Boeing และ NASA มีกำหนดทดสอบยานอวกาศ Boeing CFT-100 Starliner ในวันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม 2024 เวลาสี่ทุ่ม หรือช่วงเช้าของวันที่ 7 พฤษภาคม ตามเวลาประเทศไทยอย่างไรก็ตาม ทีมวิศวกรพบปัญหาระบบวาล์วความดันของจรวดท่อนที่ของคือ Centaur Upper Stage และได้มีการตัดสินใจเลื่อนการปล่อยออกไป
สำหรับในการทดสอบยาน Boeing Starliner รอบนี้ นับว่าเป็นเที่ยวบินประวัติศาสตร์ของยานอวกาศ “รุ่นใหม่” ที่พัฒนาโดยเอกชนเป็นลำที่สองต่อจาก SpaceX ที่ออกแบบบมาให้ส่งนักบินอวกาศขึ้นสู่สถานีอวกาศนานาชาติได้ ทำให้เป็นอีกหนึ่งเที่ยวบินสำคัญในประวัติศาสตร์การสำรวจอวกาศ
ทีมงานสเปซทีเอช ได้รับเชิญจาก NASA ให้ร่วมเป็นหนึ่งในสื่อที่เดินทางไปยังแหลมคะเนอเวอรัล ฟรอลิดา สหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมชมการปล่อยในครั้งนี้ และได้รวบรวมเอาบรรยากาศ รวมถึงบทวิเคราะห์เจาะลึกถึงการทดสอบในครั้งนี้ จนถึงการประกาศยกเลิก 1 ชั่วโมง 30 นาทีก่อนการปล่อย ที่นำมาสู่การจัดแถลงข่าวซึ่ง Tory Bruno CEO ของบริษัท United Launch Alliance ได้เข้ามาร่วมตอบคำถามนักข่าวด้วย
สำหรับบทความเล่าเรื่องกว่าจะเป็นการบินทดสอบในเที่ยวบินนี้นั้นสามารถอ่านได้จาก ย้อนอดีตกว่าจะเป็น CFT-1 เที่ยวบินมีลูกเรือครั้งแรกของ Boeing CST-100 Starliner
Crew Arrival เปิดตัวนักบินอวกาศ และการเตรียมตัว
NASA ได้เริ่มเชิญสื่อเข้าร่วม การปล่อยตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเมษายน 2024 หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการเลื่อนออกมาจากกำหนดการเดิมซึ่งจะอยู่ในช่วงกลางเดือนเมษายน ในช่วงเดือนเมษานั้น Boeing ได้เคลื่อนเอายาน Starliner หมายเลข 3 ชื่อ “Calypso” มากระกอบเข้ากับตัวจรวด Atlas V ณ ฐานปล่อย LC-41 ของ Cape Caneveral Space Force Station
NASA ได้จัดพิธีต้อนรับนักบินอวกาศทดสอบ Sunita Williams และ Butch Wilmore ในวันที่ 26 เมษายน 2024 ณ บริเวณ Shuttle Landing Facilites โดยนักบินทั้งสอง ร่วมกับเพื่อนนักบินอวกาศกลุ่ม Commercial Crew ได้ลงจอดด้วยเครื่องบินฝึกหัด T-38 และได้ตอบคำถามสื่อ ก่อนที่จะเดินทางไปยัง Crew Quarantine ณ Neil A. Armstrong Operations and Checkout Facility เพื่อกักตัวและเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง
CFT-1 จะเป็นการทดสอบระบบยานเต็มรูปแบบพร้อมมนักบินอวกาศ โดยตัวยานหลังจากขึ้นสู่วงโคจรจะเทียบท่าเข้ากับสถานีอวกาศนานาชาติ และให้นักบินอวกาศทั้งสองใช้ชีวิตอยู่บนนั้นเพื่อเช็คระบบของยานและความพร้อมต่าง ๆ เป็นเวลา 8 วัน ก่อนที่จะกลับลงมาลงจอดในทะเลทรายตอนกลางของรัฐนิวเม็กซิโก เป็นการลงจอดบนพื้นดินครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของยานอวกาศสหรัฐฯ หากไม่นับกระสวยอวกาศ
เหตุผลที่มีการเลื่อนวันออกมาอยู่ในเดือนพฤษภาคม เนื่องจาก NASA ต้องจัดการจราจรเข้าออกของยานอวกาศบนสถานีอวกาศนานชาติ ในวันที่ 30 เมษายน ได้มีการ Undock เอายานเติมเสบียง Dragon ในภารกิจ CRS-30 กลับโลกจากสถานีอวกาศนานชาติ และวันที่ 2 พฤษภาคมก็ได้มีการ Undock ยาน Crew Dragon ในภารกิจ Crew-8 กลับสู่โลก เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่มีกิจกรรมเกิดขึ้นบนสถานีมากมาย
การเตรียมความพร้อมรับการมาของ Suni และ Butch นั้นจำเป็นต้องมีการฝึกซ้อมลูกเรือบนสถานีด้วยเช่นกัน เนื่องจาก Starliner เป็นยานอวกาศทดสอบ ทำให้จำเป็นต้องมีการตรวจสอบความพร้อมและความปลอดภัยในทุกขั้นตอน รวมถึงต้องมีการเคลื่อนย้ายยาน Dragon ในวันที่ 3 พฤษภาคม จาก PMA 2 ซึ่งอยู่ด้านหน้าสุดของสถานีอวกาศนานาชาติ (Forward) ไปยัง PMA3 ซึ่งชี้ไปทางทิศท้องฟ้า (Zenith) ให้ Starliner มาเชื่อมต่อกับ PMA 2 แทน
Flight Readiness Review และการจัดแถลงข่าว
ในวันที่ 3 เมษายน NASA, Boeing และ United Launch Alliance ได้มีการทำ Launch Readiness Review (LRR) ซึ่งเป็นการรีวิวความร้อมครั้งสุดท้ายก่อนการปล่อย ซึ่งผลออกมาปรากฎว่ายานอวกาศ Starliner นั้นพร้อมสำหรับการปล่อย ซึ่งทันทีหลังจากที่ผลการทำ LRR ออกมา NASA ก็ได้จัดงานแถลงข่าว ณ NASA News Center ซึ่งเราก็ได้ร่วมอยู่ในงานนี้ด้วย
โดยผู้ที่ร่วมในการแถลงข่าวครั้งนี้ (ตามลำดับ) ได้แก่ Bill Nelson ผู้อำนวยการ NASA, ตัวแทนจาก Boeing, ULA และกองทัพอวกาศสหรัฐฯ ดำเนินรายการโดย Megan Cruz ผู้ประกาศของ NASA
ซึ่งทุกคนเห็นว่าภารกิจครั้งนี้นั้นพร้อม อย่างไรก็ตามความปลอดภัยของนักบินอวกาศเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และกองทัพอวกาศได้แจ้งว่า สภาพอากาศนั้นเอื้ออำนวยต่อการปล่อยมากถึง 95%
ในช่วงเปิดให้ถามคำถาม ได้มีนักข่าวจากหลายสำนักถาม และเราเองก็ได้ถามตำถามต่อกรณีการแลกเปลี่ยนลูกเรือระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียว่า เราจะได้เห็นนักบินอวกาศรัสเซีย เดินทางกับยาน Starliner เมื่อไหร่ ซึ่งตัวแทนจาก Boeing ได้ชี้แจงว่า เมื่อการทดสอบรอบนี้สำเร็จจะมีการแชร์ข้อมูลที่จำเป็นให้กับพันธมิตร (รวมถึง Roscosmos) และทาง Roscosmos จะเป็นฝ่ายตัดสินใจส่งลูกเรือร่วมเดินทางพร้อมกับยานอวกาศรุ่นใหม่นี้
อย่างไรก็ตาม NASA เองได้มีการวางแผนลูกเรือที่จะเดินทางกับยาน Starliner ในภารกิจเชิงการค้าเที่ยวบินแรก หรือ Starliner 1 ได้แก่ Scott Tingle, Michael Fincke จาก NASA และลูกเรือจากชาติพันธมิตร Joshua Kutryk จาก Canadian Space Agency (ซึ่งในภารกิจ CFT-1 นี้รับหน้าที่เป็น CAPCOM ให้กับภารกิจ) และ Kimiya Yui จาก JAXA ซึ่งจะเกิดขึ้นในปี 2025
การเลื่อนยานอวกาศมายังฐานปล่อย
ในวันที่ 4 เมษายน 2024 ได้มีการเคลื่อนเอาจรวด Atlas V จากอาคารประกอบจรวดแนวตั้งของ ULA มายังฐานปล่อย LC-41 ซึ่งสื่อมวลชนก็ได้ร่วมชมการเคลื่อนตัวจรวดนี้จากบริเวณ Universal Camera Site 3 หรือ UCS-3 ซึ่งอยู่ระหว่างฐานปล่อย LC-41 ของ ULA และ LC-40 ของ SpaceX
โดยจรวด Atlas V ที่ใช้สำหรับภารกิจการปล่อยในครั้งนี้ ใช้การ Configuration ในรูปแบบ N22 โดย N คือการไม่ติดตั้ง Payload Fairing หรือฝาครอบจรวด, 2 ตัวแรกคือจำนวนเครื่องยนต์ของ Centaur Upper Stage, และ 2 ตัวที่สองคือจำนวนของ Solid Rocket Booster โดยระหว่างตัว Centaur Upper Stage เราจะเห็นชิ้่นส่วนที่ชื่อว่า Aeroskirt เป็น Adapter เชื่อมต่อระหว่างส่วน Service ของยาน Starliner และ Centaur Upper Stage
วันที่ 5 เมษายน 1 วันก่อนการปล่อย Boeing และ ULA ได้ตรวจสอบความพร้อมของตัวจรวดและยืนยันความพร้อมของการปล่อยอีกครั้ง ในขณะที่สื่อรวมถึงเราด้วย ได้รับอนุญาติให้ติดตั้งกล้องสำหรับการถ่ายภาพแบบระยะไกล หรือ Remote Camera ณ บริเวณ UCS-3 สำหรับสื่อต่างประเทศ และบริเวณฐานปล่อยสำหรับสื่อสัญชาติสหรัฐฯ ซึ่งเราก็ได้ติดตั้งกล้องเพื่อรอบันทึกภาพการปล่อยนี้ด้วยเช่นกัน
ลูกเรือ Butch และ Suni เตรียมความพร้อมก่อนขึ้นรถมายังฐานปล่อย
วันที่ 5 เมษายน 2024 NASA ได้เริ่มต้นการถ่ายทอดสดการเตรียมตัว 4 ชั่วโมงก่อนการปล่อย โดยเริ่มจากการใส่ชุดนักบินอวกาศรุ่นใหม่ของ Boeing ของ Butch และ Suni โดยชุดนี้ ได้รับการออกแบบและพัฒนาโดย Boeing มาในชื่อว่า “Boeing Blue” ซึ่งได้มีการเปิดตัวมาตั้งแต่ช่วงปี 2017
สำหรับชุดนักบินอวกาศของ Boeing นั้น จะเป็นชุดสำหรับการสวมใส่ในระหว่างการเดินทางขึ้นสู่อวกาศเพื่อทางปลอดภัย และยังไม่ได้มีการเปิดตัวชุดสำหรับการออกไปนอกยานหรือการทำ EVA แต่อย่างใด โดยคุณสมบัติของชุดรุ่นใหม่นี้คือการออกแบบที่เบาบาง และรองเท้าที่มีน้ำหนักเบาใส่สบาย
หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง 30 นาทีก่อนการปล่อย Butch และ Suni ได้เดินออกมาจาก Crew Quarantine ประมาณเวลาหนึ่งทุ่มตรง และทักทายกับเพื่อนร่วมงาน ครอบครัว และสื่อมวลชนก่อนที่จะขึ้นรถ “Astrovan” ซึ่งเป็นรถบ้านของบริษัท Airstream บริษัทเดียวกับที่ทำรถที่ NASA ใช้รับส่งนักบินอวกาศไปยังฐานปล่อยในยุคกระสวยอวกาศ
โดยในการส่งนักบินอวกาศครั้งนี้ ผู้อำนวยการ NASA Bill Nelson และ CEO ของ United Launch Alliance ได้มาร่วมส่งด้วย สำหรับทะเบียนของรถรอบนี้ใช้ทะเบียน “Ryd4Space” พ้องเสียงกับคำว่า Ride for Space นั่นเอง และได้มีกลุ่มเพื่อนนักบินอวกาศในโครงการ Commercial Crew ขับรถยนต์ Ford Mustang สีแดง ตามไปส่งด้วย พร้อมกับขบวนรักษาความปลอดภัยตามปกติแบบที่เราเห็นกันในการส่งนักบินอวกาศไปยังฐานปล่อย
ขบวนรถยนต์ Astrovan ได้เดินทางออกจาก Neil A. Armstrong Operations and Checkout Facility เวลาประมาณหนึ่งทุ่มสิบห้านาที และใช้เวลาประมาณ 20 นาทีไปยังฐานปล่อย LC-41 ในบริเวณของ Cape Caneveral Space Force Station ผ่านเส้นทางไปยังอาคาร VAB, ฐานปล่อย LC-39A และผ่าน Beach Road เพื่อไปยังฐานปล่อยทางทิศเหนือ
หลังจากนั้น Boeing ได้มีทีมสำหรับเข้าช่วยเหลือ Butch และ Suni ในการเตรียมตัวและพาเข้ายาน Starliner ที่เรียกว่า Team A หรือ Pad Team A ดูแลทั้งสองโดยทั้งคู่อยู่ในยาน Starliner เรียบร้อย
จนกระทั่งประมาณสองชั่วโมงก่อนการปล่อยได้มีการ Hold นาฬิกานับถอยหลังเพื่อนำนักบินอวกาศทั้งสองออกจากยาน หลังจากนั้นไม่กี่นาที ได้มีการประกาศยกเลิกการปล่อย โดยแจ้งว่าเป็นปัญหาจากจรวดนำส่ง (Launch vehicle Issue) และเข้าสู่กระบวนการ Egress หรือการนำนักบินทั้งสองออกจากตัวยาน โดย Team A อีกครั้ง และพากลับเข้าสู่ Astrovan เดินทางกลับมายัง Neil A. Armstrong Operations and Checkout Facility ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาที
ภายหลังการประกาศดังกล่าว NASA ได้สิ้นสุดการถ่ายทอดสด และนัดแถลงข่าวช่วงเวลาประมาณ 4 ทุ่ม 15 นาที ตามเวลา ณ ฐานปล่อย หรือช่วงเวลาใกล้เคียงกับเวลา T-0 ของภารกิจในกำหนดการณ์เดิม
เลื่อนการปล่อย และการแถลงข่าว ปัญหาระบบ Self Regulating Valve
ในการแถลงข่าวที่ประกอบด้วย Ken Bowersox ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายภารกิจอวกาศ, Steve Stich ผู้จัดการโครงการ Commercial Crew, Dana Weigel ผู้จัดการโครงการสถานีอวกาศนานชาติ, Tory Bruno CEO บริษัท ULA และ Mark Nappi รองประฐานโครงการ Starliner ของ Boeing ดำเนินรายการโดย Megan Cruz ผู้ประกาศ NASA ได้มีการเปิดเผยถึงรายละเอียดฉบับเต็มของเหตุผลที่เลื่อนการปล่อย
Tory Bruno CEO ของ ULA ได้เผยว่า ทีมวิศวกรตรวจพบว่าระบบ Self Regulating Valve ซึ่งใช้ในการระบายแรงดันในระบบขับดันของตัว Centaur Upper Stage ทำงานอย่างไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น เนื่องจากมีพฤติกรรมการเปิดและปิดเพื่อระบายความดันอย่างรวดเร็ว โดย Bruno เรียกว่า “Buzzing Valve” ซึ่งปัญหานี้ ทำให้รอบไซเคิลการทำงานของมันสูงกว่าที่ควรจะเป็น และอาจเกิดปัญหาขึ้นในการทำการบินได้ โดยปกติวิศวกรจะแก้ปัญหานี้ด้วยการ “รีเซ็ต” ตัวระบบวาล์วดังกล่าว แต่ในกรณีของเที่ยวบิน CFT-1 นั้น มี Protocal ที่แตกต่างออกไปเนื่องจากทีมจะไม่สามารถปรับแก้ปัญหาบนตัวจรวดในระหว่างที่มีนักบินอยู่บนยานได้ จึงนำไปสู่การตัดสินใจเลื่อนการปล่อย และนำเอานักบินลงมาจากยานในที่สุด
ฝั่งของ Boeing และ NASA ได้ย้ำว่า ยาน Boeing Starliner นั้น ยังอยู่ในสภาพดีและพร้อมมสำหรับการปล่อย โดยนักข่าวในห้องได้ตั้งคำถามถึงกระบวนการในการแก้ปัญหา และโอกาสที่ Atlas V กับ Centaur จะถูกปล่อยได้อีกครั้ง ซึ่ง Bruno ก็ได้แจ้งว่า ทีมจะแก้ไขปัญหาและกลับมาปล่อยได้โดยใช้เวลา 24 ชั่วโมง (วันอังคาร) คือใช้เวลาเดิม แต่หากปัญหาซับซ้อนกว่าที่คาดไว้ ก็มีโอกาสปล่อยได้อีกครั้งในวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม 2024 (หรือเช้าวันที่ 11 ตามเวลาประเทศไทย)
โดยงานแถลงข่าวได้จบลง อย่างไรก็ดี ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น NASA, Boeing และ ULA ก็ได้ประกาศว่า การปล่อยภารกิจ CFT-1 นี้นั้น จะเกิดขึ้นไม่เร็วไปกว่า (No Earlier Than) วันศุกร์ที่ 10 ต่างไปจากที่แถลงข่าวช่วงหลังตรวจพบปัญหา ตามมาด้วยการปรับเวลาการปล่อยอีกครั้งในช่วงค่ำของวันที่ 8 พฤษภาคม (เช้าวันที่ 9 ตามเวลาประเทศไทย) ว่าการปล่อย จะถูกเลื่อนออกไปอีกไม่เร็วไปว่าอีกหนึ่งสัปดาห์ของกำหนดเดิม คือวันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม 2024 โดยวิศวกร ULA ยังไม่ได้ออกมาเปิดเผยถึงปัญหาเพิ่มเติม แต่แจ้งว่า Atlas V พร้อม Centaur จะต้องถูกนำกลับไปยังโรงเก็บเพื่อเปลี่ยนตัวอุปกรณ์วาล์วใหม่
วิเคราะห์เที่ยวบินแรกของ Starliner หลังเลื่อนมาหลายปี
Starliner มีประวัติการเลื่อนการทดสอบมาอย่างยาวนานเกินกว่ากำหนดเดิมมามากว่า 5 ปี รวมถึงมีประวัติการหลงทางในอวกาศจนเดินทางไปไม่ถึงสถานีอวกาศนานาชาติในเที่ยวบินทดสอบแรก อาจไม่แปลกถ้าเราจะได้เห็นการเลื่อนอีกครั้ง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือในรอบนี้การเลื่อนการปล่อยไม่ได้มาจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวยาน Starliner แต่มาจากจรวดนำส่งอย่างระบบ Atlas V และ Centaur Upperstage ซึ่งมีประวัติการใช้งานมาอย่างยาวนานและนำส่งยานอวกาศต่าง ๆ ขึ้นสู่วงโคจร หรือไปยังดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี หรือแม้กระทั่งดาวพลูโต ในอดีต โดย ULA อาจถูกตั้งคำถามในแง่ของความน่าเชื่อถือ (Reliability) ของการทำงานกับระบบการนำส่งนักบินอวกาศ
ข้อสังเกตก็คือ Tory Burno ได้มีการกล่าวว่า “หากเป็นการปล่อยดาวเทียม วิศวกรสามารถแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว” หมายความว่า ULA เองอาจต้องปรับตัว ทั้งนี้ ULA ยังไม่มีจรวดลำใดที่จะสามารถใช้ส่งยาน Starliner ได้นอกจาก Atlas V เพราะทั้งจรวด Delta V Heavy และจรวด Vulcan รุ่นใหม่ ยังไม่ได้รับ Certificate จาก NASA ในการใช้นำส่งนักบินอวกาศสู่วงโคจร ทำให้ Atlas V ยังคงเป็นความหวังเดียวของ Starliner แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า จะมีการนำเอาจรวดรุ่นอื่นมาใช้นำส่ง Starliner ในอนาคต
ในส่วนของยาน Starliner นั้น คาดว่าอาจไม่มีปัญหามากเนื่องจาก Boeing เอง ก็ต้องมั่นใจมาก ๆ ถึงได้อนุมัติการขึ้นบินครั้งแรกในภารกิจมีมนุษย์โดยสาร และวางตารางการเริ่มทำงานรับส่งในเชิงการค้า (Commercial) ในช่วงปี 2025 และในการทดสอบ OFT-2 ที่เกิดขึ้นไปในปี 2022 ที่ผ่านมา แม้จะมีปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้นบนวงโคจร แต่ Boeing ก็สามารถนำยานอวกาศ Starliner ขึ้นเทียบกับสถานีอวกาศนานชาติและกลับสู่โลกได้อย่างปลอดภัย
ดังนั้นในการปล่อยครั้งถัดไปเราก็คาดหวังว่าเราจะได้เห็น Starliner ทำงานได้อย่างเต็มรูปแบบ และ Boeing ก็จะได้กลายเป็นบริษัทเอกชนรายที่ 2 ที่นำส่งนักบินอวกาศขึ้นสู่สถานีอวกาศนานาชาติได้สำเร็จซักที
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co