หากใครติดตามวงการอวกาศยุโรปมานานคงคุ้นเคยกับชื่ออย่าง ArianeGroup หรือ Arianespace ผู้ครองฉากหลักของวงการจรวดยุโรปมาอย่างยาวนานภายใต้ระบบที่อิงกับรัฐอย่างเหนียวแน่น แต่ในโลกที่กำลังเปลี่ยนไป ความต้องการในการส่งดาวเทียมเพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด เทคโนโลยีเริ่มราคาถูกลง และคู่แข่งจากฝั่งสหรัฐอย่าง SpaceX, Rocket Lab หรือแม้แต่บริษัทอวกาศขนาดเล็กจากเกาหลีใต้และญี่ปุ่นเริ่มวิ่งเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
ส่งนี้ทำให้องค์การอวกาศยุโรป ESA ต้องปั้นโครงการใหม่เพื่อผลักดันศัยภาพการทำจรวดทางเลือกใหม่ ๆ ในแผ่นดินยุโรป ภายใต้ชื่อว่า European Launcher Challenge ซึ่งไม่ใช่แค่เปิดให้ผู้เล่นใหม่เข้ามา แต่เป็นการส่งสัญญาณว่า “ยุโรปกำลังมองหาวิธีใหม่ในการแข่งขันในตลาดอวกาศยุคหลัง Ariane”
ESA เพิ่งประกาศชื่อบริษัทที่ผ่านการคัดเลือกในรอบแรกของโครงการนี้ ในรายงาน European Launcher Challenge: preselected challengers unveiled โดยมี 5 รายชื่อที่ถูกคัดมาอย่างเข้มข้นจากรอบเสนอข้อเสนอเชิงเทคนิคและธุรกิจ ได้แก่ Isar Aerospace, Rocket Factory Augsburg (RFA), PLD Space, Maiaspace และ Orbital Express Launch ซึ่งแต่ละรายมีพื้นฐานแตกต่างกันออกไป ทั้งด้านเชื้อชาติ ความสามารถ และที่มาทางเทคโนโลยี แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ “ความหวัง” ที่จะกลายเป็น Launch Provider หน้าใหม่ของยุโรป

Isar Aerospace และ Rocket Factory Augsburg ถือเป็นสองขุนพลจากเยอรมนีที่วิ่งแข่งกันในสนามเดียวกันอย่างเข้มข้น ทั้งคู่พยายามพัฒนา Small launcher แบบ Reusable และใช้วิศวกรรมแบบ Lean Manufacturing เข้ามาช่วยลดต้นทุน Isar นั้นเป็นเจ้าของจรวดชื่อ Spectrum เน้นกลยุทธ์ระดมทุนหนัก ดึงดูดนักลงทุนจากวงการ Finance ขณะที่ RFA อยู่ภายใต้บริษัท OHB ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมใหญ่ของเยอรมนี
ทั้งสองรายนี้ต่างพัฒนาเครื่องยนต์ของตัวเอง โดยในปี 2025 ทั้งคู่อยู่ระหว่างการทดสอบจรวดรุ่นแรกของตัวเอง ซึ่งการทดสอบของ Isar นั้นเกิดขึ้นไปเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2025 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการทดสอบยังไม่ประสบความสำเร็จเพราะจรวดตกกลับลงสู่พื้นไม่กี่วินาทีหลังปล่อย ในขณะที่ RFA เป็นเจ้าของจรวดชื่อ RFA One และมีแผนทดสอบแรกในปีนี้

ฝั่งสเปนก็ไม่น้อยหน้า PLD Space ได้ชื่อว่าเป็น Startup จรวดที่วิ่งนานที่สุดในยุโรปก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2011 โดยเพิ่งทดสอบจรวดแบบ Suborbital ชื่อ Miura 1 ไปเมื่อปลายปี 2024 และกำลังเดินหน้าสู่การยิงแบบ Orbital Flight ด้วย Miura 5 ภายในปี 2025 ขณะที่ Orbital Express Launch แม้จะยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ก็เป็นม้ามืดที่ได้รับการสนับสนุนจาก Ecosystem ทางด้านวิศวกรรมของสเปน โดยแผนของ PLD นั้น คือการสร้างจรวดที่สามารถนำส่งดาวเทียมขนาดใหญ่ ในภาพด้านล่างเราจะเห็นไอเดียการออกแบบที่คล้ายกับ Falcon 9 และ Falcon Heavy ซึ่งเป็นจรวดขนาดกลางและใหญ่ ทั้งหมดมีขาตั้งสำหรับการกลับมาลงจอด

Maiaspace จากฝรั่งเศสถือเป็นรายเดียวที่มีสายสัมพันธ์กับ ArianeGroup โดยตรง เพราะเป็นบริษัท Spin-Off ที่เกิดจากการปรับกลยุทธ์ของกลุ่มอุตสาหกรรมจรวดยุโรปเดิม และพยายามลงมาเล่นในตลาด Launcher ขนาดเล็กผ่านจรวดที่ชื่อ Zephyr การที่ Maiaspace เข้ามาอยู่ในรายชื่อก็เหมือนเป็นการปิดจุดอ่อนที่ว่า ESA จะละเลยคนเก่าที่มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว

สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้จะมีบริษัทขนาดใหญ่อย่าง ArianeGroup หรือ Avio ในอิตาลีที่มีความสามารถในการผลิตจรวดอยู่แล้ว แต่วงการจรวดยุโรปยังขาด “ความคล่องตัว” ในการตอบสนองตลาดเกิดใหม่ เช่นการยิงดาวเทียมขนาดเล็ก หรือให้บริการแบบ Launch-on-Demand ที่ Startup อย่าง Rocket Lab กำลังทำได้ดีกว่าในโลกตะวันตก และ SpaceX นั้นกลายเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งในตลาดทุกระดับ ซึ่งกดดันให้ยุโรปต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” เพื่อไม่ให้ตลาดของตัวเองถูกยึดไปโดยบริษัทนอกทวีป ส่องตลาดของ Ariane 6 หลังให้บริการเที่ยวบินเชิงการค้าเที่ยวบินแรก
แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมคือ โมเดลของยุโรปในอดีตไม่ใช่แค่การพัฒนาจรวดเพื่อให้ส่งของขึ้นอวกาศได้เท่านั้น แต่ยังมีมิติทางการเมืองและเศรษฐกิจที่สำคัญมากนั่นคือ การกระจายงานและการผลิตไปยังหลายประเทศสมาชิก ESA เพื่อให้แต่ละชาติมีส่วนได้ส่วนเสียและร่วมมือกันสร้างระบบอวกาศอย่างเป็นปึกแผ่น โมเดลนี้แม้จะดูช้าและต้นทุนสูงในบางครั้ง แต่ก็เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ยุโรปสามารถรักษา Sovereignty ทางเทคโนโลยีไว้ได้ ในยุคที่ความสามารถด้านอวกาศกลายเป็นหนึ่งในสมรภูมิใหม่ของ Geopolitics โดยเราจะเห็นว่าช่วงหล้ง บริษัทพัฒนาจรวดเติบโตขึ้นอย่างมาก หมดยุคแล้วที่เราจะฝากความหวังไว้กับผู้ให้บริการภาครัฐอย่างเดียว ซึ่งจีนเองทราบเรื่องนี้ดี โดยเราได้วิเคราะห์ไว้ใน พาบุก China Space Day 2025 อัพเดทเทคโนโลยี วิเคราะห์ก้าวต่อไปของอวกาศจีน
การมาของ European Launcher Challenge จึงไม่ใช่แค่การแข่งกันเพื่อหาว่าใครจะยิงได้ถูกที่สุดหรือเร็วที่สุด แต่คือการ Re-Architecture ระบบเศรษฐกิจของวงการ Space Tech ในยุโรปแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้คลื่นลูกใหม่ได้พื้นที่ยืน ในขณะที่ยังไม่ทำลาย Ecosystem เดิมทั้งหมด
คำถามต่อจากนี้คือ Startup เหล่านี้จะสามารถทำงานร่วมกับระบบการจัดซื้อแบบรัฐของ ESA ได้แค่ไหน และยุโรปจะสามารถสร้างทางเลือกที่แข่งขันกับโลกได้โดยไม่ต้องเลียนแบบ Silicon Valley ทุกกระเบียดนิ้วหรือไม่ ความท้าทายนี้จึงน่าติดตามอย่างมาก และประเทศอย่างไทยเราน่าจะได้รับผลกระทบแน่นอนในช่วงหลังที่เราเริ่มทำดาวเทียมและยานอวกาศเองกันมากขึ้น และจำเป็นต้องหาผู้ปล่อยที่ให้ราคาได้คุ้มค่ากับความต้องการของเราได้มากที่สุด
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co