โกษาปานพบแคสสินี ถอดรหัสดาราศาสตร์ ในสมัยพระนารายณ์ แห่งอยุธยา และฝรั่งเศส

เมื่อพูดถึงดาราศาสตร์ในประเทศไทยคิดว่าหลายคนคงจะนึกถึงปรากฏการณ์สุริยุปราคาเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 1868 ณ ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งสมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 ทรงคำนวณล่วงหน้าไว้ถึง 2 ปี และเสด็จไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง จนประชาชนถวายพระราชสมัญญานามทรงเป็น “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย”  ที่เราท่องจำกันในหนังสือเรียน

แต่แท้จริงแล้ว ทราบหรือไม่ว่า หากเรามองย้อนไปในประวัติศาสตร์ ดาราศาสตร์ฉบับยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการนั้น ได้เคยเดินทางมาถึงแผ่นดินที่ปัจจุบันเราเรียกว่าไทย ตั้งแต่เมื่อสี่ร้อยกว่าปีที่แล้ว

ในบทความนี้ผู้เขียนอยากพาทุกคนไปชมภาพที่เป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาดาราศาสตร์ในประเทศไทย การเข้ามาของดาราศาสตร์ตะวันตกในสยาม ความเป็นไปตามบริบทราชสำนัก ความสัมพันธ์ระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส จนถึงจุดจบที่ (อาจจะ) น่าเสียดายของศาสตร์นี้ในสมัยกรุงศรีอยุธยา

บทความนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ Year of Innovation 2023 ปีแห่งนวัตกรรมไทยฝรั่งเศส ซึ่งสามารถศึกษาและติดตามข่าวสาร และกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นตลอดทั้งปีได้ทาง Year of Innovation 2023

ศาสตร์การดูดาวในอดีต

หากใครที่เป็นแฟนของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) อาจเคยเห็นว่าทางสถาบันฯ ได้มีการศึกษาและพูดถึงความเชื่อมโยงระหว่างยุคของพระนารายณ์ ในสมัยอยุธยา กับอิทธิพลจากชาติตะวันตก โดยเฉพาะฝรั่งเศสในหลายโอกาส หนึ่งในนั้นก็คือการออกหนังสือที่มีชื่อว่า ดาราศาสตร์ราชสำนัก ซึ่งมีการตีพิมพ์ออกมาในปี 2013 ซึ่งก็ได้กล่าวถึงที่มาที่ไปและความเชื่อมโยงของดาราศาสตร์กับสังคมไทย ซึ่งก่อนอื่น อยากจะให้เข้าใจตรงกันว่า ในบทความนี้ เราอาจจะไม่ได้มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่าง ดาราศาสตร์ (Astronomy) และโหราศาสตร์ (Astrology) ซึ่งตามหลักการแล้วศาสตร์ทั้งสองมีวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน และโหราศาสตร์จะนำเอาการเคลื่อนที่ของดวงดาวมาผูกเข้ากับพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต รวมถึงชะตาชีวิตของคน หรือเมือง ในขณะที่ดาราศาสตร์ ถ้าจะพูดให้ถูกมันก็คือโหราศาสตร์ที่ตัดเรื่องชะตาชีวิตออกไป และถูกมองสาระสำคัญเป็นเรื่องการเคลื่อนที่ของวัตถุบนท้องฟ้า อย่างไรก็ตามศาสตร์ทั้งสองนั้น มีจุดเริ่มต้นจากการคำนวณ และสังเกตเช่นเดียวกัน ต่างกันเพียงแค่วิธีตีความ

แรกเริ่มดาราศาสตร์ในราชสำนักมีรากฐานมาจากดาราศาสตร์ของชมพูทวีป โดยในคัมภีร์พระเวทก่อนสมัยพุทธกาลมีส่วนที่เรียกว่า โชยติส (Jyotish) พูดถึงการแบ่งเวลาโดยใช้นาฬิกาน้ำ การแบ่งวันออกเป็นส่วน ๆ การโคจรของดวงอาทิตย์ การหาจุดอุทัยลัคนา เพื่อเลือกเวลามงคลในการบวงสรวงและประกอบพิธีกรรม สิ่งนี้ถูกเล่าไว้ใน  Vedanga Jotish of Langhadha ซึ่งเป็นตำราโหราศาสตร์เก่าแก่ ที่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านนี้

ในขณะที่พระไตรปิฏก มีการพูดถึงหัวข้อแต่ไม่ลงรายละเอียดมาก เพราะโหราศาสตร์การพยากรณ์เป็นหนึ่งใน “ติรัจฉานวิชา” คือวิชาที่ไม่ทำให้บรรลุนิพพาน 

สิ่งที่พบมีทั้งการศึกษาดาราศาสตร์โบราณ รวมถึงพยากรณ์ศาสตร์โบราณด้วย เช่น การโคจรของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว การเกิดสุริยุปราคา จันทรุปราคา อุุกกาบาต ดาวหาง แผ่นดินไหว ฟ้าร้อง พุทธานุญาตให้เรียนเรื่องทางนักษัตรและทิศเพื่อป้องกันโจรภัย การกำหนดนักษัตรสำหรับการเข้าพรรษา

โดยช่วงต้นสุโขทัย มีศิลาจารึกที่บันทึกข้อมูลดวงชาตา (ชะตา) เป็นระบบดาราศาสตร์โบราณในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นต้นมามากกว่า 100 หลัก (รวบรวมโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร ฐานข้อมูลจารึกประเทศไทย) สำหรับราขวงศ์สุโขทัยนั้น มีหลักฐานว่าพญาลิไทมีความสนใจและมีความสามารถในวิชาดาราศาสตร์ (จากจารึกวัดป่ามะม่วง ซึ่งบันทึกไว้เป็นภาษาเขมร ใน ด้านที่ 1 ซึ่ง ศ. ยอช เซเดส์เป็นผู้ชำระและแปล) โดยได้คำนวณจำนวนวันตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานมาถึงวันผนวชนั้นด้วยคัมภีร์ดาราศาสตร์โบราณ

ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น มีการคำนวณตำแหน่งดาวจากพระราชพงศศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชจนถึงสมัยอยุธยาตอนปลาย 

ในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง มีการจัดพิธีลบศักราช คือการยกเลิกปีศักราชที่ใช้อยู่แล้วตั้งศักราชขึ้นมาใหม่ เพื่อแสดงว่ามีอภินิหารมากกว่ากษัตริย์พระองค์อื่น (ฮา) โดยเมื่อถึงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็กลับไปใช้ปีนักษัตรตามลำดับเดิม 

พระนารายณ์ และอิทธิพลของการเข้ามาจากฝรั่งเศส

อิงจากหนังสือดาราศาสตร์ราชสำนักนั้น การศึกษาโหราศาสตร์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มีการบันทึกไว้ในหนังสือโดยลาลูแบร์ชื่อ Du royaume de Siam Vol. II ในปี 1691 โดยในการศึกษาโหราศาสตร์นั้นไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ จะให้มาดูดาวเลยแต่มีหลักสูตรชัดเจนได้แก่

  • ต้องศึกษาคณิตศาสตร์โบราณก่อน คือการท่องสูตรคูณ แต่จาก “สามห้าสิบห้า” ให้ท่องเป็นบาลีว่า “ตรีเบ็ญจะ 15” รวมทั้งคูณหารเลขจำนวนที่มาก 
  • เรียนมาตราชั่งน้ำหนัก มาตราตวงปริมาตร มาตราวัดระยะ มาตราเวลา อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา จากนั้นฝึกกระจายมาตรา รวมมาตรา ทำโจทย์เลขตลาด ปัญหาเลขที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน
  •  แล้วจึงเรียนเรื่อง “ฉวาง” ต่อด้วย “กรณสุภาพ” “โคตรกรณ” คือการถอดรากที่ 2 และรากที่ 3 

พอเรียนทั้งหมดนี้แล้วจะเรียกว่าจบเลขโบราณ หลังจากนั้นก็สามารถศึกษาก่อสร้าง ตำราสถาปัตยกรรม ตำราโหราศาสตร์ได้

ซึ่งสิ่งนี้เป็นตัวที่บ่งชี้ว่า อิทธิพลของการศึกษาศาสตร์ที่ทางฝรั่งยุโรปจะเรียกว่า “ปรัชญาธรรมชาติ” หรือ Natural Philosophy นั้น ปรากฎในภูมิภาคนี้เช่นกัน แต่จะอยู่ในบริบทของการใช้ชีวิต ถ้าให้พูดง่าย ๆ คือ คนในสมัยนั้นอาจจะไม่รู้จักแคลคูลัส หรือฟิสิกส์ แต่ก็เข้าใจแนวคิดของ หน่วยชั่ง ตวง วัด ระบบการนับเลข รวมถึงการท่องสูตรคูณ และที่สำคัญก็คือ ตัวเลขในระบบภาษา (งงไหม) คือการซ่อนการคำนวณไว้ในการแต่งบทร้อยกรองต่าง ๆ ทำให้บทร้อยกรองของไทย มีความซับซ้อนมาก (ถ้าที่เรียนกันก็คือมีทั้ง กลอน 8 กลอน 4 กลอน 6 กาพย์ยานี 11 เห็นไหมว่าเป็นตัวเลขทั้งนั้นเลย)

จากการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ สู่สมัยพระนารายณ์

ก่อนอื่นเราต้องบอกก่อนว่า ในการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (Scientific Revolution) นั้น มันมีบริบทภายในซ่อนอยู่ มากกว่าแค่การตีความทางประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมาว่าในยุค 1500-1600 เป็นช่วงที่มีการล้มล้างแนวคิดเดิมว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล แต่มันคือการร้อยเรียงของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีการนำอุปกรณ์การสังเกต มาถูกใช้เพื่อส่องไปยังวัตถุท้องฟ้า (โดยเฉพาะของกาลิเลโอ ที่นำไปสู่การค้นพบดวงจันทร์บริวารของดาวพฤหัสบดี หรือภูเขาบนดวงจันทร์) หรือการทำลายกำแพงด้านแนวคิดว่า วัตถุบนท้องฟ้านั้นก็ล้วนแล้วแต่ใช้กฎทางฟิสิกส์ชุดเดียวกันกับบนโลกผ่านการอธิบายกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน

ที่เราต้องเตือนไว้ก็เพราะว่า เราอาจมองว่าองค์ความรู้ของตะวันตกในตอนนั้น นับเป็นสิ่งใหม่ไปเลย แต่ในความเป็นจริงเราอาจมองได้ว่ามันเป็นเพียงแค่การวกกลับไปยังจุดเริ่มต้นของการศึกษาธรรมชาติอีกครั้ง อาจารย์โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์ เคยวิเคราะห์ว่า “Revolution” มีอีกความหมายหนึ่งซึ่งมาจากคำกริยา “To Revolve” หมายความว่าหมุน หรือโคจรรอบ ๆ ในความหมายนี้ “Revolution” จึงหมายถึงการการหมุนกลับมาที่เดิม หรือการรื้อฟื้นของเก่าที่เคยมีมาก่อนแต่ได้สูญหายหรือผู้คนลืมเลือนไปในเวลาถัดมา

กาลิเลโอและพระสันตะปาปา จริง ๆ แล้วกาลิเลโอนั้น นับว่าเป็นชนชั้นสูงในสมัยนั้น และรู้จักหน้าคร่าตากับศาสนจักร

ดังนั้น เราอยากไม่ได้อยากให้ทุกคนมองว่ามันมีความวิทยาศาสตร์ขนาดนั้น ถึงขั้นว่าปฏิเสธพระเจ้า หรือท้าทายว่าพระเจ้าไม่มีจริง เพราะตัวละครที่เราจะกล่าวถึงต่อไปนี้ ส่วนมากก็ทำงานเพื่อรับใช้ราชสำนัก หรือเป็นนักบวชทั้งสิ้น สิ่งนี้จึงไม่ใช่การหักดิบ แต่เป็นการคล่อย ๆ คลายแนวคิดของศาสนจักรที่มีต่อธรรมชาติลง (เรียกว่าปฏิรูปสถาบันก็ได้)

เราแนะนำให้ทุกคนอ่านบทความเรื่อง การปฏิวัติวิทยาศาสตร์คืออะไรกันแน่ ผ่านมิติประวัติศาสตร์และสังคม

ภายหลังจากการปฏิวัติวิทยาศาสตร์นั้น ส่งผลให้เกิดเทคโนโลยี รวมถึงศาสตร์ด้านการมองธรรมชาติที่ใกล้เคียงกับในสมัยปัจจุบันมากขึ้น และเมื่อความเจริญก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์มาผนวกรวมกับความต้องการเป็นมหาอำนาจของชาติในยุโรป ทำให้ในแต่ละประเทศมีนโยบายในการเดินเรือเพื่อไปยังดินแดนใหม่ ๆ โดยเฉพาะประเทศฝรั่งเศส

ในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ฌ็อง-บาติสต์ กอลแบรต์ (Jean-Baptiste Colbert) ซึ่งถูกแนะนำโดยอัครมหาเสนาบดี พระคาร์ดินัลมาซาแร็ง (Jules Cardinal Mazarin) ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีการคลังและสภาที่ปรึกษาแผ่นดินรวมถึงหน้าที่สำคัญอื่น ๆ  เช่น เสนาบดีประจำสำนักพระราชวัง และราชนาวี เสนาบดีกิจการเหมืองแร่ และอุตสาหกรรม เสนาบดีด้านการเดินเรือ ด้านการค้าขายต่าง ๆ

กอลแบรต์เชื่อในลัทธิพาณิชยนิยม (Mercantillism) ซึ่งขึ้นอยู่กับการสร้างอาณานิคมและการค้าทางทะเล โดยวิธีการค้าของกอลแบรต์ คือการพัฒนาประเทศจากภายใน โดยปฎิรูปการเก็บภาษีอย่างรัดกุมทำงบประมาณค่าใช้จ่ายของประเทศ และพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ เพื่อจะไม่ต้องจ่ายเงินซื้อของจากต่างประเทศ และส่งเสริมจากส่งออกสินค้าให้มากที่สุด เพื่อที่จะได้ทองเข้าประเทศ

ข้อมูลนี้ถูกตีความไว้ในงานศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฝรั่งเศสในสมัยอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระนารายถึงรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา โดย พลับพลึง มูลศิลป์

ในแง่การเดินเรือและราชนาวี รัฐสนับสนุนให้ต่อเรือสินค้าขนาดใหญ่จาก 200 ลำ เป็น 500 ลำ ในช่วง 1680-1688 กองทัพเรือของฝรั่งเศสมีเรือรบขนาดใหญ่กว่า 300 ลำ ถือเป็นยุทโธปกรณ์สำคัญซึ่งทำให้ฝรั่งเศสขยายอาณานิคมได้กว้างขวาง (อ่านเพิ่มเติม – “กอลแบรต์” ผู้หาเงินเลี้ยงแวร์ซายส์ให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เริ่มงานตี 5 ครึ่ง-ดู 9 กระทรวง) สิ่งนี้จึงนำมาซึ่งการพบกันของสองโลกในที่สุด

การสนับสนุนการศึกษาธรรมชาติของฝรั่งเศส

หลังจากสาธยายพื้นเพ (เกือบ) รอบด้านทั้งจากฝั่งสยามและฝรั่งเศสก็เห็นสมควรจะได้ขยับเข้ามาใกล้ดาราศาสตร์เสียที โดยตัวละครสำคัญของเรื่องนี้เป็นชาวอิตาลีที่ย้ายงานไปยังฝรั่งเศสด้วยเงินเดือนที่มากกว่าเดิม 3 เท่า นั่นคือ โจวันนี โดเมนีโก กัสซีนี (Giovanni Domenico Cassini) ซึ่งในบทความอื่นเราจะเรียกเขาว่าแคสสินี แต่ในบทความนี้เพื่อความหรูหรา เราจะเรียกเขาว่ากัสซีนี

เมื่อกัสซีนี สำเร็จการศึกษาจาก the Jesuit College และ Abbey of San Fructuoso กัสซีนีก็ได้งานที่หอดูดาว Panzano จากนั้นในปี 1650 กัสซีนีวัย 25 ปี ได้ย้ายไปเป็นศาสตราจารย์ดาราศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย Bologna ตามพระบัญชาของสันตะปาปา Clement ที่ 9 

อาคารหอดูดาวกรุงปารีสเมื่อสร้างแล้วเสร็จในปี 1672 เผยแพร่ครั้งแรก 1729.
วาโดย Gabriel Perelle ที่มา – Wiki Archive

ในขณะนั้นพระเจ้าหลุยที่ 14 ได้มีการก่อตั้ง Academy of Sciences and Arts และได้สร้างหอดูดาวปารีสเพื่อให้นักดาราศาสตร์ฝรั่งเศสทำงาน โดยสั่งให้กอลแบรต์ นายกรัฐมนตรีตอนนั้นหานักวิชาการจากประเทศต่าง ๆ ไปทำงานที่ฝรั่งเศส  โดยได้เชิญมาทั้งหมด 3 คนได้แก่

  • คริสตียาน เฮยเคินส์ (Christian Huygens) จากฮอลล์แลนด์
  • โอเลอ เรอเมอร์ (Ole Roemer) จากเดนมาร์ก
  • โจวันนี โดเมนีโก กัสซีนี (Giovanni Domenico Cassini) จากอิตาลี

ซึ่งมีผลงานโดดเด่นก่อนหน้า เช่น ในปี 1665 ได้เห็นจุดแดงใหญ่ (Great Red Spot) บนดาวพฤหัสบดีในเวลาไล่เลี่ยกับ Robert Hooke เมื่อหอดูดาวที่ปารีสสร้างเสร็จในปี 1671 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จึงแต่งตั้งให้กัสซีนีเป็นผู้อำนวยการประจำหอดูดาว และในปี 1675 กัสซีนีก็เป็นคนแรกที่ได้พบว่า แถบบรรยากาศในส่วนต่าง ๆ ของดาวพฤหัสบดีมีความเร็วในการเคลื่อนที่แตกต่างกัน และได้พบช่องว่างระหว่างวงแหวนรอบดาวเสาร์

กอลแบรต์แนะนำสมาชิก Royal Academy of Sciences ต่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ใน 1667 ในด้านหลังคือ หอดูดาวปารีส (Paris Observatory) วาดโดยศิลลปินชาวฝรั่งเศส Henri Testelin ที่มา – Wiki Archive

สามารถอ่านเรื่องราวตอนนั้นได้ในบทความ – เจาะลึกวงแหวนดาวเสาร์ จากภาพอดีตสู่ปัจจุบัน

พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สนับสนุนการศึกษาวิชาดาราศาตร์เพื่อการทำแผนที่โลกที่แม่นยำ นำไปสู่ความได้เปรียบทางการค้าจึงส่งนักคณิตศาสตร์นักดาราศาสตร์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือนักบวชคณะเยสุอิต เพื่อไปตั้งศูนย์ค้นคว้านอกทวีปยุโรป โดยเลือกกรุงปักกิ่งจีนเป็นเป้าหมายแรกใน เนื่องจากผลประโยชน์อื่น ๆ ที่จะตามมา เช่น ได้รู้จักสินค้าจีนซึ่งเป็นที่ต้องการในยุโรป และคนจีนจำนวนมากที่อาจจะเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์คาทอลิก  ในเวลานั้นสมเด็จพระจักรพรรดิคังซีของจีนก็ให้ความสนับสนุนศาสตร์นี้ด้วย โดยระบุไว้ใน หนังสือการเดินทางมาสยามเมื่อ 1685 โดยบาทหลวงตาชาร์ด หนึ่งในคณะเยสุอิต 

พระบาทหลวงคณะนี้เป็นนักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์จึงเข้ามาทำการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์และสำรวจภูมิศาสตร์ มีการนำเครื่องมือทางดาราศาสตร์เข้ามาจำนวนมาก กล้องโทรทรรศน์ขนาดต่างๆ จำนวน 7 กล้อง เครื่องมือวัดมุมดาว นาฬิกาดาราศาสตร์ รวมถึงปฎิทินแสดงตำแหน่งดาวและกำเนิดอุปราคา ซึ่งได้มาการคำนวณมาจากหอดูดาวปารีสภายใต้การอำนวยการของกัสซีนีเพื่อให้บาทหลวงทำการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ในการเดินทางสู่ตะวันออกครั้งนี้ โดยนอกจากงานด้านวิชาการแล้วบาทหลวงคณะนี้มีหน้าที่เผยแผ่ศาสนาควบคู่ไปด้วย 

อาจารย์ภูธร ภูมะธน นักวิชาการ ให้ความเห็นไว้ในหนังสือ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช : พระมหากษัตริย์ผู้สนพระทัยและองค์อุปถัมภ์การศึกษาดาราศาสตร์ตะวันตกในสยามพระองค์แรก บอกไว้ว่าการที่บาทหลวงสามารถแสดงความอัศจรรย์ให้ชาวพื้นเมืองประจักษ์ เช่น การคำนวณการเกิดคราสได้ จะทำให้ชาวพื้นเมืองศรัทธาและหันมาเข้ารีตมากขึ้น (มุกเดิมมาก)

การที่คณะเยสุอิตมาแวะที่สยามในระหว่างเดินทางไปยังจีนต่อเมื่อ 1685 ก็ทำให้ข่าวการพัฒนางานด้านดาราศาสตร์มาถึงหูของสมเด็จพระนารายณ์ ในขณะนั้นสยามเองก็มีนโยบายพัฒนาการดินเรือ ความรู้เรื่องแผนที่ภูมิศาสตร์เพื่อการเดินเรือที่ทันสมัยถูกต้องน่าจะทำให้พระนาราย์สนใจดาราศาสตร์ตะวันตก

การศึกษาดาราศาสตร์ตามแนวทางตะวันตกเกิดขึ้นในสยามอย่างน้อย 3 ปี ก่อนคณะราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จะเข้ามาในสยาม โดยเริ่มจากบาทหลวงโธมัส (le P. Thomas) และบาทหลวงกูย (le P. Gouye) โดยมีพระนครศรีอยุธาเป็นศูนย์กลางการศึกษา มีการสังเกตจันทรุปราคาเมื่อคืนวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1682  ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อตอน 03.45 น. และคลายเมื่อ 04.52 น. ซึ่งหลักฐานปรากฎในหนังสือ Annales Céleste Du Dix-septième Siècle (สารบรรณปรากฎการณ์บนท้องฟ้าเมื่อคริสศตวรรษที่ 17) ของประเทศฝรั่งเศส โดยได้รวบรวมรายงานข้อมูลจันทรุปราคาครั้งนี้จากนักดาราศาสตร์ที่สังเกตจากที่ตาง ๆ เช่น โรเมอร์จากกรุงโคเปนเฮเกน, ฮัลลีย์ จากเมืองกรีนิช และกัสซีนีจากกรุงปารีส รวมถึง บาทหลวงโตมา จากพระนครศรีอยุธยา

สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงร่วมสังเกตปรากฏการณ์จันทรุปราคา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 1689 (ภาพต้นฉบับเป็นสมบัติของห้องสมุดแห่งชาติฝรั่งเศส)

เหตุการณ์ที่น่าสนใจนี้ถูกบันทึกไว้ใน จดหมายเหตุการเดินทางสู่ประเทศสยามของบาทหลวงตาชาร์ด หน้า114-122

เมื่อราชทูตคณะแรกเข้ามานำโดยเชวาเลีย เดอ โชมอง (Chevalier de Chaumont) เชิญสมเด็จพระนารายให้เข้ารีตเป็นคริสตัง แต่พระองค์ปฎิเสธ ระหว่างแวะพักที่สยาม คณะเยสุอิตก็ได้ศึกษาปรากฎการบนท้องฟ้าทั้งที่พระนครศรีอยุธยาและลพบุรีไปด้วย โดยเฉพาะการสังเกตปรากฎการณ์จันทรุปราคาต่อหน้าสมเด็จพระนารายณ์ ที่พระราชวังทะเลชุบศร เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 1689 โดยสรุปได้ว่า สมเด็จพระนารายณ์อนุญาตเป็นพิเศษให้บาทหลวงลุกขึ้นยืนเพื่อติดตั้งกล้องดูดาวต่อหน้าพระที่นั่งได้ และมีคำสั่งให้สร้างหอดูดาวที่เมืองละโว้และอยุธยาก่อนที่ทูตฝรั่งเศสคณะใหม่จะมาถึง” โดยมีข้าราชการไทยและคณะบาทหลวงเยซูอิตอยู่ด้วย โดยพระองค์ได้ถามปัญหาต่าง ๆ ว่า 

  • เหตุไฉนดวงจันทร์จึงเห็นกลับทางกันในกล้องส่องดูดาว
  • เหตุไรเราจึงยังเห็นดวงจันทร์อยุ่อีกเป็นบางส่วนเมื่อจับเต็มคราสแล้ว
  • ขณะนี้เวลาที่กรุงปารีสเท่าไหร่แล้ว
  • การสำรวจที่กระทำขึ้นพร้อม ๆ กันในที่ห่างไกลนั้นจะเกิดประโยชน์อะไรขึ้นบ้าง

ซึ่งน่าตื่นเต้นมากเพราะนี่เป็นคำถามที่เรียกได้ว่าเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คือการสังเกต ทั้งคำถาม และทั้งสมมติฐาน ที่สองโลกมาพบกันในช่วงนี้

การสังเกตครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวัดเส้นแวงทางภูมิศาสตร์ของเมืองลพบุรีเทียบกับกรุงปารีส โดยทำการสังเกตการเกิดจันทรุปราคาตามลำดับเหตุการณ์ นับตั้งแต่สัมผัสจนเสร็จสิ้น โดยบันทึกเวลาที่เหตุการณ์นั้น ๆ เกิด ตามระบบเวลาของเส้นเมอริเดียนลพบุรี ในขณะเดียวกันที่กรุงปารีส กัสซีนีก็ทำแบบเดียวกัน ในระบบเวลาของเส้นเมดิเตอเรเนียนของกรุงปารีส แล้วจึงนำผลต่างของเวลาที่เหตุการณ์เดียวกันถูกสังเกตมาคำนวณหาเส้นแวงของเมืองลพบุรีเทียบกับเส้นเมดิเตอเรเนียนของกรุงปารีส

สมเด็จพระนารายณ์สนใจที่จะสร้างหอดูดาว, ที่พักบาทหลวงและโบสถ์ให้แก่บาทหลวงคณะเยซูอิต ที่เมืองลพบุรี ซึ่งรู้จักกันในชื่อวัดสันเปาโลในปัจจุบัน โดยรูปแบบหอดูดาวของลพบุรีก็มีลักษณะคล้ายหอดูดาวปารีส ซึ่งมีลักษณะเป็นหอสูงสามชั้น แปดเหลี่ยม หลังคาแบนราบ (แต่ปัจจุบันหอดูดาวปารีสมีการต่อเติมเป็นโดมครอบ) อาจกล่าวได้ว่าเป็นหอดูดาวที่ทันสมัยแห่งแรกของ Far East Asia ในสมัยนั้น

โกษาปานเข้าเฝ้าถวายพระราชสาสน์ และเข้าพบกัสซีนี

อ้างอิงจากจดหมายเหตุการเดินทางครั้งที่ 2 ของบาทหลวงตาชาร์ด หน้า 1 ทางราชสำนักสยามได้ขอให้บาทหลวงตาชาร์ดไม่ต้องเดินทางไปจีนและเป็นผู้ไปเจรจากับราชสำนักฝรั่งเศสเพื่อขอบาทหลวงคณะเยสุอิต 12 รูปมาประจำที่สยาม และจากการแนะนำของเดอโชมองต์ ฟอลคอนได้เลือกออกพระวิสุทรสุนทร หรือเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เป็นราชทูตไปฝรั่งเศส โดยให้โกษาปานเป็นราชทูตไปขอร้องบาทหลวงเดอ ลา แชส (François de la Chaise) ให้บอกเรื่องนี้กับสมเด็จพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ด้วย

จนกระทั่ง วันที่ 1 กันยายน 1686 โกษาปานก็ได้เข้าเฝ้าถวายพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการแด่พระเจ้าหลุยที่ 14 ณ พระราชวังแวร์ซายส์ พระเจ้าหลุยที่ 14 ก็อนุญาตให้ประกาศรับสมัครและคัดเลือก จนได้ได้บาทหลวงทั้ง 12 รูป และแต่งตั้งให้เป็นนักคณิตศาสตร์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งฝรั่งเศส (Mathematician of the King of France) และได้รับการอบรมความรู้เพิ่มเติมจากราชบัณฑิตแห่งสภาวิทยาศาสตร์ (Académie des Sciences) ก่อนจะมายังสยาม

ภาพลายเส้นรูปออกพระวิสุทสุนทร (ปาน) ราชทูตสยามและคณะเข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นแด่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ณ พระราชวังแวร์ซายส์ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2229 ภาพจากปฏิทินฝรั่งเศสปี 1687 ที่มา – ศิลปวัฒนธรรม

ระหว่างที่อยู่ในฝรั่งเศสเป็นเวลา 6 เดือนนั้น โกษาปานได้ไปชมความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และโรงงานอุตสาหกรรมที่เมืองเดเบลอ เข้าชมห้องเครื่องจักรที่พระที่นั่งลูฟร์ ซึ่งมีเครื่องจักรชนิดต่าง ๆ ซึ่งคิดขึ้นมาใหม่ นอกจากการนี้ยังชมเครื่องทดลองแรงดันทางอากาศ ห้องบังคับอุณหภูมิ โดยราชทูตได้ร่วมทำการทดลองต่าง ๆ ว่าอากาศมีน้ำหนัก โดยมี ม.ฮูแบง (ช่างทำเครื่องถมของหลวงและมีชื่อเสียงในด้านวิทยาศาสตร์) เป็นผู้อธิบายความรู้วิทยาศาสตร์เบื้องต้น นอกจากนี้ยังได้ไปชมโรงพิมพ์หลวง โดยราชทูตได้ถามถึงวิธีการหล่อแม่พิมพ์ แร่ธาตุที่ใช้ทำตัวหนังสือ วิธีเข้าปก ตลอดจนแท่นพิมพ์ และยังได้ไปชมสวนสัตว์ที่เมืองเมนาเญอรี ซึ่งมีสัตว์จากประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย (ระบุไว้ในประชุมพงศาวดารภาคที่ 42 ในชุดของคุรุสภา เล่มที่ 25 หน้า 67) 

และที่สำคัญคือการเยี่ยมชมหอดูดาวปารีส โดยโกษาปานได้พูดคุยกับกัสซินีผู้อำนวยการหอดูดาวออบแซร์วาตัวร์ที่กรุงปารีสในขณะนั้น ถึงประเด็นดาราศาสตร์ เช่น จุดมืดบนดวงอาทิตย์ การคำนวณการเกิดคราส การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ รวมทั้งศึกษาอุปกรณ์ดาราศาตร์ต่าง ๆ เช่น กระจกดูดแสงแดดรูปกลมศูนย์กลางกว้างเกือบ 2 เมตร, แผนที่ดาวบนท้องฟ้า, กล้องส่องดาวยาว 8 เมตร, แผนที่โลกที่ได้จากการคำนวณวิถีจันทรคราสที่เกิดขึ้นที่ปารีสเทียบเคียงกับละโว้เมื่อปี 1685, นาฬิกาแดด และโกษาปานยังขอให้หอดูดาวสร้างแผนที่ดาวที่เหมือนดวงดาวทางท้องฟ้าเมืองไทยขึ้นอีกแผ่นสำหรับสมเด็จพระนารายณ์ด้วย ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้ถูกบันทึกไว้เป็นเรื่องเล่าโดยด็องโน เดอ วิเซส์ ในหนังสือชื่อ พระยาโกษาปานไปฝรั่งเศส

คณะทูตชุดที่ 2 เดินทางถึงสยามเมื่อเดือน ตุลาคม 1687 เป็นการกลับมาของโกษปานพร้อมกับราชทูตพิเศษนำโดย ม. เดอ ลา ลู แบร์ (Simon de la Loubère) และ ม. เดอ เซเบเรต์ (Ceberet)

การมาเยือนสยามครั้งนี้ ลาลูแบร์ได้เขียนหนังสือซึ่งบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ของประเทศไทย ทั้งภูมิศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ ขนบธรรมเนียมประเพณี ระบบราชการไทย รวมถึงชีวิตประจำวัน และยังนำ วิธีสยาม หรือวิธีเดอ ลา ลูแบร์ (Siamese method , De la Loubère method) เป็นวิธีการง่าย ๆ ในการสร้างจัตุรัสกล (Magic Square) เป็นโจทย์ที่ใช้ทดสอบเชาวน์ปัญญาทางคณิตศาสตร์ในการศึกษาดาราศาสตร์โบราณ โดยให้ตีตารางจตุรัสด้านกว้างและยาวอย่างละสามช่อง ให้ใส่เลข 1-9 โดยให้ผลบวกของแนวดิ่ง แนวขวาง และแนวทแยงมีค่าเท่ากัน ถ้าใครทำได้หมายถึงมีเชาว์ปัญญาดี ก็สามารถเรียนเลขคณิตในระดับที่สูงขึ้นไปได้ (อาจารย์อารี สวัสดีได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ ปฎิทินปักขคณนาที่มาจากคัมภีร์สุริยยาตร์และคัมภีร์สารัมภ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)  ถึงเชาวน์ปัญญาไม่ได้อาจจะเรียนทางอักษรศาสตร์ วิชาช่างหรือวิชาที่ใช้ประกอบอาชีพทั่วไปแทน (มีคำบรรยายวิธีสยามในหนังสือ A new historical relation of the kingdom of Siam โดยเดอ ลา ลู แบร์)

นอกจากนี้การคำนวณดวงอาทิตย์และดวงจันทร์แบบสยามก็ถูกเผยแพร่ในยุโรปด้วย จากบาทหลวงริโช ซึ่งนำกล้องโทรทรรศน์ความยาว 12 ฟุตจากฝรั่งเศสมาใช้ที่หอดูดาวเมืองลพบุรี และมีความสนใจดาราศาสตร์จารีตสยาม จึงได้ศึกษาและเขียนบทความชื่อว่าข้อสังเกตเรื่องการนับศักราช ปีปฏิทิน และความรู้ดาราศาสตร์ของชาวสยาม (Remarques sur l’Ère des Siamois, sur leur Calandrier & sur leur Astronomie) มีการพิมพ์เผยแพร่ที่กรุงปารีสเมื่อ 1692

การศึกษานี้ลาลูแบร์ได้นำต้นฉบับภาษาสยามกลับไปยังฝรั่งเศส และมอบให้กับกัสซีนีไปศึกษาในปี 1687 โดยจากหลักฐานต่าง ๆ ที่ฝรั่งเศสรวบรวมไป หนึ่งในนั้นคือ คัมภีร์สุริยยาตร์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ทำปฎิทินโหร ใช้คำนวณตำแหน่งดาวในสมัยพระนเรศวร และพระราชพิธีลบศักราชในสมัยพระเจ้าปราสาททอง โดยกัสซินีได้ทำการวิเคราะห์และอธิบาย สรุปเบื้องต้นว่าเป็นวิธีการที่แปลก ไม่มีการวางตารางสูตร มีแต่การบวก ลบ คูณ หาร ด้วยเลขบางจำนวน ภายใต้จำนวนนี้ได้แฝงปีปฎิทินไว้หลายแบบ อาทิ ปีปฎิทินทางสุริยคติ  ปีปฎิทินทางจันทรคติ  ปีปฎิทินซีวิล  ปีปฎิทินทางวิษุวัต  ปีปฎิทินที่ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกมากที่สุด และปีปฎิทินแห่งรอบสุริยกาล ไม่ได้คำนวณเป็นลำดับตามหลักเกณฑ์ มักจะปนกับจำนวนอื่น ๆ แล้วผลบวกผลลบก็นำไปคูณหรือหารกับเลขอีกจำนวนหนึ่ง  จำนวนก็ไม่ใช่จำนวนธรรมชาติ มีทั้งเศษส่วนชั้นเดียว และหลายชั้น บางจำนวนเศษอยู่อีกมาตราหนึ่ง จำนวนส่วนอยูในอีกมาตราหนึ่ง ราวกับว่าผู้คำนวณมีเจตนาซ่อนเร้นประเภทและวิธีใช้ของจำนวนเลขเหล่านี้ (หรืออาจจะมั่วจริง ๆ ฮา) และยังได้อธิบายเกณฑ์การคำนวณในคัมภีร์สุริยยาตร์เทียบกับหลักตรีโกณมิตในระบบคณิตศาสตร์ปัจจุบันด้วย

คำภีร์สุริยยาตร์ซึ่งลาลูแบร์ได้นำไปจากกรุงศรีอยุธยา ได้รับการตีพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ และแปลกลับมาเป็นภาษาไทย (ภาพจากเอกสารบรรยายพิเศษ เรื่อง คัมภีร์สุริยยาตร์กับโหราศาสตร์ไทย โครงการเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน ครั้งที่ 32 ณ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร)

จนกระทั่งวันที่ 11 กรกฎาคม 1691 สมเด็จพระนารายณ์มหาราชสเด็จสวรรคต ยังคงมีการศึกษาวิชาการในสยามหลังจากนั้นอีกหนึ่งปี แต่ด้วยช่วงเวลาเดียวกันเกิดความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสยามและฝรั่งเศส จึงบีบให้ชาวฝรั่งเศสต้องถอนตัวออกจากสยาม รวมทั้งบาทหลวงคณะเยสุอิตก็ต้องถอนตัวไปเช่นกัน การศึกษาดาราศาสตร์ตะวันตกในสยามช่วงอยุธยาจึงสิ้นสุดลงเช่นนี้ 

ใครปล่อยพระเจ้าแผ่นดินไปดูสุริยุปราคา

ระหว่างที่เรากำลังค้นคว้าข้อมูลอยู่ก็นึกขึ้นได้ว่าอยุธยาหรือรัตนโกสินทร์เองก็มีตำแหน่งโหราจารย์เช่นกัน โหรวิกรม ปรมาภูติ ได้ให้ความเห็นไว้ในการเสวนาเชิงวิชาการ เรื่อง สุริยคราสมหันตภัยของไทย จัดโดยสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 1995 (บันทึกไว้ในศิลปวัฒนธรรม ตุลาคม 1995) ไว้ว่า เป็นความเชื่อสืบต่อกันมาแต่โบราณว่าอุปราคาหรือคราส เป็นปรากฏการณ์ประเภทลางร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เป็นนิมิตรที่ไม่ดี พืชพันธัญญาหารจะไม่ได้ผลแม้แต่น้อย ผู้ครองนครจะประสบความวิบัติ โดยที่ไม่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ 

เห็นเช่นนี้แล้วโหราจารย์จะไม่ทักท้วงที่สมเด็จพระนารายณ์ชมปรากฎการณ์อุปราคาเลยเหรอ จากหลักฐานที่เราได้ไปค้นคว้า (หากอ่านมาถึงตรงนี้ อยากเสนอหลักฐานเพิ่มเติม โปรดส่งมาด้วย อยากรู้เหมือนกัน) มีเพียงบันทึกจากบาทหลวง เดอ ชัวซี (จดหมายเหตุรายวันการเดินทางไปสู่ประเทศสยามในปี 1685 และ 1686 หน้า 501) บันทึกความตอนหนึ่งว่า “พระโหราจารย์ของสมเด็จพระเจ้ากรุงสยามได้มาชมดวงดาวจากกล้องดูดาวอันใหญ่ของพวกบาทหลวงเยซูอิต เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 1685”

ซึ่งเราก็ตั้งข้อสังเกตว่า หลักฐานอาจถูกทำลายทิ้งในช่วงที่เกิดความขัดแย้งการเมืองระหว่างสยามและฝรั่งเศส และเมื่อไม่เห็นถึงหลักฐานวิพากษ์ดาราศาสตร์ตะวันตกจากฝั่งราชสำนักอยุธยา อย่าง “ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณะ” โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ที่ในหลายข้อความมุ่งให้ประชาชนละทิ้งแนวคิดดั้งเดิมที่ถูกมองว่าเป็น ไสยศาสตร์ ไม่สอดคล้องกับวิทยาการสมัยใหม่ จึงอาจหมายความได้ว่า การศึกษาธรรมชาติในแบบตะวันตกนั้นไม่ได้หยั่งรากลึกในอยุธยาหรือสร้างความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในสังคมสยามเลย 

ทำไมกระบวนการแบบตะวันตกจึงจุดไม่ติดในสังคมสยามตอนนั้น

เอียน ฮอดจ์ (Ian hodges) เขียนถึงสาเหตุไว้ใน Western Science in Siam ว่า “มันเป็นเรื่องไม่แปลกที่พระนารายณ์ไม่สามารถยึดกุมแนวคิดอันเป็นหลักการพื้นฐานของวิทยาศาสตร์แบบยุโรปได้ นั่นก็เพราะไม่มีการศึกษาอะไรของพระนารายณ์หรือวิธีการมองจักรวาลแบบไทยที่จะตระเตรียมให้สามารถปรับและรับเอาทฤษฎีวิทยาศาสตร์ตามแบบอย่างตะวันตกได้ เมื่อปราศจากความรู้ความเข้าใจในหลักการทฤษฎีวิทยาศาสตร์ และเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้องโทรทัศน์ นาฬิกา ตารางดาราศาสตร์ หรือลูกโลกจำลอง ก็เป็นเพียงของสะสมสำหรับการตกแต่งที่ชวนให้ฉงนสนเท่ห์เท่านั้น” (แรงมาก อ่านแล้วยังสะดุ้งราวกับว่าทุกวันนี่ก็ยังเป็นอยู่)

ชาวยุโรปที่เดินทางเข้ามาในอยุธยาได้มีการบันทึกเกี่ยวกับความรู้ของชาวสยาม โดยเฉพาะวิทยาการในราชสำนัก ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการก่อสร้าง การจัดการระบบน้ำ การใช้ปฎิทิน ความเข้าใจในภูมิศาสตร์และดาราศาสตร์ รวมถึงการแพทย์ แต่ในสายตาชาวยุโรปนั้น ความรู้ที่อาจเรียกว่า วิทยาศาสตร์พื้นถิ่น (Vernacular science) นี้ยังไม่อาจถูกนับรวมเป็นวิทยาศาสตร์ได้  วิธีคิดที่วางอยู่บนพื้นฐานศาสนาและประเพณีเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงแบบวิทยาศาสตร์ เป็นเวลายาวนานกว่าราชสำนักสยามจะสามารถสลัดความคิดที่ล้าหลังและรับเอาวิทยาการแบบตะวันตกไว้ได้ ซึ่งเกิดในอีก 2 ศตวรรษถัดมาในสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (อาจารย์โกมาตร  จึงเสถียรทรัพย์ วิเคราะห์ไว้ในหนังสือ ท่องไปบนดวงดาว ก้าวลงบนดวงจันทร์: ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ในสังคมไทย หน้า 20)

ภาพวาดสีน้ำของหอดูดาวเมืองลพบุรีเมื่อครั้งยังสมบูรณ์ บาทหลวงปูโช (Pouchot) คณะเยสุอิตมอบให้หอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศส ที่มา – ศิลปวัฒนธรรม

สำหรับบุคคลทั่วไปนั้น ลาลูแบร์ได้เล่าความสามารถของชาวสยามในกรุงศรีอยุทยาตอนปลายไว้สรุปได้ว่า ชาวสยาม (ทั่วไป) ไม่มีความรู้ในวิชาเรขาคณิตและกลศาสตร์ เพราะอาจจะไม่ต้องใช้ ดาราศาสตร์ที่ศึกษากันก็ใช้เชิงพยากรณ์เท่านั้น เขามีความรู้เชิงปฎิบัติแต่ไม่พยายามจะเข้าใจที่มา ดูเหมือนเขาจะได้ปฎิรูปปฎิทิน 2 ครั้ง เพื่อให้ตารางราศีดาวนพเคราะห์สมบูรณ์ขึ้น แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่ค่อยพลาดจากวิถีโคจรของดาวนพเคราะห์ในปฎิทิน โดยคำนวณเพื่อแจ้งว่าในปีถัดไปดาวนพเคราะห์จะสถิตอยู่ที่ราศีใด ซึ่งเกือบจะใกล้เคียงกับที่นักดาราศาสตร์จากฝรั่งเศสคำนวณได้โดยบวกเกณฑ์ 11 เข้ากับจำนวนวันทางจันทรคติของปีก่อน

ในงานวิจัยเรื่อง Magic, Science and Religion: And Other Essays โดย Bronislaw Malinowski, Robert Redfield, และ Joseph P. Ascherl ในปี 1954 บอกว่า “ความรู้ท่องถิ่นมีบทบาทในการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในการจัดการกับสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์ไม่สามารถคาดเดาได้ ซึ่งเป็นบทบาทที่ไม่ต่างไปจากวิทยาศาสตร์ในสังคมสมัยใหม่เลย”

อ่านมาถึงตรงนี้สำหรับเราเองก็ไม่สามารถตัดสินได้ว่าการที่ดาราศาสตร์ตะวันตกในสมัยอยุธยาหลุดจากมือไปเช่นนี้เป็นเรื่องน่าเสียดายหรือไม่ เนื่องจากโหราศาสตร์เองก็ได้มีช่วงเวลาโลดแล่นในราชสำนักอีกกว่า 2 ศตวรรษ ก่อนที่จะค่อย ๆ ลดบทบาทลงในสังคมสยาม โดยเรื่องราวเหล่านี้เป็นภาพที่ฝรั่งเศสมองไทยทั้งสิ้น ซึ่งไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็จำเป็นที่จะต้องยอมรับเนื่องจากเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์เพียงชุดเดียวที่เหลืออยู่ หากมีหลักฐานใดถูกค้นพบเพิ่ม ก็หวังให้การปรากฎนั้นมาเติมเรื่องราวในส่วนที่ขาดหายไป 

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

สรุปหลักฐานทางประวัติศาสตร์อันเป็นที่มาของบทวิเคราะห์

  • S.K. Mukherjee, Vedanga Jotish of Langhadha, (New Delhi: Indian Nation Science Academy, 1985
  • จารึกวัดป่ามะม่วง (ภาษาเขมร) ด้านที่ 1 ซึ่ง ศ. ยอช เซเดส์เป็นผู้ชำระและแปล
  • ในคำฉันท์สรรเสริญพระเกียรติสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงปราสาททอง ของพระมหาราชครูมเหธรและพระราชพงศาวการกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ
  • อารี สวัสดี, วรพลไม้สน, ดาราศาสตร์ราชสำนัก
  • โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์, วิทยาศาสตร์ในสังคมและวัฒนธรรมไทย
  • Steve Fuller, Science(Buckingham : Open university Press, 1997), หน้า 35-39
  • Steve Shapin, The Scientific Revolution(Chicago : University of Chicago Press, 1996),หน้า1-4,โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์ แปล
  • René Descartes, Discourse on the Method
  • Collins, 2009; 112; ชนาธิป เกสะวัฒนะ, 2543; 79
  • พลับพลึง มูลศิลป์ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฝรั่งเศสในสมัยอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระนารายถึงรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา(พ.ศ.2199-2246)หน้า68
  • Annales Céleste Du Dix-septième Siècle(สารบรรณปรากฎการณ์บนท้องฟ้าเมื่อคริสศตวรราที่17) ของประเทศฝรั่งเศส
  • ตาชาร์ด, จดหมายเหตุการเดินทางสู่ประเทศสยามของบาทหลวงตาชาร์ด, หน้า114-122
  • บาทหลวงตาชารด์ แต่ง,สันต์ ท.โกมลบุตร แปล,จดหมายเหตุการเดินทางครั้งที่2ของบาทหลวงตาชาร์ด,(กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร,2519),หน้า1
  • ศิลปากร, กรม ประชุมพงศาวดารภาคที่42 ในชุดของคุรุสภา เล่มที่ 25 หน้า67
  • ด็องโน เดอ วิเซส์ แต่ง, เจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ แปล,วรรณกรรม ฟ.ฮีแลร์ พระยาโกษาปานไปฝรั่งเศส.(กรุงเทพฯ: โรงเรียนอัสสัมชัญกรุงเทพฯ,2540), หน้า71-79
  • Remarques sur l’Ère des Siamois, sur leur Calandrier & sur leur Astronomie) มีการพิมพ์เผยแพร่ที่กรุงปารีสเมื่อ 1692
  • เดอชัวซี, จดหมายเหตุรายวันการเดินทางไปสู่ประเทศสยามในปี 1685 และ 1686
  • (โกมาตร  จึงเสถียรทรัพย์, ท่องไปบนดวงดาว ก้าวลงบนดวงจันทร์: ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ในสังคมไทย หน้า 20
  • Bronislaw Malinowski, Robert Redfield, and Joseph P. Ascherl, Magic, Science and Religion: And Other Essays (Garden City, NY: Doubleday, 1954

บทความนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ Year of Innovation 2023 ปีแห่งนวัตกรรมไทยฝรั่งเศส ซึ่งสามารถศึกษาและติดตามข่าวสาร และกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นตลอดทั้งปีได้ทาง Year of Innovation 2023

naturalist, novice birder, part time journalist