NASA ประกาศ 3 บริษัทที่จะนำมนุษย์ ลงจอดบนดวงจันทร์ในรอบครึ่งศตวรรษ Blue Origin, Dynetics, SpaceX

หลังจากที่ NASA ได้มีการประกาศอัพเดท แผนล่าสุดของโครงการ Artemis ในการส่งนักบินอวกาศและการสำรวจดวงจันทร์ฉบับล่าสุดเมื่อช่วงต้นเดือนเมษายน 2020 ที่สรุปง่าย ๆ ก็คือจะเป็นการส่งหุ่นยนต์ ยานลงจอด ตามด้วยการลงจอดจริง ๆ ของมนุษย์ รวมถึงการทำ Lunar Gateway หรือสถานีอวกาศรอบดวงจันทร์ ทำให้แผนครั้งนี้ดูเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น

ในบทความเรื่อง ทุนนิยมบนดวงจันทร์ เศรษฐศาสตร์ของการกลับสู่ดวงจันทร์ เราได้พูดถึงกลยุทธ์ของ NASA ในการดึงเอาความสามารถด้านวิศวกรรม การบริหารจัดการ และการมีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัทเอกชน มาทำให้การเดินทางกลับสู่ดวงจันทร์มีความเป็นไปได้และไม่ได้มีศูนย์กลางอยู่ที่รัฐฯ เหมือนกับในยุค Apollo เราก็อาจจะได้รู้จักกับชื่อบริษัทที่เป็น Candidate ในการได้รับสัญญาโครงการ CLPS: Commercial Lunar Payload Services สำหรับ Artemis ไปบ้างแล้ว

ความคืบหน้าที่ต้องจับตามองตอนนี้ก็คือ NASA ได้ประกาศบริษัทที่ได้สัญญาในการศึกษาและพัฒนาการส่งมนุษย์ลงไปยังพื้นผิวของดวงจันทร์ ได้แก่ Blue Origin, SpaceX และ Dynetics โดยเรียกตัวยานและสัญญาชุดนี้ว่า HLS หรือ Human Landing System

3 สไตล์การทำงานที่น่าจับตามอง

มูลค่าของเงินทุนที่ทั้ง 3 บริษัทได้ไปนั้น อยู่ที่ 579 ล้านเหรียญฯ สำหรับ Blue Origin ซึ่งนับว่ามีมูลค่าสูงที่สุด ตามมาด้วย Dynetics ซึ่งอยู่ที่ 253 ล้านเหรียญฯ และน้อยที่สุดคือ SpaceX ได้ไป 135 ล้านเหรียญฯ

อีกหนึ่งบริษัทที่ยื่นซองเช่นกัน แต่ไม่ได้ก็คือ Boeing อย่างไรก็ดี Boeing มีสัญญาในการพัฒนาจรวด SLS หรือ Space Launch System และสัญญาในการทำยาน Starliner ซึ่งสุดท้ายก็จะมีบทบาทสำคัญในภารกิจ Artemis อยู่ดี

ยานลงจอดดวงจันทร์ของ Blue Origin ซึ่งถอดแบบมาจากโครงการ Blue Moon เดิม ที่มา – Blue Origin/NASA

Blue Origin ในตอนนี้น่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะรวมแก๊งกับ Lockheed Martin, Northrop Grumman และ Draper คว้าสัญญานี้ไปแบ่งเค้กกัน ซึ่งการที่ Jeff Bezos รวมเอาบรรดาตัวโหดแห่งวงการอย่าง Lockheed, Northrop มาได้ถือว่าเป็น Dream Team มาก (ซึ่ง NASA ลงทุนเรียกว่า Natioal Team หรือทีมแห่งชาติเลยทีเดียว) นึกถึงสำนวน #ทุนนิยมนี่มันเหี้* จริง ๆ (ฮา)

จรวด Starship ของ SpaceX ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างพัฒนา ที่มา – SpaceX/NASA

ในขณะที่ SpaceX ที่เน้นทำงานแบบเดี่ยว ๆ ไม่ subcontractors เยอะ ไม่คุยกะใครมาก แถมยังโดนเจ้าเก่า ๆ หมั่นไส้เป็นพิเศษ ก็ยังคงใช้วิธีเดิมคือพัฒนาโครงสร้างยานจากจรวด Starship ที่ตอนนี้กำลังทดสอบอยู่

ยานลงจอดของ Dynetics ซึ่งพัฒนาร่วมกับ Sierra Nevada และบริษัทในเครือ ที่มา – Dynetics/NASA

ส่วน Dynetics บริษัทที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยได้ยินชื่อ มาพร้อมกับ Sierra Nevada สองเจ้านี้ผลงานอาจจะยังไม่เด่นเท่า SpaceX และ Blue Origin แต่มาพร้อมกับ subcontractors อีก 25 เจ้า และมาเงียบ ๆ แต่ได้สัญญาไปด้วยเช่นกัน

ทั้ง 3 บริษัท จะต้องทำหน้าที่ศึกษาและหา Solution ในการลงจอดของมนุษย์บนดวงจันทร์ ซึ่งเอาจริง ๆ ต่อให้จะบอกว่าเป็น Commercial แต่ถามว่ามันก็มีความ Monopolistic Competition สูงอยู่ เพราะ SpaceX เองนั้นได้รับสัญญาทั้งการพัฒนาระบบส่ง Payload ด้านวิทยาศาสตร์, การทำยานอวกาศ Dragon 2 และล่าสุดก็คือการส่งมนุษย์ไปลงดวงจันทร์ ส่วน Blue Origin ก็มีโครงการ Blue Moon ที่ทำทั้ง Payload และก็ได้สัญญานักบินอวกาศไปเช่นกัน ในขณะที่เจ้าใหญ่ ๆ ที่เป็นที่สนิทกับรัฐบาลอยู่แล้วและทำงานกันมาเนิ่นนานอย่าง Boeing, Lockheed, Northrop นั้น คงไม่ต้องบอกว่า Monopolistic มาตั้งแต่สมัยเป็น subcontractors ให้ NASA

แต่ก็เช่นนั้น เพราะแม้แต่บริษัทที่ดูโครงการจะคืบหน้าที่สุด ณ ตอนนี้อย่าง SpaceX แต่จรวด BFR ก็ยังไม่ได้บินขึ้นจริง ๆ ด้วยซ้ำ ในขณะที่ Timeline โครงการ Artemis ของ NASA จะเริ่มต้นอย่างคร่าว ๆ ประมาณปี 2024 ก็ตาม บริษัทอวกาศนั้นไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น (และเราเดาว่านี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ Dynetics ถูกเลือกเข้ามาเพื่อให้กระจายไปยัง subcontractors อีก 25 เจ้า)

ต้องรอเชียร์กันว่าเจ้าไหนจะคืบหน้าอย่างไร และเวลาก็เหลือน้อยลงทุกทีจากวันนี้สู่วันที่มนุษย์จะได้กลับไปเหยียบดวงจันทร์อีกครั้งในรอบครึ่งศตวรรษ

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer - 21, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.