เมื่อ NASA เปิดตัวแนวคิดยานสำรวจ VIPER หรือ Volatiles Investigating Polar Exploration Rover ครั้งแรก มันถูกมองว่าเป็นหนึ่งในความหวังใหม่ของการสำรวจดวงจันทร์ในยุค Artemis ไอเดียนี้เจ๋งตรงที่ VIPER ไม่ใช่แค่รถสำรวจธรรมดา แต่เป็นเหมือนนักขุดเหมืองดวงจันทร์รุ่นแรก มีทั้งดอกสว่าน TRIDENT ที่เจาะได้ลึกหนึ่งเมตร เครื่องตรวจจับไฮโดรเจน และ Spectrometer ที่จะวิเคราะห์ว่า “ดินตรงนี้มีน้ำแข็งหรือเปล่า” เพราะเป้าหมายคือการหาว่า แหล่งน้ำแข็งที่ขั้วใต้ดวงจันทร์มีจริงแค่ไหน อยู่ลึกเท่าไร และพร้อมให้มนุษย์เอามาใช้เป็นทรัพยากรได้จริงหรือไม่ น้ำหนึ่งแก้วอาจแปลงเป็นเชื้อเพลิงจรวดที่พามนุษย์ออกเดินทางสู่ดาวอังคารต่อไป นี่คือวิธีคิดที่ NASA ใช้ขายต่อสาธารณะ และก็ต้องยอมรับว่า มันคือวิสัยทัศน์ที่ทรงพลังมาก
โดยเราได้เล่ารายละเอียดแผนของโครงการ VIPER ไปในบทความ VIPER โรเวอร์ที่จะถูกส่งขึ้นไปบนดวงจันทร์เพื่อไปหา “น้ำ” สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิต และหลังจากนั้นก็ได้มีการประกาศจุดลงจอดของยาน NASA ประกาศจุดลงจอดสำหรับโรเวอร์ VIPER เป็นหลุมอุกกาบาต Nobile Crater ที่ขั้วใต้
VIPER ไม่ได้เกิดขึ้นมาแบบฉับพลัน แต่เป็นผลลัพธ์ของการทำงานยาวนานหลายปีที่ NASA’s Ames Research Center ใน Silicon Valley ซึ่งเป็นศูนย์ที่มีประสบการณ์ด้านการพัฒนา Rover มาก่อนหน้านี้ พวกเขาเริ่มต้นการออกแบบ VIPER ราว ๆ ปี 2019 โดยหยิบเอาประสบการณ์จากโครงการ Resource Prospector ที่ถูกยกเลิกมาก่อนหน้ามาเป็นรากฐาน เป้าหมายคือการสร้างรถสำรวจขนาดประมาณรถกอล์ฟ ที่มีความทนทานพอจะทำงานได้ในสภาพสุดขั้วของขั้วใต้ดวงจันทร์
ขณะที่ทีมจาก Johnson Space Center ใน Houston ก็เข้ามารับผิดชอบงานวิศวกรรมหลายส่วน โดยเฉพาะระบบโครงสร้างและการเคลื่อนที่บนพื้นผิว เพื่อให้แน่ใจว่า VIPER จะไม่ใช่แค่แนวคิดในกระดาษ แต่เป็นยานที่สามารถวิ่ง เจาะ และสำรวจแหล่งน้ำแข็งได้จริง

ตอนเปิดตัว VIPER ใหม่ ๆ NASA จับคู่มันเข้ากับ Griffin Lander ของ Astrobotic วางแผนให้ Griffin ทำหน้าที่เป็นยานแม่ที่จะพา VIPER ลงจอดตรงขั้วใต้ของดวงจันทร์ ความตั้งใจคือการผลักดันบริษัทเอกชนรุ่นใหม่ให้แสดงศักยภาพในงานที่ซับซ้อนระดับประเทศ Griffin ถูกโปรโมตว่าเป็น Lander ขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อบรรทุก VIPER โดยเฉพาะ และ VIPER ก็ถูกวางบทบาทให้เป็นเหมือน “ภารกิจโชว์เคส” ที่จะพิสูจน์ว่าระบบ CLPS ใช้งานได้จริง นี่จึงไม่ใช่แค่การส่งรถสำรวจไปดวงจันทร์ แต่คือการทดลองโมเดลใหม่ของ NASA ที่อยากให้เอกชนแบกรับความเสี่ยงแทนรัฐบาล
แต่เรื่องเจ๋ง ๆ มักไม่รอดพ้นความจริงอันโหดร้าย เมื่อกลางปี 2024 NASA ประกาศข่าวช็อกว่าต้อง “ตัดงบ” และยกเลิกการส่ง VIPER ลงจอดดวงจันทร์ สาเหตุไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นเพราะค่าใช้จ่ายบานปลาย ความเสี่ยงด้านเวลา และความกังวลว่าโครงการอาจกลายเป็นหลุมดำทางงบประมาณ ยานที่ใช้เวลาและทรัพยากรนับหลายร้อยล้านดอลลาร์จึงเสี่ยงกลายเป็นแค่ชิ้นส่วนที่ถูกเก็บเข้าสต็อก นี่คือด้านมืดของการทำงานในสถาบันวิจัยขนาดยักษ์ที่ต้องจัดลำดับความสำคัญและมองภาพใหญ่ระดับชาติ
และผลลัพธ์ล่าสุดก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะผู้ที่ชนะงานส่ง VIPER ก็คือ Blue Origin ของ Jeff Bezos ผ่านยาน Lander รุ่น Blue Moon MK1 ที่บริษัทกำลังพัฒนา NASA ทุ่มเงินกว่า 190 ล้านดอลลาร์ในสัญญาแรกให้ Blue Origin รับผิดชอบการส่ง VIPER ลงสู่พื้นผิวขั้วใต้ในปลายปี 2027 นี่ไม่ใช่แค่การเซฟโครงการ VIPER แต่เป็นการส่งสัญญาณว่า “ยุค Artemis คือยุคที่ NASA ต้องพึ่งเอกชนจริง ๆ”
ในข่าวล่าสุด NASA ยืนยันว่า Blue Origin ได้รับงาน CLPS ตัวใหม่หรือ CS-7 ที่มีมูลค่าสูงสุด 190 ล้านดอลลาร์ สำหรับการออกแบบและเตรียมระบบที่จะรองรับ VIPER บน Blue Moon MK1 รุ่นที่สอง โดยจะพยายามส่งลงพื้นผิวดวงจันทร์ภายในปลายปี 2027 ข้อสังเกตสำคัญคือ NASA ยังกันทางเลือกไว้ หาก Blue Origin ไม่สามารถผ่านเกณฑ์การทดสอบหรือเที่ยวบินแรกของ MK1 ไม่สำเร็จ NASA อาจไม่ใช้ Option ที่ให้ส่ง VIPER จริง นั่นสะท้อนถึงความเสี่ยงที่องค์กรยอมรับได้ในยุคนี้ ไม่ใช่การลงทุนครั้งเดียวแบบ “ไปหรือไม่ไป” แต่คือการวางเดิมพันแบบมีเงื่อนไขกับเอกชน เพื่อกระจายทั้งความเสี่ยงและค่าใช้จ่าย

สิ่งที่น่าสนใจคือการวางแนวทางของ NASA เอง ผู้บริหารหลายคนย้ำว่าการใช้บริการจาก Blue Origin ไม่ใช่แค่การซื้อการขนส่ง แต่คือการลงทุนเพื่อสร้าง “เศรษฐกิจดวงจันทร์” หรือ Lunar Economy ที่อเมริกาจะเป็นผู้นำ ในเชิงกลยุทธ์ นี่คือการสร้างตลาดใหม่ที่ให้เอกชนเข้ามาพัฒนาเทคโนโลยีด้วยเงินทุนบางส่วนจาก NASA เพื่อให้วันหนึ่งพวกเขาแข่งขันได้เอง และอาจขายบริการกับประเทศอื่นหรือกับบริษัทพลังงานหรือเหมืองแร่ในอนาคต การสำรวจแหล่งน้ำแข็งจึงกลายเป็นเหมือนการปักธงเศรษฐกิจ มากกว่าการปักธงชาติเพียงอย่างเดียว
อุปกรณ์ของ VIPER หลาย ๆ ชิ้นก่อนหน้านี้ได้ถูกส่งไปลงบนดวงจันทร์แล้ว แต่น่าเสียดายที่ตัวยานดันล้มคว่ำบนดวงจันทร์ก่อน Nova-C Athena ความพยายามลงจอดดวงจันทร์ครั้งที่สองของบริษัท Intuitive Machines และ ยาน Nova-C Athena ลงแบบแปลก ๆ อีกแล้ว ล้มหน้าทิ่มบนดวงจันทร์
และเมื่อมองย้อนกลับไปที่ชะตากรรมของ VIPER จะเห็นว่ามันคือภาพจำลองของยุค Artemis ทั้งยุค NASA มีไอเดียวิทยาศาสตร์ที่น่าตื่นเต้น แต่ทรัพยากรและงบประมาณไม่พอจะทำเองทั้งหมด จึงต้องพึ่งพาเอกชนตั้งแต่การขนส่งไปจนถึงสถาปัตยกรรมการลงจอด จากมุมนี้ VIPER จึงไม่ใช่แค่โครงการหนึ่งที่ฟื้นจากการถูกยกเลิก แต่คือสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนขั้วอำนาจในการสำรวจอวกาศ ที่จากเดิมเคยอยู่ในมือรัฐ 100% กำลังไหลไปสู่บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ และเมื่อมองรายชื่อผู้ชนะงานใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น SpaceX ที่คว้า Human Landing System หรือ Blue Origin ที่ได้งาน VIPER สุดท้ายเราก็ต้องยอมรับว่า อนาคตของโครงการอวกาศสหรัฐฯ กำลังถูกกำหนดโดยบริษัทยักษ์อย่าง SpaceX และ Blue Origin พอสมควรเลยทีเดียว
สิ่งที่เรากำลังเห็นไม่ใช่เพียงแค่โครงการหนึ่งที่กลับมามีชีวิต แต่คือการเปลี่ยนสถาปัตยกรรมการสำรวจอวกาศทั้งหมด งานใหญ่ ๆ ของ NASA ในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็น Human Landing System ที่ SpaceX ชนะ หรือบริการส่ง Payload อย่าง CLPS ต่างสะท้อนแนวโน้มเดียวกัน คือการเปิดพื้นที่ให้เอกชนเข้ามาเป็นแกนกลางของการสำรวจ ในขณะที่ NASA คอยกำหนดมาตรฐานวิทยาศาสตร์และความปลอดภัย
อ่านเรื่องเกี่ยวกับการทำงานของ TRIDENT เพิ่มเติมได้ที่บทความ PRIME-1 ระบบเจาะดิน สาธิตการบริหารทรัพยากร ISRU บนดวงจันทร์ จาก Apollo สู่ Artemis
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co