Nova-C Athena ความพยายามลงจอดดวงจันทร์ครั้งที่สองของบริษัท Intuitive Machines

เมื่อปี 2024 เราได้เห็นบริษัท Intuitive Machines กลายเป็นบริษัทเอกชนรายที่สองที่ได้ส่งยานอวกาศไปยังดวงจันทร์ภายใต้โครงการ Commercial Lunar Payload Service หรือ CLPS ที่เป็นการรับทุนจาก NASA ในการพัฒนาและนำส่งสัมภาระการทดลองทางวิทยาศาสตร์ไปยังดวงจันทร์เพื่อสนับสนุนโครงการ Artemis อย่างไรก็ดี ภารกิจหมายเลข IM-1 ดังกล่าว กลับยังไม่ประสบความสำเร็จดังที่ตั้งใจไว้ เพราะแม้ตัวยานจะประสบความสำเร็จในการพาตัวเอง ลงสู่ผิวดวงจันทร์ในชิ้นเดียว และตกกระแทกจนระเบิดไปก่อนนั้น แต่ตัวยานก็ดันเกิดล้มหน้าทิ่มบนดวงจันทร์ ทำให้นับว่าเป็นความสำเร็จเพียงแค่บางส่วน “Partial Success” เพียงเท่านั้น อ่านเรื่องราวของภารกิจ IM-1 ได้ที่ สรุปข้อมูลยาน Nova-C ภารกิจ IM-1 เอกชนรายแรกบนดวงจันทร์

ปี 2025 บริษัท Intuitive Machines กำลังจะได้แก้มืออีกครั้ง ด้วยการส่งยานอวกาศ Nova-C ที่รอบนี้ ได้ถูกตั้งชื่อว่า “Athena” กลับไปยังดวงจันทร์อีกครั้ง โดยมีเลขกำกับภารกิจเป็น IM-2 จากสัญญาที่ได้รับจาก NASA ทั้งหมด 4 ภารกิจ

ยานอวกาศ IM-2 หลังจากที่ถูกส่งมารอการปล่อยที่แหลมคะเนอเวอรัล ที่มา – Intuitive Machines

การเดินทางสู่ดวงจันทร์ของภารกิจ IM-2 นี้ เกิดขึ้นตามหลังยาน Blue Ghost ของบริษัท Firefly Aerospace ที่เพิ่งประเดิมส่งยานลงจอดลำแรกแห่งปี 2025 ไปดวงจันทร์ เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2025 ที่ผ่านมา อ่าน – เจาะลึก Blue Ghost Mission 1 ภารกิจลงจอดดวงจันทร์แรกของ Firefly Aerospace และมีกำหนดลงจอดบนดวงจันทร์ในเดือนมีนาคม 2025 (ซึ่งแน่นอนว่าหากสำเร็จ และไม่ล้มคว่ำหรือระเบิดไปเสียก่อน จะกลายเป็นเอกชนรายแรกที่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้)

จรวด Falcon 9 บินขึ้นจากฐานปล่อย LC-39A ที่มา – Peeradon Ariyanukooltorn/Spaceth

ยาน Nova-C ถูกปล่อยขึ้นสู่อวกาศเวลา 7 โมงของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2025 ด้วย Falcon 9 ของ SpaceX และมีแผนลงจอดดวงจันทร์ในวันที่ 6 มีนาคม 2025

หลังจากปล่อย Intutive Machines ได้ประสบความสำเร็จในการเข้าสู่วงโคจรของดวงจันทร์ หลังใช้เส้นทาง “บินตรง” สู่ดวงจันทร์ ยาน Athena ได้เริ่มต้นทำ Insertion Burn หรือการจุดเครื่องยนต์เพื่อชะลอความเร็วเข้าสู่วงโคจรของดวงจันทร์ในคืนวันที่ 3 มีนาคมเวลา 19:27 โดยการจุดเครื่องใช้เวลา 492 วินาที หลังจากนั้นทีมได้ยืนยันว่าตัวยานได้เข้าสู่วงโคจรของดวงจันทร์เรียบร้อย

Nova-C Athena ยานลำเดิมกับภารกิจใหม่

ในภารกิจ IM-2 นั้น Intuitive Machines ยังคงเลือกใช้ยานอวกาศรุ่น Nova-C เหมือนเดิม เป็นยานอวกาศมวล 1,900 กิโลกรัม สูง 3 เมตร ใช้เครื่องยนต์ลงจอดที่ไม่ซับซ้อนที่เป็นมรดกจากโครงการ Morpheus จาก NASA Johnson Space Center ที่ใช้เชื้อเพลิงแบบ ออกซิเจนเหลว (Liquid Oxygen) และมีเทน (Methene) ซึ่งเป็นสารประกอบที่ไม่ซับซ้อน สนับสนุนแนวคิดแบบ In-Situ Resource Utilization หรือ ISRU

ภาพจำลองยาน Nova-C ในภารกิจ IM-2 บนพื้นผิวของดวงจันทร์ ที่มา – Intuitive Machines

IM-2 จะไปลงจอดยังบริเวณขอบหลุมอุกกาบาต Shackleton Crater ที่ขั้วใต้ของดวงจันทร์ ทำให้นี่จะเป็นภารกิจแรกในตระกูล CLPS และ Artemis ที่มุ่งเป้าไปลงจอดจอดยังขั้วใต้ที่เป็นตั้วใต้จริง ๆ ของดวงจันทร์ ไม่ได้แค่อยู่ใกล้ขั้วใต้ ซึ่งก็จะตรงกับ Candidate จุดลงจอดของภารกิจ Artemis III ที่มนุษย์จะลงเหยียบผิวดวงจันทร์อีกครั้ง อ่านสรุปเรื่องราวจุดลงจอดของ Artemis III ได้ในบทความ สรุปทุกอย่างที่เรารู้เกี่ยวกับจุดลงจอด Artemis III โดยละเอียด

ดังนั้น เมื่อจุดลงจอดของ IM-2 เป็นการจับวางไปยังจุดที่มนุษย์จะลงไปสำรวจขนาดนี้ การทดลองและ Payload ทางวิทยาศาสตร์ก็จะเน้นไปที่การเตรียมความพร้อมของภารกิจ Artemis III เป็นหลักด้วย และหนึ่งใน Payload ชิ้นสำคัญที่ NASA รอคอยที่จะส่งไปยังดวงจันทร์นั่นก็คือระบบขุดดิน PRIME-1 ซึ่งเป็นระบบที่ NASA พัฒนาขึ้นเพื่อต่อยอดจากระบบการขุดเจาะในยุค Apollo

PRIME-1 ระบบการขุดเจาะแห่งยุค Artemis

เราเคยเล่าเรื่องระบบขุดเจาะ PRIME-1 ไปในบทความ PRIME-1 ระบบเจาะดิน สาธิตการบริหารทรัพยากร ISRU บนดวงจันทร์ จาก Apollo สู่ Artemis แต่ในตอนนั้นเรียกได้ว่า PRIME-1 อยู่ในระหว่างการพัฒนา ณ ตอนนี้ PRIME-1 ได้พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางไปยัง Shackleton Crater เพื่อขุดหา “น้ำ” ซึ่งเป็นเป้าหมายการค้นหาหลักของการสำรวจดวงจันทร์ในยุคปัจจุบัน

อุปกรณ์ PRIME-1 นั้นมีน้ำหนักเพียงแค่ประมาณ 40 กิโลกรัมเท่านั้น ถือว่าประหยัดทั้งพื้นที่ น้ำหนัก และมีความอเนกประสงค์ในการนำไปติดตั้งบนยานอวกาศหลากหลายรุ่น หลากหลายขนาด ซึ่ง PRIME นั้นก็ย่อมาจาก Polar Resources Ice Mining Experiment ซึ่งแปลตามตรงก็คือการขุดหาน้ำแข็งบริเวณขั้วใต้ดวงจันทร์นั่นเอง

ระบบขุดเจาะ PRIME-1 ในห้องทดลองของ NASA ในปี 2022 ที่มา – NASA/Ben Smegelsky

การทำงานของ PRIME-1 นั้น จะประกอบไปด้วยหัวขุดเจาะที่ชื่อว่า TRIDENT ย่อมาจาก The Regolith and Ice Drill for Exploring New Terrain ซึ่งสามารถเจาะลงไปใต้ผิวดวงจันทร์ได้มากกว่า 90 เซนติเมตร และสามารถลำเลียงเอาตัวอย่างหินขึ้นมาตรวจสอบโดยอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ นั่นก็คืออุปกรณ์ MSolo หรือ Mass Spectrometer Observing Lunar Operations ที่ใช้หลักการ Mass Spectrometer ในการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของตัวอย่างหินที่เจาะได้มา เป้าหมายภารกิจของ PRIME-1 นั้น หากสำเร็จจะนับว่าเป็นการเข้าถึงตัวอย่างของ “น้ำแข็ง” บนดวงจันทร์ครั้งแรก บริเวณขั้วใต้ของดวงจันทร์ ซึ่งเป็นการตรวจสอบทางตรง ไม่ได้ใช้การตรวจสอบองค์ประกอบทางเคมีจากวงโคจร

ซึ่ง TRIDENT นี้เองจะเป็นความหวังสำหรับโครงการ Artemis หากการทดลอง PRIME-1 สำเร็จ หัวเจาะ TRIDENT จะถูกนำไปใช้กับหลากหลายภารกิจหลังจากนี้

การทดลองอีกหลายหลายชิ้นที่เดินทางไปกับ IM-2

แม้ PRIME-1 จะเป็น Payload การทดลองจากฝั่ง NASA ที่ทาง NASA คาดหวังมากที่สุด เพราะมันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาขั้วใต้ของดวงจันทร์จากบนพื้นผิว แต่การทดลองที่เดินทางไปยังดวงจันทร์กับ IM-2 ก็ไม่ได้มีแค่ของ NASA แต่ตามสไตล์โครงการ CLPS ที่ NASA อนุญาตให้บริษัทคู่สัญญาสามารถขายพื้นที่บนตัวยานให้กับบริษัทเอกชนรายอื่น ๆ ได้ทดสอบเทคโนโลยีของตัวเองด้วย หรือในรอบนี้ Intuitive Machines ก็ได้ถือโอกาสทดสอบเทคโนโลยีอวกาศของตัวเองอีกหลาย ๆ อย่าง

อย่างแรกคือ Khon1 หรือ Khonstellation 1 เป็นโครงการดาวเทียมทวนสัญญาณ​ (Relay) ที่พัฒนาโดย Intuitive Machines เพื่อหวังสร้างโครงข่ายสื่อสารระหว่างโลกกับดวงจันทร์ โดยดาวเทียมดวงแรกของของโครงการ ก็จะเดินทางไปกับภารกิจ IM-2 นี้ด้วย

ต่อมาก็คือ Micro-Nova เป็นยานอวกาศขนาดเล็ก ที่จะใช้วิธี “กระโดด” โดยใช้เครื่องยนต์จรวดขนาดเล็กบนยาน พามันไปได้ไกลกว่าจุดลงจอดของ IM-2 มากกว่า 25 กิโลเมตร โดยเป้าหมายของมันคือการกระโดดลงไปยังหลุมอุกกาบาต Shackleton ไปยังบริเวณที่เป็น Permanently Shaded Regions หรือบริเวณที่เป็นหลุมมืดนิรันดร์ ที่ไม่เคยโดนแสดงแดดส่องถึงมาเป็นเวลากว่าพันล้านปี ทำให้ Micro-Nova อาจจะเป็นยานอวกาศลำแรกที่สำรวจบริเวณดังกล่าวอย่างใกล้ชิด

ยานกระโดด Micro-Nova ที่จะถูกติดตั้งไปกับ IM-2 เพื่อกระโดดไปไกลจากจุดลงจอด ที่มา – Intuitive Machines

นอกจากนั้นแล้วยาน IM-2 ยังติดตั้งโรเวอร์สำรวจขนาดเล็กที่ชื่อว่า Mobile Autonomous Prospecting Platform หรือ MAPP ที่พัฒนาโดยบริษัท Lunar Outpost ซึ่งจะทำโครงการขายหินดวงจันทร์ 1 ดอลลาร์ให้กับ NASA (ยังจำกันได้มั้ยโครงการนี้ เป็นโครงการที่ NASA ทำขึ้นมาเพื่อให้มีผลทางกฎหมายว่า เอกชน หรือแม้กระทั่งรัฐฯ ต่างชาติ สามารถโอนถ่ายกรรมสิทธิ์วัตถุบนดวงจันทร์ให้กับสหรัฐฯ ได้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการร่างข้อกฎหมายว่าด้วยกรรมสิทธิ์ในอวกาศ ซึ่งตัวอย่างหินนั้น ไม่จำเป็นต้องนำกลับมาบนโลก แค่ตักขึ้นมาให้ได้ก็พอ)

ภาพจำลองโรเวอร์ MAPP และเสา Celluar สำหรับสื่อสารบนดวงจันทร์ เพื่อทดสอบเทคโนโลยี ที่มา – Intuitive Machines

และที่เป็นที่พูดถึงกันพอสมควรก็คือ การทดลองสัญญาณ 4G LTE บนดวงจันทร์ โดยเป็นงานวิจัยที่ทำร่วมกับ Nokia Bell Labs และ NASA เป็นการศึกษาเพื่อนำเอาคลื่น Celluar แบบที่เราใช้กันบนโลก ไปวางเป็นโครงข่ายบนดวงจันทร์ ซึ่งหากสำเร็จ จะนำไปสู่โครงการ Lunar Surface Communications System หรือ LSCS ที่ Nokia Bell Labs จะเป็นผู้วางโครงข่ายสำหรับการสื่อสารในภารกิจสำรวจดวงจันทร์ในโครงการ Artemis

ภาพจำลองกล่อง Network ของ Nokia Bell Labs ที่ถูกติดตั้งบนยาน IM-2 ที่มา – Intuitive Machines

การทดลอง 4G LTE นี้ จะเป็นการรับส่งสัญญาณระหว่างยาน IM-2 กับยานกระโดด Micro-Nova และโรเวอร์ MAPP ผ่านอุปกรณ์ Network in a Box หรือ NIB ที่ Nokia Bell Labs พัฒนาขึ้นมา เป็นทั้ง Protocal การสื่อสารและฮาร์ดแวร์ที่ออกแบบมาเพื่อนำเอาเทคโนโลยีคล้ายกับระบบ Celluar บนโลก ไปใช้บนดวงจันทร์ สามารถอ่านรายละเอียดได้จาก Networking the Moon and beyond

และสุดท้ายหนึ่งใน Payload ที่จะเดินทางไปกับ IM-2 ก็คือ หุ่นโรเวอร์ขนาดเล็ก Yaoki จากญี่ปุ่น ที่พัฒนาโดยบริษัท Dymon จากประเทศญี่ปุ่น เป็นหุ่นยนต์หนักเพียงแค่ 500 กรัม ที่จะไปวิ่งบนดวงจันทร์

จะสังเกตว่าในรอบนี้ IM-2 มีแต่ Payload น่าสนใจ รวมถึงเป็นความหวังให้กับหลาย ๆ เทคโนโลยี ที่จะถูกนำมาใช้ในภารกิจตระกูล Artemis ไม่ว่าจะเป็นในมิติของการทำ In-Situ Resource Utilization หรือ IRSU ไปจนถึงระบบการวางโครงข่ายการสื่อสาร ดังนั้นความสำเร็จของ IM-2 จะส่งผลอย่างมากต่อการสำรวจดวงจันทร์ในอนาคต ก็ต้องมาร่วมลุ้นกันไม่ให้ IM-2 ลงจอดหน้าทิ่มแบบ IM-1

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.