เป็นที่ทราบกันดีถึงความรุนแรงของปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อวงการอวกาศในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ในด้านการที่จีนถูกแบนออกจากโครงการสถานีอวกาศนานาชาติ จนกระทั่งในช่วงล่าสุดที่รัสเซียเริ่มถอยตัวออกจากการความร่วมมือการสำรวจอวกาศกับทางฝั่งที่ดูเหมือนจะคาบเกี่ยวกับอเมริกามากขึ้น ที่เริ่มเห็นได้ชัดตั้งแต่การถอนตัวออกจากโครงการ Lunar Gateway ความร่วมมือในการสร้างสถานีอวกาศระหว่างประเทศแห่งใหม่ที่ถูกวางไว้ให้เป็นสถานีอวกาศที่โคจรรอบดวงจันทร์ โดยในปี 2020 ที่ Roscosmos ประกาศออกจากโครงการ Lunar Gateway นั้น Dmitry Rogozin ผู้อำนวยการของ Roscosmos ก็ได้วิพากษ์วิจารณ์โครงการ Lunar Gateway อีกด้วยในแง่ว่ามันเป็นโครงการที่ US-Centric เกินไป ไปจนถึงการประกาศความร่วมมือกับจีนในการสร้าง International Lunar Research Stattion แทนฝั่งอเมริกา
อ่านเพิ่มเติม: CNSA และ Roscosmos ร่วมมือ ประกาศสร้าง International Lunar Research Station บนดวงจันทร์
จะเห็นได้ว่าวงการสำรวจอวกาศได้เกิดการแบ่งขั้วอำนาจขึ้นมาใหม่อีกครั้ง โดยได้แบ่งออกเป็นฝั่งสหรัฐอเมริกา รวมกับผู้เล่นใหญ่อย่างสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และแคนาดา ร่วมกับอีกหลายประเทศอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้ Artemis Accord และฝั่งรัสเซียที่ร่วมมือกับจีนสร้างโครงการอย่าง ILRS ขึ้นมา จนสื่อและนักวิเคราะห์อีกหลายเจ้าได้มองว่าการแบ่งขั้วของการสำรวจอวกาศครั้งนี้ อาจกลายเป็น Space Race ครั้งใหม่ ที่จะเกิดเหตุการณ์มากมายเกี่ยวกับวงการอวกาศขั้นในทศวรรษนี้ และจะสะท้อนภาพของปัญหา Geopolitics ที่กลับมารุนแรงชัดเจนอีกครั้งในปัจจุบันในยุคหลังสงครามเย็น โดยมีขั้วอำนาจใหม่อย่างจีนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
โดยนัยยะหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับโครงการที่เกิดขึ้นมาจากทั้งสองฝ่ายคือทั้งคู่ต่าง “เคลม” ความเป็นงาน International ของตัวเอง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วก็เห็นได้ชัดว่ามันคือการแบ่งฝ่ายอำนาจ ภายใต้แรงกดดันแกมบังคับที่ทำให้ประเทศเล็ก ๆ ต้องเลือกข้าง ซึ่งก็มีนัยยะถึงการแสดงออกจุดยืนของประเทศนั้น ๆ ภายใต้ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศโดยตรง (ส่วนของไทยก็ยังไม่ได้ชัดเจนกับการเลือกข้างในสถานการณ์นี้สักเท่าไหร่ ทั้งการที่ยังไม่ได้เซ็น Artemis Accord และยังไม่ได้เข้าร่วมกับ ILRS อย่างเป็นทางการ — แต่ก็มีการแสดงความสนใจต่อทั้งสองข้าง ซึ่งก็สร้างความปวดหัวให้กับหลายฝ่ายไม่น้อย)
การบุกยูเครนของรัสเซียในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเปรียบได้เหมือนตัวเร่งปฏิกิริยาที่แสดงออกถึงการแบ่งฝ่ายของทั้งสองขั้วอำนาจมากขึ้นไปอีก ซึ่งก็เป็นที่จับตามองอีกเช่นกันถึง appraoch ของทั้งสองฝ่ายต่อเรื่องนี้ ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยก็จะสะท้อนออกมาในความร่วมมือปัจจุบันของทั้งสองฝ่ายอย่างสถานีอวกาศนานาชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อ่านเพิ่มเติม: ความร้าวฉานในกลุ่มอดีตสหภาพโซเวียต ที่สะท้อนผ่านโครงการอวกาศ
ทางฝั่งสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดี Joe Biden ได้แถลงต่อสื่อเรื่องการ Sanction รัสเซียจากการบุกยูเครนนี้ โดยได้มีใจความสำคัญในแง่ของการตัดความช่วยเหลือและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ทั้งด้านการเงิน การส่งออกนำเข้าสิ่งของ รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ไบเดนยังได้เน้นย้ำว่าการ Sanction ครั้งนี้ ที่มีมาตรการการควบคุมการแลกเปลี่ยนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี จะทำลายความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมการบินรวมไปถึงงานด้านอวกาศของรัสเซีย
หลังจากนั้นไม่นาน Rogozin ได้ออกมาแถลงตอบโต้แถลงการณ์ของฝั่งสหรัฐฯ ผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวในหลากหลายประเด็น ตั้งแต่มาตรการการแบนของสหรัฐอเมริกา วิพากษ์วิจารณ์ความพยายามในการทำลายการแข่งขันของอุตสาหกรรมจรวด รวมไปถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถานีอวกาศนานาชาติ โดย Rogozin ได้ออกมากล่าวว่า thuster ของ ISS ถูกควบคุมโดย module ฝั่งรัสเซีย ซึ่งถ้าหากสหรัฐอเมริกา (และประเทศพันธมิตร) ต้องการจะตัดขาดจากการดำเนินงานของ Roscosmos จริง ๆ * ISS ก็จะไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนที่ของสถานีได้ ซึ่งก็จะนำไปสู่การ deorbit ของตัวสถานี
(*) เรื่องการทำงานของ ISS อาจจะต้องมาอธิบายเพิ่มเติมกันอีกสักหน่อย โครงสร้างของสถานีอวกาศนานาชาติประกอบขึ้นจาก Node เล็ก ๆ ต่อเข้าด้วยกันด้วย mount เชื่อมต่อ อย่างเช่น Node 1 ของสหรัฐอเมริกา (Unity) ถูกประกอบกับโมดูลแล็บ Destiny, Node 3 (Tranquility) และโมดูล Zarya ของฝั่งรัสเซีย โดยแต่ละ Node ก็จะมีหน้าที่และอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ ที่แตกต่างกันออกไป เช่นบาง Node ก็ถูกใช้เป็นห้องทดลอง ขณะที่บาง Node ก็ถูกใช้สำหรับพักอาศัยและเก็บของ ซึ่งถึงแม้ ISS จะเป็นความร่วมมือกัน แต่ configure ของสถานีที่เกิดขึ้นในความเป็นจริงแล้ว ก็ยังสามารถมองแยกเป็น section ของฝั่งสหรัฐฯ และรัสเซียได้อย่างชัดเจน
ความซับซ้อนของประเด็นนี้มันเกิดขึ้นจากการที่ระบบบางอย่างบนสถานีนั้นต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน อย่างเช่นเรื่องของ thruster ที่ไว้ปรับวงโคจรของสถานีไม่ให้ deorbit มีอยู่แค่เฉพาะในฝั่งของสหรัฐฯ เท่านั้น หรือที่รัสเซียต้องพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าจากฝั่งสหรัฐ เพราะโมดูลฝั่งรัสเซียไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้มากพอในการคงสภาพตัวเอง และการที่แต่ละฝั่งจะสามารถพัฒนาเครื่องมือของฝั่งตัวเองและส่งขึ้นไปไว้บน module ฝั่งตัวเอง เพื่อที่จะทำให้ section ของตัวเองอยู่รอดได้โดยไม่ต้องพึ่งอีกฝ่าย ก็จะต้องใช้เวลานานอย่างน้อยก็เป็นหลักปี นั่นทำให้ในตอนนี้ทั้งสองฝั่งยังต้องพึ่งกันและกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือที่ Loren Grush นักเขียนจาก The Verge ได้ใช้คำว่าสหรัฐฯ และรัสเซียยังคงถูก “ล่าม” ได้ด้วยกัน
อ่านเพิ่มเติม: The Verge – US and Russia still tethered by International Space Station during Ukraine conflict
ท่าทีที่ดูเป็นไปได้ที่สุดหากสถานการณ์เกิดความรุนแรงขึ้นกว่านี้ อาจทำให้เกิดมาตรการคล้ายในปี 2014 ในช่วงที่กรณีพิพาทไครเมีย (ซึ่งก็ข้องเกี่ยวกับรัสเซียและยูเครนเหมือนกัน) คือการที่รัฐบาลสหรัฐออกมาตรการให้ NASA ยุติการติดต่อกับ representative ของรัฐบาลจากฝั่งรัสเซีย ซึ่งรวมไปถึงการเดินทางไปเยือนรัสเซีย การต้อนรับฝั่งรัสเซียที่มาเยือน และการติดต่อสื่อสารและการประชุมคุยงาน อย่างไรก็ตาม ในเคสนั้นสุดท้ายสหรัฐฯ ก็ต้องอ่อนข้อลง เนื่องจากในตอนนั้นสหรัฐฯ ยังจำเป็นต้องพึ่งพาฝั่งรัสเซียและ Roscosmos ในการส่งนักบินอวกาศขึ้นสู่ ISS หลังยุติโครงการ Space Shuttle ในปี 2011
ทำให้ในครั้งนี้หากสหรัฐฯ ยังคงต้องการจะใช้มาตรการแนว ๆ นี้ต่อรัสเซีย สหรัฐฯ ก็จะมีแต้มต่อมากกว่าในปี 2014 เพราะทางฝั่ง สหรัฐฯ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพา Roscosmos ในประเด็นสำคัญ ๆ อย่างการขนส่งนักบินอวกาศอีกแล้ว (เพราะมี SpaceX ทดแทนให้ได้จากโครงการ Commercial Crew Program)
อ่านเพิ่มเติม: Washington Post – NASA orders its staff to stop talking to Russia, because Crimea
ในขณะนี้มีนักบินอวกาศอยู่บน ISS ทั้งหมด 7 คน โดยเป็นคนรัสเซียสองคน คนอเมริกา 4 คนและคนเยอรมัน 1 คน (ซึ่งจะอยู่ในฝั่งอเมริกา จากการที่สหรัฐฯ เป็นพันธมิตรกับ EU และแล็บ Columbus ติดอยู่กับ Section ฝั่งสหรัฐฯ) ถ้าหากสถานการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นมากกว่านี้ นอกเหนือจากการทำงานฝั่งอวกาศบนโลกของทั้งสองชาติ (และพันธมิตร) การตัดขาดที่มากที่สุดที่เป็นไปได้ก็คงจะเป็นการปิดกั้นระหว่างโซนสหรัฐฯ และรัสเซีย และแบ่งฝ่ายนักบินอวกาศชัดเจน (แต่ไม่แยกตัวออกจากกันซะทีเดียว เพราะระบบยังคงต้องพึ่งพากันอยู่อย่างที่กล่าวไป) ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของนักบินอวกาศในภาพรวมอย่างมาก
สุดท้ายแล้วก็ยังคงเป็นไปได้ยากที่กรณีนี้จะเกิดขึ้นจริง ๆ อยู่ดี จากการที่ทั้งสองฝ่ายก็ต้องยอมรับว่าท้ายที่สุดแล้ววิธีการที่ดีที่สุดตอนนี้ที่จะไม่สร้างความเสียหายและความขัดแย้งในการดำเนินงานที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือการให้ปล่อยให้บนสถานีอวกาศนานาชาติยังคงดำเนินงานไปได้ตามปกติ ซึ่งก็เป็นมาตรการที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ (25 กุมภาพันธ์)
แต่ก็ยังมีอีกโครงการหนึ่งที่น่าจับตามองที่จะแสดงออกได้ถึงท่าทีความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไรคือโคงการแลกเปลี่ยนการส่งนักบินอวกาศ (ให้นักบินจากฝั่งสหรัฐไปนั่ง Soyuz ขึ้นสู่อวกาศ และนักบินจากฝั่งรัสเซียนั่ง Crew Dragon ซึ่งก็จะรวมไปถึงการฝึกที่นักบินอวกาศต้องเดินทางไปฝึกก่อนขึ้นบินที่ชาติตรงข้ามด้วย) ซึ่งดูเหมือนในตอนนี้ ท่าทีจากทั้งทางฝั่งรัสเซียและสหรัฐฯ ก็ยังคงพยายามให้โครงการนี้ดำเนินต่อไปอยู่ ซึ่งก็คงจะสามารถสะท้อนท่าทีของ agency อวกาศทั้งสองนี้ได้ประมาณหนึ่ง
เราก็คงจะต้องติดตามประเด็นนี้กันต่อไปอีกสักพัก เพราะสถานการณ์ก็คงจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ และวงการอวกาศก็จะเป็นภาพสะท้อนสำคัญอย่างหนึ่งของท่าทีของสองประเทศมหาอำนาจนี้รวมไปถึงชาติพันธมิตรต่าง ๆ สุดท้ายนี้ผมก็หวังว่าวิกฤตการณ์ครั้งนี้จะจบได้โดยเร็ว ขอให้ผู้คนได้ใช้ชีวิตอย่างสันติและสงบสุข และขอปราณามการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อผู้คนกลุ่มต่าง ๆ ทั้งในทางตรงและทางอ้อมของเหตุการณ์ในครั้งนี้
When the rich wage war it’s the poor who die.
Jean-Paul Sartre – The Devil and the Good God