หนึ่งในคำถามที่คาใจนักธรณีวิทยาดาวเคราะห์มานานคือ ทำไมดาวศุกร์ถึงดูนิ่งผิดปกติ ทั้งที่มันมีขนาดและองค์ประกอบคล้ายโลกมาก แต่กลับไม่มีร่องรอยของการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกแบบ plate tectonics ที่เราเห็นกันบนโลกเลย แล้วถ้าดาวศุกร์ไม่มีการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือก มันรีไซเคิลเนื้อหาภายในดาวยังไงล่ะ
งานวิจัยล่าสุดจากทีมของ Semprich และคณะในวารสาร Nature Communications ในชื่อ Metamorphism of Venus as driver of crustal thickness and recycling ตีพิมพ์เมื่อปี 2025 มาพร้อมกับคำตอบที่อาจเปลี่ยนวิธีที่เรามองดาวศุกร์ไปเลย โดยได้เสนอว่า “กระบวนการแปรสภาพ (Metamorphism)” ของหินบะซอลต์บนดาวศุกร์ อาจเป็นกลไกสำคัญที่ควบคุมความหนา และการรีไซเคิลของเปลือกดาว โดยไม่จำเป็นต้องมี Plate Tectonics เลยด้วยซ้ำ

ทีมวิจัยใช้วิธีจำลองแบบเฟสแร่ (Metamorphic Phase Transitions) คือดูว่าหินบะซอลต์ซึ่งเป็นวัสดุหลักของเปลือกดาวศุกร์จะเปลี่ยนเฟสยังไงเมื่อโดนความร้อนจากใต้ดาวดันขึ้นมา โดยพิจารณาพร้อมกับ “Onset of Melting” หรือจุดเริ่มที่หินจะเริ่มหลอมละลาย ซึ่งมันขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ความดัน และความชันของอุณหภูมิในเปลือก (Thermal Gradient) ผลที่ได้คือความหนาของเปลือกขึ้นกับอุณหภูมิและลักษณะทางธรณีพลศาสตร์ของเปลือกอย่างชัดเจน
- ในกรณีที่ดาวศุกร์อยู่ในภาวะเปลือกนิ่ง (Stagnant Lid) ซึ่งเปลือกดาวเป็นชั้นแข็งที่ไม่เคลื่อนไหว และมีความชันอุณหภูมิต่ำแค่ 5°C ต่อกิโลเมตร ความหนาของเปลือกจะจำกัดอยู่ที่ ~40 กิโลเมตร ถ้าหนาไปกว่านี้จะเกิดการ “Density Overturn” คือเปลือกชั้นล่างหนาแน่นกว่าชั้นบนจนหล่นลงไปข้างล่าง แล้วก็เกิด delamination หรือการหลุดลอกของเปลือกชั้นล่างทิ้งไป
- แต่ถ้าอยู่ในภาวะที่เปลือกเคลื่อนไหวได้มากหน่อย (Mobile Lid Regime) ที่มี Thermal Gradient สูงถึง 25°C/km เปลือกจะทนไม่ได้เลย หนาได้แค่ประมาณ 20 กิโลเมตรก็จะเริ่มหลอมละลายกลายเป็นแมกมา ล่อให้เกิดภูเขาไฟปะทุออกมาแทน
- ส่วนกรณีที่ “กลาง ๆ” แบบเปลือกบะซอลต์ที่มี Thermal Gradient ประมาณ 10°C/km จะสามารถมีความหนาได้ถึงประมาณ 65 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นเพดานสูงสุดในแบบจำลองนี้แล้ว
พูดง่าย ๆ คือ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน เปลือกของดาวศุกร์ก็จะต้องมี “กลไก” บางอย่างที่คอยรีไซเคิลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการหลุดลอกของเปลือก หรือการหลอมละลายกลายเป็นภูเขาไฟ ซึ่งมันบอกเป็นนัยว่า ดาวศุกร์อาจไม่ได้เงียบเฉยอย่างที่คิด
แต่ดาวศุกร์อาจเลือกอีกเส้นทางนึงเลย คือให้ความร้อนมันดันขึ้นมา จนเปลือกเกิดการแปรสภาพ กลายเป็นมวลที่มีความหนาแน่นมากขึ้น แล้วก็จมตัวลงไปเอง หรือไม่ก็หลอมละลายกลายเป็นภูเขาไฟขึ้นมาดื้อ ๆ ไม่ต้องมีการชนกันของแผ่นเปลือกอะไรเลย ถ้าผลแบบจำลองนี้ถูกต้อง มันจะช่วยตอบคำถามสำคัญในธรณีวิทยาดาวเคราะห์ว่า การรีไซเคิลเปลือกแบบ Earth-style ไม่ใช่เงื่อนไขจำเป็นของการมี Geological Activity เสมอไป

แน่นอนว่า ณ ตอนนี้เรายังไม่มีข้อมูลตรงจากเปลือกดาวศุกร์มากพอที่จะยืนยันโมเดลนี้แบบ 100% แต่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ภารกิจ DAVINCI และ VERITAS ของ NASA รวมถึง EnVision ของ ESA ที่จะไปสำรวจพื้นผิวและบรรยากาศของดาวศุกร์โดยตรง อาจจะให้ข้อมูลเชิงลึกว่าความหนาเปลือกจริง ๆ ของดาวศุกร์อยู่ที่ประมาณไหน มีหลักฐานของการ Delamination หรือ Metamorphic Roots แบบที่แบบจำลองคาดไว้หรือเปล่า ถ้าเจอล่ะก็เราคงต้องยอมรับว่าดาวศุกร์มี “ระบบรีไซเคิลเงียบ” เป็นของตัวเอง ที่ทำงานได้ดีแม้ไม่มี Plate Tectonics แบบบนโลกเลย
อ่านเรื่องราวของยานสำรวจดาวศุกร์แห่งทศวรรษถัดไปได้ที่ EnVision ภารกิจสำรวจดาวศุกร์ใหม่ จาก ESA ที่จะส่งไปดาวศุกร์ในช่วงปี 2030s และ DAVINCI+ และ VERITAS สองภารกิจสำรวจดาวศุกร์ในรอบ 30 ปี ของ NASA
จริง ๆ แล้ว การศึกษาธรณีวิทยาของดาวเคราะห์ดวงอื่นอย่างดาวศุกร์หรือดาวอังคาร ไม่ได้เป็นแค่การไขปริศนาเฉพาะของดาวดวงนั้น ๆ แต่คือการค่อย ๆ เปิดเปลือกออกจากกรอบความเข้าใจแบบโลกเป็นศูนย์กลาง (Earth-centric mindset) ที่เราติดกันโดยไม่รู้ตัว เพราะเราคุ้นกับระบบที่มี Plate Tectonics, วัฏจักรน้ำ, หรือชีวนิเวศที่มีชีวิตเป็นตัวขับเคลื่อน แต่ดาวเคราะห์ดวงอื่นไม่ได้มีองค์ประกอบหรือกลไกเดียวกันเลย ในบางกรณี มันอาจไม่มีแม้แต่ “เปลือก” ในแบบที่เรานิยามไว้ด้วยซ้ำ
การที่ดาวศุกร์อาจมีระบบรีไซเคิลแบบ Delamination หรือ Crustal Melting แทนที่จะมีการชนหรือแยกของแผ่นเปลือกแบบบนโลก ก็สะท้อนว่าสิ่งที่เราเคยคิดว่าเป็น “มาตรฐาน” ของดาวเคราะห์หิน อาจไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมดของระบบดาวในจักรวาลเลยก็ได้ และยิ่งเมื่อเราขยายสายตาออกไปยัง Exoplanet หรือดวงจันทร์น้ำแข็งในระบบสุริยะชั้นนอก เช่น Europa หรือ Enceladus ที่มีมหาสมุทรอยู่ใต้เปลือกน้ำแข็ง ความหลากหลายของระบบธรณีและพลวัตภายในดาวยิ่งฉีกออกจาก Textbook ที่เราคุ้นเคยไปอีกไกล ศาสตร์ของ Planetary Geology จึงไม่ใช่แค่การคำนวณและจำลองกระบวนการธรรมชาติ แต่คือการยอมถอดสมองจากการคิดแบบโลก ๆ ไว้ข้าง ๆ ก่อน แล้วเริ่มมองจักรวาลด้วยเลนส์ที่ยอมรับว่าดาวแต่ละดวงอาจมีกฎของมันเอง
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co