A และ SLC‑40 เพื่อย่นระยะขนส่งบูสเตอร์ SpaceX เตรียมคืน Landing Zone 1 และ 2 ย้ายมาลงจอด Falcon 9 ข้างฐานปล่อยแทน
Landing Zone 1 ไม่ได้เป็นเพียงลานคอนกรีตกลม ๆ แต่มันคือเวทีที่ SpaceX พิสูจน์ว่า Reusable Rocket ไม่ใช่ความฝัน มันทำให้การส่งของขึ้นวงโคจรถูกลงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เปลี่ยนเกมของอุตสาหกรรมอวกาศ และสร้างภาพจำที่แฟน SpaceX ทุกคนจะไม่มีวันลืม ตลอด 10 ปี LZ‑1 ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์แบบ แม้มีเพียงครั้งเดียวที่พลาด แต่ทุก landing ที่เหลือคือการประกาศให้โลกเห็นว่าอนาคตของการสำรวจอวกาศจะต้องเป็น Reusable
ลาก่อน LZ‑1 และขอบคุณที่ทำให้เรามาถึงวันนี้ได้
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co