NASA ปรับสัญญา Starliner จาก 6 เที่ยวเหลือ 4 พร้อมเลื่อนภารกิจเป็นปี 2026

เมื่อปี 2014 NASA ลงนามสัญญา Commercial Crew Transportation Capability กับ Boeing เพื่อพัฒนา Starliner ยานอวกาศลูกเรืออีกรุ่นหนึ่งที่จะทำหน้าที่พานักบินอวกาศสหรัฐฯ ขึ้นลงสถานีอวกาศนานาชาติ ควบคู่ไปกับ Crew Dragon ของ SpaceX โดยสัญญาฉบับนั้นเปิดทางให้ Boeing ทำภารกิจได้สูงสุดถึงหกเที่ยวบิน

แต่สิบปีผ่านไป ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามแผน ล่าสุด NASA และ Boeing ออกมาประกาศ NASA and Boeing Modify Commercial Crew Contract ปรับโครงสร้างสัญญาอย่างเป็นทางการ จากเดิม 6 ไฟลต์ เหลือ 4 ไฟลต์แบบสั่งยืนยัน และอีก 2 ไฟลต์ถูกลดสถานะลงเป็น Optional Missions พร้อมเลื่อนเป้าหมายการบินครั้งต่อไปไปเป็น ไม่เร็วกว่าช่วงกลางปี 2026 นี่คือสัญญาณเชิงนโยบายที่สำคัญมากของโครงการ Commercial Crew ทั้งระบบ

หนึ่งในรายละเอียดที่ชัดที่สุดในประกาศนี้คือ NASA ตัดสินใจให้ ภารกิจ Starliner-1 ซึ่งเคยถูกจัดเป็น Crew Rotation Flight กลับไปเป็นการบินแบบ Uncrewed Validation Flight แทน (ไม่ยอมใช้ภารกิจเป็น Demo แต่รูปแบบภารกิจเป็น Demo Flight) ภารกิจนี้จะเอาไว้ใช้ตรวจสอบระบบ propulsion และระบบควบคุมที่มีการแก้ไขครั้งใหญ่หลังภารกิจ Crew Flight Test หรือ CFT เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งพบความเสี่ยงหลายอย่างตั้งแต่การรั่วของฮีเลียมไปจนถึงความร้อนสะสมใน Thruster ซึ่งเราได้เล่าไปใน สรุปกรณี NASA ตัดสินใจให้ลูกเรือ Starliner Crew Flight Test กลับโลกด้วยยาน Dragon

การบินขึ้นของยาน Starliner ในปี 2024 ซึ่งเป็นภารกิจทดสอบที่ Butch และ Suni เดินทางไป แต่ต้องกลับมากับยาน Dragon ที่มา – NASA/Joel Kowsky

การเปลี่ยนกลับมาใช้เที่ยวบินไร้ลูกเรือครั้งนี้บอกชัดเจนว่า NASA ต้องการให้ Starliner พิสูจน์ตัวเองใหม่ตั้งแต่ฐานรากก่อนจะรับนักบินอวกาศอีกครั้ง ซึ่งถ้าทุกอย่างผ่าน Starliner จะถูกใช้ทำ Crew Rotation Missions ได้ สูงสุดสามเที่ยวบินก่อนที่สถานีอวกาษศนานาชาติจะยุติบทบาทในปี 2030

Steve Stich ผู้จัดการโครงการ Commercial Crew Program ของ NASA ระบุว่าการปรับสัญญาครั้งนี้ช่วยให้ทั้งสองฝ่าย “โฟกัสกับการทดสอบและการรับรองระบบอย่างปลอดภัยในปี 2026” ก่อนจะเดินหน้าไปสู่การบินของลูกเรือจริง

มันคือการพูดแบบสุภาพว่า Starliner ยังไม่พร้อมจะเป็นระบบขนส่งมนุษย์ระดับ Operational และ NASA จะไม่เร่งจนทำให้เกิดปัญหาซ้ำแบบ CFT อีกครั้ง ในแง่เชิงระบบ นี่คือความพยายามของ NASA ในการรักษา Dissimilar Redundancy หรือ “ความซ้ำซ้อนแบบต่างสายการผลิต” เอาไว้ เพื่อไม่ให้ระบบขนส่งมนุษย์ของสหรัฐฯ พึ่งพา Crew Dragon เพียงลำพัง แม้ในทางปฏิบัติ Dragon จะเป็นยานหลักที่รับงานเกือบทั้งหมดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ยาน Starliner บนสถานีอวกาศนานาชาติในภารกิจ Crew Flight Test ที่มา – NASA

ปัจจุบัน Starliner ยังไม่ผ่าน Certification เต็มรูปแบบ และยิ่งเลื่อนปล่อยรอบถัดไปเป็นปี 2026 ช่องว่างระหว่าง CFT กับการใช้งานจริงก็จะยิ่งกว้างขึ้น หมายความว่า Dragon จะยังเป็นยานมนุษย์หลักของสหรัฐฯ อย่างน้อยถึงปี 2027–2028 ส่วน Starliner อาจทำได้เพียง 1–3 ภารกิจก่อนสถานีอวกาศนานชาติปิดตัว อย่างไรก็ตามสัญญาณจากสหรัฐฯ ชัดเจนว่าไม่ต้องการยุติโครงการ แต่ต้องการ “จำกัดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุด”

เมื่อมองในบริบทโลก นี่คือการพยายามรักษาความสามารถในการส่งมนุษย์ขึ้นสู่วงโคจรต่ำด้วยยานมากกว่าหนึ่งรุ่น เพื่อป้องกันความเปราะบางเชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะในช่วงที่ NASA กำลังจะย้ายทรัพยากรไปสู่ภารกิจดวงจันทร์และสถานีอวกาศเอกชนเต็มรูปแบบ

การปรับสัญญาครั้งนี้ไม่ใช่สัญญาณว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะทิ้ง Starliner แต่คือการยอมรับอย่างเป็นทางการว่าโครงการนี้ต้องใช้เวลาและทรัพยากรอีกมากกว่าจะเป็นระบบหลักได้จริง ภาษาของ NASA ในวันนี้คือ “ระมัดระวัง” แต่ความหมายที่ถูกอ่านกันในวงการคือ “จำกัดบทบาทให้สอดคล้องกับความเป็นจริง”

Starliner จะยังเดินหน้าต่อ มีโอกาสทำภารกิจจริงหลายครั้ง แต่จะไม่ใช่คู่แข่งของ Dragon แบบหนึ่งต่อหนึ่งอีกต่อไป หากทุกอย่างผ่านไปตามแผน ปี 2026 จะเป็นปีที่ยานลำนี้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งว่าเชื่อถือได้มากพอหรือไม่ และคำตอบนั้นจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของยานลำนี้ไปจนสิ้นยุคของสถานีอวกาศนานาชาติ

รวมเรื่องราวดราม่าของ Starliner ในบทความ เมื่อ Starliner ยังไม่พร้อม ผลกระทบต่อตารางลูกเรือของสถานีอวกาศนานาชาติ และปัญหาเก่าเรื้อรังใน ย้อนอดีตกว่าจะเป็น CFT-1 เที่ยวบินมีลูกเรือครั้งแรกของ Boeing CST-100 Starliner และ OTF-2 ภารกิจทดสอบ CST-100 Starliner ของแมวเก้าชีวิตอย่าง Boeing

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.