หลังจากที่ดาวเทียม THEOS-2 ดาวเทียมถ่ายภาพในซีรีส์ THEOS ได้ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศในเดือนตุลาคม 2023 และได้เริ่มต้นส่งข้อมูลกลับโลก ตอนนี้ก็ถึงคิวดาวเทียมขนาดเล็กภายใต้โครงการเดียวกันนั่นก็คือ THEOS-2A ซึ่งเป็นดาวเทียมขนาดเล็กน้ำหนักประมาณ 100 กิโลกรัมติดตั้งกล้อง Multispectral Camera เพื่อถ่ายภาพโลกจากวงโคจร ที่พัฒนาโดยวิศวกรไทย เป็นหนึ่งในแผนภายใต้โครงการ THEOS-2 ที่ส่งวิศวกรไทยไปเรียนการพัฒนดาวเทียมถึง Surrey Satellite Technology บริษัทลูกของ Airbus Defence and Space เจ้าของเทคโนโลยีดาวเทียม THEOS-2 กันถึงประเทศอังกฤษ
สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ได้ให้ข้อมูลล่าสุดกับทีมสเปซทีเอชว่าดาวเทียม THEOS-2A นั้นเตรียมถูกปล่อยกับจรวด PSLV ของ ISRO หรือองค์การอวกาศอินเดียในวันที่ 10 มกราคม 2026 และได้ถูกเคลื่อนย้ายจากศูนย์ประกอบและทดสอบดาวเทียมแห่งชาติ ณ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ไปยังฐานปล่อยใน Satish Dhawan Space Centre บนเกาะศรีหริโกฏ รัฐอานธรประเทศ ประเทศอินเดียเป็นที่เรียร้อย พร้อมกับทีมวิศวกรไทยที่ได้ทยอยเดินทางไปยังฐานปล่อยตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2025 ในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกทุกอย่างที่ควรรู้ก่อนดาวเทียมสัญชาติไทยดวงนี้เดินทางสู่อวกาศกัน
THEOS-2A ดาวเทียมน้องเล็กที่พัฒนาโดยคนไทย
โครงการ THEOS-2 นั้นประกอบไปด้วยดาวเทียมทั้งหมด 2 ดวง ได้แก่ดาวเทียม THEOS-2 พัฒนาโดยบริษัท Airbus Defence and Space ซึ่งเป็นดาวเทียมขนาด 425 กิโลกรัม ติดตั้งกล้องถ่ายภาพโลกแบบ Multispectral ความยาวคลื่นย่าน Panchromatic, Blue, Green, Red และ Near Infrared โดยเดินทางสู่อวกาศในวันที่ 9 ตุลาคม 2023 ด้วยจรวด Vega ของบริษัท Arianespace จากฐานปล่อยใน Guiana Space Centre ในเกียนา ดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศสในอเมริกาใต้ และประสบความสำเร็จในการส่งภาพชุดแรกกลับโลกในช่วงกลางปี 2024 ที่เราเคยรายงานไปในบทความ GISTDA เปิดภาพแรกจากดาวเทียม THEOS-2
ส่วนดาวเทียม THEOS-2A นั้นเป็นดาวเทียมที่วิศวกรไทย ร่วมประกอบกับบริษัท Surrey Satellite Technology หรือ SSTL ซึ่งทาง GISTDA ได้ส่งวิศวกรไปเรียนรู้การสร้างดาวเทียมเพื่อวางรากให้กับโครงการพัฒนาดาวเทียมสัญชาติไทยดวงต่อไป เช่น THEOS-3 หรือดาวเทียมดวงต่อ ๆ ไปในซีรีส์ THEOS ที่จะถูกพัฒนาโดยวิศวกรไทย

THEOS-2A เป็นดาวเทียมขนาดเล็กน้ำหนักประมาณ 100 กิโลกรัม ติดตั้งอุปกรณ์ถ่ายภาพโลกในย่าน Multispectral ให้ความละเอียด 1 เมตรต่อพิกเซล และมีความสามารถในการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงถึง 5120×5120 พิกเซล ที่ 25 ภาพต่อวินาที ถือว่าเป็นดาวเทียมเล็กที่ทันสมัยและมี Application ที่หลากหลาย โดยนอกเหนือจากการถ่ายภาพโลกแล้ว ยังรองรับการเชื่อมสัญญาณกับระบบ Automatic Identification System หรือ AIS และ Automatic Dependent Surveillance-Broadcast หรือ ADS-B ซึ่งเป็นการสื่อสารระบบระบุตำแหน่งสำหรับเรือเดินสมุทรและอากาศยาน
โดยดาวเทียม THEOS-2A นั้นถูกสร้างขึ้นที่ห้องประกอบดาวเทียมของบริษัท SST และได้ถูกขนย้ายมายังประเทศไทยในวันที่ 16 มิถุนายน 2022 และเดินทางไปยังศูนย์ประกอบและทดสอบดาวเทียมแห่งชาติของ GISTDA เพื่อทดสอบและเตรียมนำส่งไปยังประเทศอินเดียเพื่อทำการปล่อยขึ้นสู่อวกาศ

โดยวิศวกรที่เดินทางไปยังฐานปล่อยนั้นทาง GISTDA ให้ข้อมูลว่าจะมีการทดสอบการทำงานของตัวดาวเทียมเต็มรูปแบบ 1 ครั้ง และติดตั้งแบตเตอรี่สำหรับทำงานในอวกาศ ติดตั้งเสาสัญญาณสื่อสาร และเตรียมตัวดาวเทียมให้อยู่ในรูปแบบของ Launch Configuration หรือเตรียมพร้อมสำหรับการปล่อย และร่วมติดตั้งตัวดาวเทียมเข้ากับตัวจรวดพร้อมกับทีมงานจาก ISRO และ SSTL
การปล่อยขึ้นสู่อวกาศด้วยจรวด PSLV ขององค์การอวกาศอินเดีย
หลังจากที่มีการเลื่อนปล่อยมานานหลายปี ในที่สุด GISTDA ก็ได้เปิดเผยว่า THEOS-2A จะถูกนำส่งขึ้นสู่อวกาศด้วยจรวด Polar Satellite Launch Vehicle ขององค์การอวกาศอินเดีย Indian Space Research Organisation หรือ ISRO จากฐานปล่อย Satish Dhawan Space Centre โดยเที่ยวบินดังกล่าวจะมี Primiray Payload หรือดาวเทียมดวงหลักในการปล่อยคือดาวเทียม EOS-N1 ดาวเทียมถ่ายภาพโลกของบริษัท NewSpace India ซึ่งในเที่ยวบินดังกล่าว ISRO ได้รายงานว่าจะมีดาวเทียมรองหรือ Secondary Payload อีกจำนวน 18 ดวง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือดาวเทียม THEOS-2A จากประเทศไทย โดยมีกำหนดบินขึ้นจากฐานปล่อยในวันที่ 10 มกราคม 2026

ทีมงาน GISTDA ได้เปิดเผยกับสเปซทีเอชในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2025 ซึ่งวิศวกรส่วนหนึ่งได้เริ่มต้นเดินทางไปยังฐานปล่อยในประเทศอินเดียแล้ว บอกว่าน้ำหนักสุดท้ายของดาวเทียม THEOS-2A ก่อนการปล่อยคือ 97.6 กิโลกรัม โดยตัวดาวเทียมได้รับการติดตั้งเข้ากับ Auxiliary Payload Adapter ด้านล่างตัวดาวเทียม EOS-N1 โดยใช้ Seperation Ring หรือวงแหวนสำหรับดีดตัวยานอวกาศออกจากตัว Adapter รูปแบบ Ball Lock เส้นผ่านศูนย์กลาง 13 นิ้ว รุ่น IBL298 ซึ่งจัดจำหน่ายและพัฒนาโดย ISRO เอง วิศวกรยังให้ข้อมูลว่าการติดตั้งจะเป็นการติดตั้งทำมุมเอียงลงล่างทำมุม 5 องศา เพื่อให้ได้ Clearance ที่เหมาะสมในช่วงการแยกตัวหรือ Spacecraft Seperation
โดยปกติแล้วจรวด PSLV จะเป็นจรวดแบบ 4 Stage ซึ่งจรวดท่อนแรกหรือ First Stage จะใช้เป็น Solid Rocket Booster โดยมีช่วงเวลาเผาไหม้เชื้อเพลิงหรือ Burn Time อยู่ที่ 110 วินาที หลังจากนั้นจรวดท่อนแรกกับท่อนที่สองจะแยกตัวออกจากกัน และเครื่องยนต์ Vikas ที่เผาไหม้เชื้อเพลิงแบบ UDMH หรือ Unsymmetrical Dimethylhydrazine และ Dinitrogen Tetroxide จะรับช่วงต่อและเผาไหม้เป็นเวลา 133 วินาที หลังจากนั้นจรวดท่อนที่สามจะเผาไหม้เชื้อเพลิงแบบ Hydroxyl-Terminated Polybutadiene หรือ HTP เป็นเวลา 113 วินาที ตามด้วยการแยกตัวไปสู้จรวดท่อนที่สี่ ซึ่งเป็นตัวจรวดท่อนสุดท้ายก่อนส่งดาวเทียมเข้าสู่วงโคจร ตัวนี้จะเผาไหม้เชื้อเพลิงแบบ MMH หรือ Monomethylhydrazine ร่วมกับ Mixed Oxides of Nitrogen หรือ MON เป็นเวลาอีก 525 วินาที ก่อนที่จะเดินทางถึงวงโคจรที่กำหนดไว้

วิศวกร GISTDA ให้ข้อมูลบอกว่าตัวดาวเทียม THEOS-2A จะแยกตัวออกจากตัวจรวดในวินาทีที่ 747 หลังจากที่จรวดท่อนที่สี่เดินทางถึงวงโคจรที่กำหนด ซึ่งหากคำนวณเวลาออกมา จะอยู่ที่ประมาณ 27 นาทีหลังจากการบินขึ้นของ PSLV โดยวงโคจรที่ THEOS-2A จะถูกนำส่งคือวงโคจรสูง 505.291 กิโลเมตร มีค่าทำมุมเส้นศูนย์สูตรหรือ Inclination อยู่ที่ 97.50 องศา ซึ่งเป็นวงโคจรแบบ Sun-Synchronous Orbit ซึ่งช่วยให้ตัวดาวเทียมเจอแสงอาทิตย์อยู่ตลอดเวลาซึ่งสำคัญในการถ่ายภาพโลก
มีสิ่งที่น่าจับตามองเล็กน้อยคือเที่ยวบิน EOS-N1 นี้ เป็นเที่ยวบิน Return to Flight หลังจากที่จรวด PSLV ในเที่ยวบิน EOS-09 ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2025 ที่ผ่านมาเกิดล้มเหลว โดยมีข้อผิดพลาดมาจากจรวดท่อนที่สาม ทำให้ดาวเทียมไม่สามารถเดินทางสู่วงโคจรได้ การกลับมาบินของ PSLV ในรอบนี้จึงมีลุ้นอยู่เล็กน้อยว่า ISRO จะสามารถป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นและไม่นำไปสู่เหตุการณ์ซ้ำรอย ทีมงาน GISTDA เปิดเผยกับสเปซทีเอชว่าความเสี่ยงเหล่านี้เป็นเรื่องปกติของภารกิจอวกาศ โดยตัว THEOS-2A นั้นได้มีประกันภัยรองรับ
รายละเอียดวงโคจรและแผนปฏิบัติการหลังแยกตัว
หลังจากที่ดาวเทียมแยกตัวออกจากตัวจรวดแล้ว GISTDA แจ้งว่าจะสามารถรับสัญญาณจากตัวดาวเทียมหรือ Acquisition of Signal ได้ภายใน 4-16 ชั่วโมงหลังจาก Spacecraft Sepration เนื่องจากทาง GISTDA มีความร่วมมือกับบริษัท Swedish Space Corporation หรือ SSC ใน Kiruna ประเทศสวีเดน และของบริษัท SSC ในการใช้จานรับสัญญาณในยุโรปร่วมรับสัญญาณและติดต่อครั้งแรกร่วมกับ Ground Station ในศรีราชาของประเทศไทย

โดยหลังจากที่ดาวเทียมแยกตัวออกจากจรวด จะเข้าสู่ช่วงที่เรียกว่า LEOP หรือ Launch and Early Orbit Phase จะเป็นช่วงที่ตัวดาวเทียมจะต้องพยายามทรงตัวด้วยระบบ Attitute Control เพื่อให้ชี้เสาสัญญาณกลับโลก หรือว่า De-Tumbling ก่อนที่จะกางแผง Solar Arrays เพื่อรับพลังงานจากดวงอาทิตย์ ในช่วงนี้ GISTDA แจ้งว่าความพยายามในการติดต่อสื่อสารกับตัวดาวเทียมจะถูกควบคุมผ่าน Mission Control Center ของ GISTDA ในศรีราชา โดยมีจานรับสัญญาณในอังกฤษและสวีเดนเป็นแผนสำรอง และในช่วงนี้เองที่เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบความพร้อมของตัวดาวเทียมว่าทุกอย่างเรียบร้อยตามที่ออกแบบไว้
หลังจากนั้น THEOS-2A จะเข้าสู่ช่วง Payload Calibration Phase และ Commissioning ซึ่งจะเป็นการทดสอบอุปกรณ์ถ่ายภาพบนตัวดาวเทียมและถ่ายภาพ Engineering Image เพื่อปรับตัวอุปกรณ์ให้สามารถทำงานวิทยาศาสตร์ได้ตามที่ออกแบบไว้ เน้นไปที่การปรับ Focus Mechanism และระบบ Attitude and Orbit Control Subsystem หรือ AOCS โดยกระบวนการนี้จะกินเวลาประมาณ 6 เดือน และหลังจากนั้นเมื่อตรวจสอบพบว่าอุปกรณ์ทุกตัวทำงานได้ตามที่ออกแบบไว้ ตัวดาวเทียมจะเข้าสู่ช่วง Operation Phase ซึ่งจะเริ่มต้นในเดือนที่ 7 หลังจากการนำส่ง ซึ่งตรงกับช่วงเดือนสิงหาคม 2026 โดยเริ่มต้นส่งภาพถ่ายและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ชุดแรกกลับโลก
สิ่งที่น่าจับตามองในภารกิจการส่ง THEOS-2A
เมื่อมองย้อนกลับไปตลอดเนื้อหานี้ สิ่งที่เราได้เห็นชัดเจนที่สุดคือ THEOS-2A ไม่ได้เป็นเพียงดาวเทียมขนาดเล็กน้ำหนักร้อยกิโลกรัมที่กำลังจะขึ้นสู่อวกาศ แต่เป็นหลักฐานของการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลเชิงพื้นที่ของประเทศอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ THEOS-2 ที่ถูกปล่อยในปี 2023 จนถึงการพัฒนาบุคลากร การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการเข้าร่วมอยู่ในสายงานจริงตั้งแต่ห้องประกอบดาวเทียมไปจนถึงฐานปล่อย การรู้รายละเอียดตั้งแต่เที่ยวบิน PSLV-C62 วิธีการติดตั้ง อุปกรณ์ Separation แผน LEOP ไปจนถึงขั้นตอน Commissioning ทำให้เราเห็นว่าเบื้องหลังคำว่า “ปล่อยดาวเทียม” คือชุดกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความพร้อมในทุกระดับ
บทความนี้จึงให้เราอย่างน้อยสามอย่าง หนึ่งคือความเข้าใจเชิงประวัติศาสตร์ว่าภารกิจนี้เชื่อมต่อกับโครงการ THEOS ทั้งระบบอย่างไร สองคือรายละเอียดทางเทคนิคที่ช่วยให้ติดตามข่าวได้อย่างมีกรอบ ไม่ใช่เพียงรอภาพสวยชุดแรก และสามคือการมองเห็นบทบาทของทีมไทยในฐานะผู้ปฏิบัติการจริง ไม่ใช่ผู้สังเกตการณ์อยู่ข้างสนาม สิ่งเหล่านี้ทำให้ THEOS-2A ไม่ได้ถูกจดจำในฐานะ “ของใหม่” แต่ถูกวางอยู่ในลำดับพัฒนาการของประเทศด้านอวกาศและข้อมูลภูมิสารสนเทศ
จากตรงนี้ไป สิ่งที่ควรคาดหวังคือความคืบหน้าอย่างเป็นลำดับ การติดต่อครั้งแรก การลดการหมุนและกาง Solar Arrays ความสำเร็จของช่วง LEOP และภาพวิศวกรรมชุดแรกก่อนเข้าสู่การปรับเทียบยาวหลายเดือน มากไปกว่านั้น เราควรเฝ้าดูว่าระบบข้อมูลจาก THEOS-2 และ THEOS-2A จะถูกนำไปใช้จริงในภาครัฐและวิทยาศาสตร์อย่างไร เพราะจุดหมายปลายทางของโครงการนี้ไม่ใช่เพียงการมีดาวเทียมมากขึ้น แต่คือการทำให้ประเทศตัดสินใจได้แม่นยำขึ้นบนฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ และถูกบันทึกไว้อย่างเป็นระบบเพื่อให้รุ่นถัดไปต่อยอดต่อไปได้
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co