อวกาศก็แค่หน้าปากซอย คำคำนี้คงไม่เกิดจริงมากนักหากจะให้นิยามกิจกรรมในวงการอวกาศไทยปี 2025 เนื่องจากในปีนี้เรามีทั้งการปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศ การนำส่งชุดการทดลองขึ้นสู่สถานีอวกาศนานาชาติ แม้กระทั่งไก่ไทยก็ได้เดินทางไปอวกาศ ครบครันทั้งของเปียกของแห้ง ตลอดจนไปถึงการได้รับคัดเลือกในโครงการอวกาศระดับนานาชาติ และยานอวกาศที่ต่อคิวเดินทางขึ้นสู่อวกาศมากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา บทความนี้จะพามาเจาะลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวงการอวกาศไทยในปี 2025 ว่านี่คืออีกหนึ่งปีที่สำคัญในวงการอวกาศไทย
หลังจากที่ปีที่แล้ว เราได้รายงานปี 2024 ไปในบทความ สรุปกิจกรรมในวงการอวกาศไทย 2024 เมื่อไทยหันร่วมมือสำรวจอวกาศกับจีนมากขึ้น ปีนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นการสานต่อจากสิ่งที่เราเคยทำเอาไว้ในปีก่อน และเนื้อหาบางอย่างอาจมีการพูดย้อนกลับไปถึงโครงการต่าง ๆ ที่มีจุดเริ่มต้นในปีที่แล้วหรือในหลายปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นโครงการอย่าง Thai Space Consortium หรือความร่วมมือกับโครงการ International Lunar Research Station ที่มีความคืบหน้าขึ้นอย่างมาก
EOS Orbit ประสบความสำเร็จกับดาวเทียม LOGSATS-2
เริ่มต้นปีด้วยเรื่องราวจากบริษัทอวกาศเอกชน EOS Orbit บริษัทอวกาศสัญชาติไทยหน้าใหม่ที่เริ่มต้นด้วยการพัฒนาดาวเทียม LOGSATS ดวงแรกซึ่งเป็นดาวเทียมให้บริการสัญญาณ LoRa สำหรับอุปกรณ์ IoT และปล่อยขึ้นสู่อวกาศในภารกิจ Transporter-9 ด้วยจรวด Falcon 9 ไปในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2023 อย่างไรก็ดี ตัวดาวเทียม LOGSAT รุ่นแรกประสบปัญหาในการแยกตัวจากยานแม่ Ion ของบริษัท D-Orbit ทำให้ EOS Orbit ต้องเสียดาวเทียมดวงดังกล่าวไปอย่างน่าเสียดาย


ล่าสุดในวันที่ 14 มกราคม 2025 ในภารกิจ Transporter-12 ของ SpaceX จรวด Falcon 9 ได้ประสบความสำเร็จในการนำส่งดาวเทียมจำนวนกว่า 131 ดวง จากฐานปล่อย Vandenberg Space Force Base ในแคลิฟอร์เนีย หนึ่งในนั้นคือดาวเทียม LOGSATS-2 ดาวเทียมดวงที่สองของบริษัท EOS Orbit รอบนี้ตัวดาวเทียมสามารถแยกตัวออกจากตัวยาน Ion ได้อย่างประสบความสำเร็จ ก่อนที่ในวันที่ 25 มกราคม 2025 ทีมภาคพื้นดินได้ประสบความสำเร็จในการติดต่อกับตัวดาวเทียมได้สำเร็จ

ความสำเร็จของ EOS Orbit ในเที่ยวบินดังกล่าวนำมาซึ่งความมั่นใจในการเป็นผู้ออกแบบผลิตและใช้งานดาวเทียมขนาดเล็ก ซึ่งล่าสุดแหล่งข่าวรายงานว่า EOS Orbit มีแผนพัฒนาดาวเทียมดวงต่อไป ซึ่งจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นและใช้วงโคจรแบบ Low Earth Orbit แนวเส้นศูนย์สูตรหรือ Equatorial ซึ่งรายละเอียดเพิ่มเติมต้องรอประกาศจากทางบริษัทอย่างเป็นทางการ แต่สิ่งนี้ทำให้เรามองว่า EOS Orbit เป็นหนึ่งบริษะที่น่าจับตามองอย่างมากในวงการอวกาศไทยปีนี้
ส่งมอบ MATCH และ ALIGN ถูกรับเลือก เดินทางสู่ดวงจันทร์กับยานจีน
ความคืบหน้าสำคัญของความร่วมมือในโครงการ International Lunar Research Station หรือ ILRS หลังจากที่ได้มีการเซ็นเข้าร่วมไปในปี 2024 ที่เราได้รายงานไปใน วิเคราะห์ไทยเซ็น ILRS เป็นทางการ หลังจากที่ประกาศไปอย่างชัดเจนในช่วงปีก่อนว่าไทยนั้น ได้พื้นที่ในการส่งอุปกรณ์ MATCH หรือ Moon-Aiming Thai-Chinese Hodoscope ซึ่งเป็นอุปกรณ์ตรวจวัดอนุภาคพลังงานสูงในอวกาศไปกับยานโคจร Chang’e 7 ขององค์การอวกาศจีน CNSA ในปี 2025 ความคืบหน้าของโครงการ MATCH นั้นก็คือได้มีการส่งมอบตัวอุปกรณ์ไปยังประเทศจีนเป็นที่เรียบร้อยในเดือนสิงหาคม

ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ NARIT เปิดเผยกับทีมงานบอกว่าหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญของการพัฒนา MATCH ก็คือการขึ้นรูปตัวชิ้นงานด้วยวัสดุแบบ Magnesium Alloy ซึ่งเป็นครั้งแรกที่วิศวกรจากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติประสบความสำเร็จในการขึ้นรูปวัสดุดังกล่าว หัวหน้าวิศวกรของตัวโครงการ ดร.พีรพงศ์ ต่อฑีฆะ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับองค์การอวกาศจีนนั้นมีประโยชน์ในการยกระดับมาตรฐานการทำงานอวกาศของประเทศไทยอย่างมาก
นอกจาก MATCH แล้วอีกหนึ่งการทดลองที่จะถูกส่งไปกับโครงการ Chang’e นั้นก็ได้แก่ ALIGN หรือ Assessing Lunar Ion-Generated Neutrons ซึ่งได้รับคัดเลือกอย่างเป็นทางการและประกาศไปในงาน China Space Day ตามที่เราเคยได้รายงานไปในบทความ ALIGN เครื่องมือไทยที่จะถูกส่งไปยังดวงจันทร์พร้อมกับ Chang’e 8 โดยหลังจากที่ได้รับการคัดเลือก ALIGN ได้เข้าสู่ขั้นตอนของการดำเนินงานเต็มรูปแบบ เป้าหมายของ ALIGN คือการใช้เทคนิค Passive Neutron Detection เพื่อ “ฟัง” นิวตรอนที่ถูกปล่อยออกมาเองตามธรรมชาติ จากการที่อนุภาคพลังงานสูง เช่น รังสีคอสมิก หรือพายุสุริยะ พุ่งชนพื้นผิวดวงจันทร์ เพื่อศึกษาองค์ประกอบทางธาตุที่สำคัญ ที่อาจนำไปสู่การค้นหาน้ำบนผิวดวงจันทร์


ความร่วมมือระหว่างไทยกับจีนอาจเรียกได้ว่าฉุดไม่อยู่ แต่หลาย ๆ โครงการ ก็ไม่ได้ถูกพูดถึงต่อมากนัก เช่น การส่งยานอวกาศขนาดเล็กติดไปกับยาน Chang’e 8 ที่ NARIT เคยเรียกว่า Lunar Pathfinder ที่เราคาดว่าไม่น่าทันส่งกับยานอวกาศ Chang’e 8 รวมถึงการที่จีนเปิดรับข้อเสนอในการส่งอุปกรณ์การทดลองไปกับยาน Tianwen-3 ของจีน ก็คาดว่าเราน่าจะยังไม่ได้รับเลือกเช่นเดียวกัน แต่ก็ถือว่าไทยเราเป็นชาติที่มีบทบาทอย่างมากภายใต้โครงการ ILRS ที่พูดได้เต็มปากว่าตั้งขึ้นมาชนกับโครงการ Artemis จากฝั่งสหรัฐฯ โดยตรง
ในหลวงเสด็จเยือนองค์การอวกาศจีน CNSA
หนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าสนใจมากของปีนี้ คือการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จเยือน CNSA ซึ่งเป็นพื้นที่รวมศูนย์งานอวกาศของจีน ตั้งแต่การออกแบบดาวเทียม ไปจนถึงการพัฒนายานสำรวจห้วงลึก เรียกง่าย ๆ ว่านี่คือที่ที่จีนใช้ขับเคลื่อนโครงการอวกาศเกือบทั้งหมดของตัวเอง การได้เข้าไปดูถึงศูนย์กลางแบบนี้ ทำให้เราเห็นภาพว่าคู่เจรจาของไทยในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงหน่วยงานวิชาการ แต่คือระบบอุตสาหกรรมอวกาศที่ครบตั้งแต่ห้องแล็บจนถึงภาคธุรกิจ

ภายในนิทรรศการที่จัดแสดง มีทั้งประวัติศาสตร์ของโครงการอวกาศจีน ดาวเทียมหลายรุ่น ยาน Shenzhou ระบบนำทาง Beidou ไปจนถึงยานสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคาร สิ่งที่น่าสังเกตคือฝ่ายจีนเลือกหยิบ Chang’e 6 ซึ่งเป็นภารกิจเก็บตัวอย่างจากด้านไกลของดวงจันทร์ มาใช้เป็นตัวแทนเล่าเรื่องความก้าวหน้าของประเทศ นี่ไม่ใช่แค่การโชว์เครื่องมือ แต่เป็นการบอกอย่างชัดเจนว่าจีนต้องการให้ไทยเห็นตัวเองในฐานะประเทศที่กำลังจะก้าวเป็นมหาอำนาจด้านสำรวจอวกาศในระยะยาว และที่สำคัญทั้งสองยังทรงพูดคุยกับนักบินอวกาศจีนบนสถานีอวกาศ Tiang Gong ด้วย ทำให้ ในหลวงและพระราชินี ทรงเป็นประมุขของต่างประะเทศองค์แรกที่ได้ทรงทำกิจกรรมในลักษณะดังกล่าว


ศูนย์แห่งเดียวกันนี้ยังมีศูนย์ฝึกนักบินอวกาศ และศูนย์ควบคุมภารกิจ Beijing Aerospace Flight Control Center หรือ BACC ที่ใช้ติดตามและสั่งการภารกิจสำคัญของชาติ การได้เข้าไปถึงพื้นที่ระดับยุทธศาสตร์เช่นนี้ บอกอะไรเราพอสมควรเกี่ยวกับระดับความเชื่อใจที่จีนมีต่อไทย และในอีกมุมหนึ่ง ก็ทำให้กรอบความร่วมมืออย่าง ILRS หรือการส่งเครื่องมือไทยไปกับยานสำรวจของจีน ดู “จับต้องได้” มากขึ้นสอดคล้องกับที่ไทยมีความร่วมมืออวกาศกับจีน
โครงการ Thai Space Consortium คืบหน้าเกือบสมบูรณ์
โครงการสร้างยานอวกาศบนแผ่นดินไทยอย่าง Thai Space Consortium ที่เป็นมีตัวตั้งตัวตีเป็น NARIT, GISTDA และสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ตอนนี้กำลังคืบหน้าพอสมควร แม้ว่าปลายปีก่อน NARIT จะเสียดาวเทียม NARIT Cube-1 ไปกับการระเบิดของจรวด Kairos จากบริษัท Space One แต่ในปีนี้ NARIT ยังคงเดินหน้าพัฒนาดาวเทียม CubeSat ไม่ว่าจะเป็นตัว Cube-1 ตัวใหม่รวมถึงศึกษาการพัฒนดาวเทียม CubeSat แบบกล้องโทรทรรศน์ที่อาศัยกลไกในการกางกระจกในอวกาศ แต่สิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นไฮไลต์ของปีก็คือความคืบหน้าในการพัฒนายาน TSC-1 ยานอวกาศขนาดไม่เกิด 100 กิโลกรัม ที่ล่าสุดเราพาไปชมถึงห้องประกอบในบทความ พาชมยานอวกาศ TSC-1 ที่กำลังประกอบที่เชียงใหม่ พร้อมข้อมูลเจาะลึก


ในช่วงปลายปี 2025 เราได้เห็นวิศวกร NARIT นำเอาดาวเทียม TSC-1 ไปทดสอบในหลาย ๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ Radio Frequency ไปจนถึงการทดสอบสั่น Vibration Test ซึ่งเรียกได้ว่าอยู่ในช่วงท้าย ๆ ของการประกอบแล้ว อย่างไรก็ดีสิ่งหนึ่งที่ยังเดินทางมาไม่ถึงแผ่นดินไทยก็คือตัว Payload หลักได้แก่ Hyperspectral Camera ที่พัฒนาอยู่ที่ Changchun Institute of Optics Fine Mechanies and Physics ประเทศจีน
อย่างไรก็ดีเรายังไม่เห็นกำหนดตารางปล่อยยาน TSC-1 แต่มีข้อมูลยืนยันแล้วว่าตัว TSC-1 จะถูกปล่อยด้วยจรวด Falcon 9 ในภารกิจตระกูล Transporter ผ่านผู้ให้บริการได้แก่ Exolaunch ซึ่งก็ต้องน่าติดตามว่า NARIT จะสามารถปล่อยยานอวกาศขนาดเล็กของตัวเองลำนี้ได้เมื่อไหร่
งานประชุมด้านอวกาศเยอะขึ้น องค์กรสื่อเริ่มตื่นตัวด้านอวกาศ
ในปีนี้เราได้เห็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอวกาศเกิดขึ้นเยอะมาก สิ่งที่เป็นไฮไลต์ประจำปีก็คือ GISTDA ได้เปลี่ยนชื่องาน Thailand Space Week ให้กลายเป็น Thailand Space Expo และจัดอย่างยิ่งใหญ่ที่ True Iconhall ไอคอนสยาม โดยในงานนี้ได้รวบรวมผู้ประกอบการอวกาศจากทั้งไทยและทั่วโลกมาแลกเปลี่ยนความรู้ ดีลธุรกิจ และเปิดให้นักวิจัย วิศวกรและผู้สนใจทั่วไปได้เข้าชมงานตลอด 3 วัน ตามที่เราได้รายงานไปในบทความ พาชมบรรยากาศ Thailand Space Expo 2025 ชมการจัดแสดงเทคโนโลยีอวกาศล่าสุด โดยตัวงานได้จัดในช่วงเดือนตุลาคม 2025


เรียกได้ว่าทาง GISTDA ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีเพื่อเตรียมตัวจัดงาน APRSAF หรือ Asia-Pacific Regional Space Agency Forum งานประชุมด้านอวกาศใหญ่ระดับภูมิภาคทีปี 2026 ไทยจะเป็นเจ้าภาพ ดังนั้นสนาม Thailand Space Expo ปีนี้จึงเป็นเหมือนตัวอย่างว่าในวงาน APRSAF เราจะได้เห็นภาพอะไรเกิดขึ้นบ้าง


อีกหนึ่งงานสำคัญในช่วงปลายปีที่เรียกได้ว่าน่าจับตามองก็คือ Thai PBS ได้จัดงาน Bringing Thailand to Space ในเดือนพฤศจิกายน โดยเป็นครั้งแรกที่มีการจัดงานอวกาศโดยสื่อเสกลใหญ่ของประเทศไทย ในงานได้มีการรวบรวมวิศวกร นักวิจัย ที่มีผลงานในแวดวงอวกาศไทยมาร่วมงานและอัพเดทข่าวสารล่าสุดในวงการอวกาศ เป็นเรื่องน่าดีใจที่หลายฝ่ายเห็นความสำคัญของการผลักดันวงการอวกาศร่วมกัน
โครงการอวกาศเยาวชนได้รับคัดเลือกสู่ญี่ปุ่นอีกครั้ง
ความร่วมมือระหว่าง JAXA กับ NSTDA หรือ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ยังคงดำเนินต่อไป โดยในปีนี้ไทยเราได้ส่งเยาวชนเข้าร่วมโครงการสนับสนุนกิจกรรมอวกาศภาคประชาชนกับทางญี่ปุ่นอีกครั้ง ผลออกมาก็คือ JAXA เลือก 2 การทดลองของเด็กไทย ทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติต้นปี 2026 จากเยาวชนที่ส่ง Proposal มามากกว่า 500 การทดลอง โดยการทดลองทั้งหมดถูกคัดเลือกเหลือเพียงแค่ 11 การทดลองเท่านั้น และ 2 การทดลองเป็นของเยาวชนไทย และอุปกรณ์สำสำหรับการทดลองก็ได้ถูกส่งขึ้นไปในเที่ยวบิน HTV-X


เยาวชนไทยจะเดินทางไปยัง Tsukuba Space Center และรับชมขณะนักบินอวกาศทำการทดลองสด ๆ พร้อมพูดคุยกับทีมสื่อสารภาคพื้นดินในห้อง Mission Control Room ของสถานีอวกาศนานาชาติฝั่งญี่ปุ่น พร้อมกับสื่อจากประเทศไทยเดินทางไปด้วย น่าเสียดายที่ในรอบนี้ NSTDA ยังคงไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณสำหรับสนับสนุนกิจกรรมและยังคงต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากเอกชน ซึ่งในรอบนี้ผู้สนับสนุนการเดินทางของเยาวชนไทยคือสายการบิน Thai AirAsia X
ส่วนโครงการ Kibo Robot Programming Challenge ซึ่งเป็นการแข่งขันควบคุมหุ่นยนต์บนสถานีอวกาศนานาชาติในปีนี้เยาวชนไทยที่ผ่านการคัดเลือกระดับประเทศก็จะได้ไปร่วมแข่งระดับนานาชาติเช่นเคย เป็นทีมจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่จะเดินทางไปแข่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2026 เช่นกัน ตามที่ทาง NSTDA รายงานไว้ใน The 6th Kibo Robot Programming Challenge Award Ceremony
ปีแห่งการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ ไก่ ผลึกเหลว และอาหารอวกาศ
ในช่วงปี 2025–2026 บทบาทของประเทศไทยบนสถานีอวกาศนานาชาติเริ่มปรากฏให้เห็นชัดในฐานะผู้ส่งการทดลองขึ้นไปตั้งคำถามกับฟิสิกส์ในสภาวะไร้น้ำหนัก มากกว่าจะเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์จากภาคพื้นดิน ตัวอย่างสำคัญประกอบด้วยโครงการ Thailand Liquid Crystal in Space ของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ การทดลอง TIGERS-X จากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และการส่งเนื้อไก่จากบริษัท CPF ขึ้นไปเป็นส่วนหนึ่งของเมนูลูกเรือในภารกิจ Axiom Mission 4 ทั้งสามชิ้นงานนี้ร่วมกันสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยเริ่มเข้าไปมีส่วนร่วมกับระบบนิเวศของสถานีอวกาศนานาชาติทั้งในมิติวิทยาศาสตร์พื้นฐาน วิศวกรรมระบบทดลอง ไปจนถึงอาหารการกิน

โครงการ Thailand Liquid Crystal in Space ถือเป็น Active Payload ที่มีความซับซ้อนสูงที่สุดชิ้นหนึ่งที่ทีมวิจัยชาวไทยเคยส่งขึ้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ โดยมีเป้าหมายหลักในการศึกษาพฤติกรรมของจุดพร่อง หรือ Defect ในโครงสร้างผลึกเหลวเมื่อถูกกระตุ้นด้วยการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างฉับพลันภายใต้สภาวะ Microgravity การทดลองถูกติดตั้งบน Materials Science Research Rack หรือ MSRR-1 ในโมดูล Destiny และทำงานต่อเนื่องรวม 120 ชั่วโมง ภายในกรอบเวลารวม 22 วัน ในเดือนธันวาคม 2025 ร่วมกับระบบกล้องจุลทรรศน์ KERMIT ที่ควบคุมจากภาคพื้นดิน


ความท้าทายทั้งด้านการติดตั้ง การจัดสรรเวลาใช้งานอุปกรณ์ร่วมกับการทดลองอื่น และการแก้ปัญหาหน้างานบนสถานี ถูกบันทึกและถ่ายทอดกลับมาเป็นองค์ความรู้และมรดกทางวิศวกรรมสำหรับการออกแบบ Payload ไทยรุ่นถัดไปอย่างเป็นระบบ เจาะลึก Thailand Liquid Crystal in Space ทำการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ

ในอีกด้าน TIGERS-X จากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์และเครือข่ายพันธมิต ประกอบชุดการทดลองสมบูรณ์ เป็นตัวอย่างของการต่อยอดงานวิจัยจากเที่ยวบินไร้น้ำหนักสู่แพลตฟอร์มการทดลองระยะยาวบนสถานีอวกาศนานาชาติ โดยมุ่งศึกษากระบวนการ Emulsification และ Colloidal Mixing ของสารสองเฟสในสภาวะไร้น้ำหนัก ผ่านสถาปัตยกรรมแบบ Lab-On-Chip ภายใน Payload ขนาดใกล้เคียง CubeSat 4U ที่สามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติบนแพลตฟอร์ม ICE Cubes ในโมดูล Columbus ระบบไฟฟ้า กล้องบันทึกภาพ และวงจรควบคุมปั๊มถูกออกแบบให้ทำงานด้วยพลังงานระดับไม่กี่วัตต์ แต่ให้ข้อมูลเชิงเวลาในสเกลชั่วโมงถึงสัปดาห์ ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการออกแบบระบบการผลิตอาหาร ยา และวัสดุก่อสร้างในอวกาศในระยะยาว การที่โครงการประกาศชัดว่าจะเปิดข้อมูลเพื่อให้ใช้เป็นมรดกทางวิศวกรรมสำหรับสาธารณะ ยังสะท้อนการวางฐานความรู้ระยะยาวของชาติ โดยการทดลองนี้จะถูกส่งขึ้นสู่อวกาศในเดือนพฤษภาคม 2026


ขณะเดียวกัน การส่ง “ไก่ไทย” ของบริษัท CPF ขึ้นไปเป็นส่วนหนึ่งของเมนูผู้บัญชาการภารกิจ Axiom Mission 4 บนยานอวกาศ Dragon ก็เป็นหลักฐานสำคัญว่าภาคเอกชนไทยเริ่มมีบทบาทจริงจังใน Ecosystem ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจมีลูกเรือ ตั้งแต่กระบวนการทำผ่านมาตรฐานด้านความปลอดภัยของ NASA เช่น NASA STD-3001 ไปจนถึงการเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain อาหารในระดับนานาชาติ ซึ่งเราก็ได้พาเดินทางไปเจาะลึกในบทความ พาชมบรรยากาศชาวไทย บุกไปส่งไก่ CP เดินทางสู่อวกาศถึง NASA Kennedy Space Center
เมื่อพิจารณาร่วมกันทั้งสามโครงการ จะเห็นว่า ปี 2026 คือช่วงเวลาที่บทบาทของไทยบนสถานีอวกาศนานาชาติไม่ได้จำกัดอยู่แค่การ “ส่งของขึ้นไปทดลอง” แต่เริ่มขยับไปสู่การออกแบบระบบทดลองเชิงวิศวกรรม การผลิตองค์ความรู้ และการเชื่อมต่อกับอุตสาหกรรมจริงบนโลกในเวลาเดียวกันอย่างชัดเจน
ดาวเทียม KNACKSAT-2 เดินหน้าสู่สถานีอวกาศนานาชาติ
ส่วนดาวเทียม KNACKSAT-2 ที่พัฒนาโดยบริษัท NBSpace หลังจากที่โดนดีเลย์มานานหลายเที่ยวบิน และอยู่ในการพูดถึงของเราตั้งแต่บทความ “สรุปกิจกรรมในวงการอวกาศไทย 2024” ล่าสุดดาวเทียม CubeSat ขนาด 3U ดวงดังกล่าวก็ได้รับการส่งขึ้นสู่อวกาศ แต่เป็นการส่งขึ้นสู่สถานีอวกาศนานาชาติผ่านยานขนส่งเสบียง HTV-X ของญี่ปุ่น ซึ่งเดินทางขึ้นสู่อวกาศในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2025

สาเหตุที่เป็นการนำส่งในลักษณะนี้ เพราะ KNACKSAT-2 จะถูกปล่อยออกจากระบบปล่อย CubeSat JSSOD ของสถานีอวกาศนานาชาติฝั่งญี่ปุ่นนั่นเอง วิศวกรบริษัท NBSpace ให้ข้อมูลกับเราว่า ทีมงานได้บินไปนำส่งตัวดาวเทียมให้กับองค์การอวกาศญี่ปุ่น หรือ JAXA ในช่วงกลางเดือนตุลาคม โดยพบปัญหาเล็กน้อย เนื่องจากเสาสัญญาณของดาวเทียมกางออกมาก่อนกำหนด ทำให้ต้องมีการปรับแก้กันในช่วงสุดท้าย ก่อนบรรทุกขึ้นยาน HTV-X ได้สำเร็จ
ดาวเทียม KNACKSAT-2 จะถูกปล่อยออกจากสถานีอวกาศนานาชาติในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2025 โดยจะมีการใช้ Ground Station ของ NBSpace ในการรับสัญญาณ ดาวเทียมดวงนี้ยังบรรทุก Payload การทดลองของเยาวชนไทยในโครงการดาวเทียมเตรียมวิศวะ ขึ้นไปพร้อมกับ Payload จาก AIS สำหรับทดสอบเทคโนโลยี Internet Of Things นับเป็นอีกหนึ่งดาวเทียม CubeSat ของไทย หลังจากที่ในปี 2018 ได้มีการส่งดาวเทียม KNACKSAT-1 ขึ้นสู่อวกาศไปก่อนหน้าแล้ว
โครงการ THEOS เดินหน้า เปิดตัวดาวเทียมใหม่นับสิบ
มาถึงฝั่งโครงการดาวเทียมสำรวจโลกของไทยบ้าง ในปี 2025 GISTDA ได้รายงานถึงความคืบหน้าของโครงการ THEOS-3 ที่จะสานต่อภารกิจของ THEOS-2 โดยดาวเทียม THEOS-3 จะถูกสร้างโดยวิศวกรไทยเอง หลังจากได้รับ “มรดกทางวิศวกรรม” จากการสร้างดาวเทียม THEOS-2A ร่วมกับบริษัท SSTL ประเทศอังกฤษ
และในปี 2026 เราก็จะได้เห็น THEOS-3 เป็นรูปเป็นร่าง หลังล่าสุดเพิ่งผ่านการทำ Preliminary Design Review หรือขั้นตอนการตรวจสอบการออกแบบไปเป็นที่เรียบร้อย ในขณะเดียวกัน GISTDA ก็ได้เปิดตัวแผนพัฒนาดาวเทียม THEOS รุ่นถัดไป ซึ่งไม่ได้เป็นแค่ดาวเทียมดวงเดียว แต่เป็นกลุ่มดาวเทียม หรือ Constellation สำหรับการศึกษาโลกในหลายย่านคลื่นความถี่ รวมถึงบางดวงจะทำงานแบบ Synthetic Aperture Radar (SAR) ใช้การยิงคลื่นวิทยุลงไปสะท้อนกลับ เพื่อสร้างแผนที่โลกในลักษณะกึ่งสามมิติ

หากโครงการ THEOS เดินหน้าได้ตามแผน THEOS จะกลายเป็นกลุ่มดาวเทียมที่มีลักษณะคล้ายโครงการ Sentinel ของยุโรป ช่วยให้เรามองโลกจากหลายมุม และในหลายสเกลข้อมูลมากยิ่งขึ้น
นโยบายท่าอวกาศยานยังคงถูกพูดถึง
คำว่า “ท่าอวกาศยาน” เป็นหนึ่งใน Buzzword ที่ถูกพูดถึงในวงการอวกาศไทยมานานกว่า 5 ปี แม้จะยังไม่มีการศึกษาอย่างจริงจัง หรือแผนการที่เป็นรูปธรรม รวมถึงหลายฝ่ายยังมองว่าห่างไกลความเป็นจริงและความสมเหตุสมผล แต่ล่าสุด GISTDA ได้เผยแผนการศึกษาการสร้าง Spaceport ผ่านบริษัทที่มีชื่อว่า “Put The Company Name Here” โดยพูดถึงแผนของโครงการในลักษณะกว้าง ๆ น่าสนใจว่าแนวคิด Spaceport จะถูกดันไปได้ไกลแค่ไหนในปี 2025 เพราะก่อนหน้านี้ทีมงานได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวของบริษัท Equatorial Space บริษัทพัฒนาจรวดสัญชาติสิงคโปร์ ว่ามีการถูกปฏิเสธการทดสอบยิงจรวดในไทย ซึ่งดูย้อนแย้งกับความพยายามผลักดันให้ไทยเป็นฐานปล่อยจรวดของภาคเอกชน น่าจับตามองว่าเรื่องนี้จะไปต่ออย่างไร
การเข้ามาของอินเทอร์เน็ตวงโคจรต่ำ ที่ยังเต็มไปด้วยคำถาม
ในปี 2025 เราได้เห็นการเติบโตของเทรนด์บริการอินเทอร์เน็ตบนวงโคจร Low Earth Orbit ในรูปแบบ Constellation มากขึ้น ไม่ใช่แค่ Starlink ที่ตอนนี้ปล่อยดาวเทียมไปมากกว่า 10,000 ดวงแล้ว แต่ผู้เล่นรายอื่นอย่าง OneWeb ก็ให้บริการเต็มรูปแบบมาซักพักใหญ่ และได้มีการเริ่มนำมาทดลองใช้ในไทย NT ทดสอบประสิทธิภาพดาวเทียมวงโคจรต่ำ OneWeb สนับสนุนภารกิจสภากาชาดไทย รวมถึง Amazon LEO ที่กำลังเร่งเพิ่มจำนวนดาวเทียม บริษัทอวกาศจากจีนเองก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในตลาดนี้เช่นกัน

ช่วงกลางปี เราเห็น SpaceX เข้ามาจดโดเมนกับ THNIC ภายใต้ชื่อ Starlink.th แต่ยังไม่มีการขึ้นหน้าเว็บหรือทำประชาสัมพันธ์ ทำให้คาดได้ว่า Starlink เตรียมเข้ามาให้บริการในไทยเต็มรูปแบบเร็ว ๆ นี้ ระหว่างนี้ใครอยากลองใช้อาจต้องใช้ในประเทศที่เปิดให้บริการแล้ว หรือบนสายการบิน เช่น Qatar Airways, Emirates, United ที่ทยอยนำ Starlink ให้บริการบนเที่ยวบิน รวมถึงเที่ยวที่เข้าและออกจากไทย ผู้ให้บริการรายอื่น ๆ ก็มีรายงานว่ามีการทดสอบ OneWeb ในไทย รวมถึงการทดลองอินเทอร์เน็ตดาวเทียม GalaxySpace จากจีนร่วมกับกลุ่ม True True Corporation Takes Significant Leap to Explore the Space Technology, Collaborating with GalaxySpace
บริษัทอวกาศขนาดกลางและใหญ่กำลังเติบโต
มาถึงบริษัทอวกาศเก่าแก่ของไทยอย่าง Thaicom ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมส่งดาวเทียม Thaicom 9 และ Thaicom 10 สำหรับให้บริการ ในปีที่ผ่านมาเราได้รายงานความคืบหน้าการเลือกใช้ Astranis เป็นผู้ผลิตดาวเทียม และ Thaicom 10 ซึ่งได้ผู้ผลิตคือ Airbus ตามรายงาน ก็ต้องจับตาว่าดาวเทียมทั้งสองดวงจะถูกส่งขึ้นเมื่อใด

อีกหนึ่งบริษัทอย่าง Mu Space แม้จะไม่ได้อัพเดตโครงการยานอวกาศล้ำ ๆ เหมือนช่วงก่อน แต่ก็ยังดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง และหันไปจับความร่วมมือมากขึ้น โดยจากในรายงาน 2025 Year in Review Mu Space ได้มีความร่วมมือทั้งกับ DigitalBlast ของญี่ปุ่น และ GISTDA ในธุรกิจสัญญาณดาวเทียมและ Ground Station แสดงให้เห็นว่า Mu Space ปรับตัวตามทิศทางตลาดอวกาศของไทย น่าจับตามองว่าในปี 2026 จะมีผู้เล่นหน้าใหม่รายใดบ้าง เพราะปีนี้ EOS Orbit โผล่มาเงียบ ๆ แต่เปิดตัวมาพร้อมดาวเทียมบนวงโคจรเลย ทำให้เดาว่าอาจมี “ม้ามืด” อีกหลายรายที่รอเวลา
ปีแห่งความท้าทายจากการเมือง และการเลือกตั้งใหม่
หลังความไร้เสถียรภาพทางการเมืองในปี 2025 จนนำไปสู่การยุบสภาและประกาศเลือกตั้งทั่วไปในกุมภาพันธ์ 2026 รัฐบาลใหม่จึงน่าจับตาว่าจะพาวงการอวกาศไทยไปทิศไหน ปลายปีที่ผ่านมา เราได้รับการติดต่อจากหลายพรรคการเมือง ทั้งพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อพูดคุยเรื่อง Space Economy และแนวทางวางนโยบายด้านอวกาศ สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ ร่างพระราชบัญญัติกิจการอวกาศแห่งชาติฉบับปี 2025 ซึ่งพูดถึงการควบรวมหน่วยงาน การจดทะเบียน และกำกับดูแลวัตถุอวกาศ หลายฝ่ายแสดงความกังวลว่าอาจปิดโอกาสผู้เล่นหน้าใหม่ และร่างนี้อาจถูกพับไปพร้อมการยุบสภาจึงต้องรอดูว่าจะมีฝ่ายใดหยิบขึ้นมาแก้ไข หรือเขียนร่างใหม่ขึ้นมาทดแทน
สรุปภาพใหญ่ของสิ่งที่เกิดขึ้น
ภาพใหญ่ของวงการอวกาศไทยในปี 2025 จึงไม่ใช่ภาพของ “ความสำเร็จถล่มทลาย” แต่ก็ไม่ใช่ภาพ “มืดมนไร้อนาคต” หากมองอย่างกลาง ๆ จะเห็นว่าปีนี้คือช่วงรอยต่อที่สำคัญมาก ระหว่างการเป็น “ผู้ตามและผู้ร่วมสังเกตการณ์” ไปสู่การเป็น “ผู้เล่นตัวจริง” ในหลายมิติ เราเห็นดาวเทียมและ Payload ไทยถูกส่งขึ้นทั้งสู่วงโคจรและสถานีอวกาศนานาชาติ เห็นมหาวิทยาลัยและห้องทดลองไทยเริ่มออกแบบระบบทดลองที่ซับซ้อนมากขึ้น เห็นภาคเอกชนไทยตั้งแต่สตาร์ตอัปอย่าง EOS Orbit ไปจนถึงบริษัทใหญ่ระดับ Thaicom และ CPF เริ่มจับจังหวะของเศรษฐกิจอวกาศโลก และหาพื้นที่ของตัวเองทั้งบนวงโคจรต่ำ บนดวงจันทร์ และใน Ecosystem ของสถานีอวกาศนานาชาติ
ในเวลาเดียวกัน ปี 2025 ก็เป็นปีที่สะท้อนข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของประเทศไทยอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนทางการเมือง ร่างกฎหมายกิจการอวกาศที่ยังไปไม่ถึงเส้นชัย ท่าอวกาศยานที่ยังอยู่ในระดับ Buzzword มากกว่าแผนปฏิบัติการจริง ไปจนถึงโครงการบางส่วนที่ยังไร้กรอบเวลาปล่อย หรืออาจไม่ทันเข้าไปมีส่วนร่วมในจังหวะสำคัญของชาติอื่น ๆ หากมองแบบไม่อวยและไม่แช่ง สิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ทำให้เห็นทั้ง “พื้นฐาน” ที่เริ่มวางไว้ค่อนข้างดีในเชิงบุคลากร โครงการ และความร่วมมือระหว่างประเทศ และ “โจทย์ยาก” ที่ยังรอรัฐบาลใหม่ หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชน ช่วยกันตอบว่า ไทยจะเลือกเป็นเพียงตลาดผู้บริโภคเทคโนโลยีอวกาศ หรือจะลงทุนลงแรงจริงจังเพื่อเป็นผู้เล่นที่มีของของตัวเองในระยะยาวกันแน่
เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co