ทุกคนรู้จักดาวเคราะห์กันเป็นอย่างดี มันเป็นวัตถุที่โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์ และในปัจจุบันมันก็มีอยู่ทั้งสิ้น 8 ดวง โดยวันนี้ผู้เขียนจะพาคุณย้อนไปดูว่าดาวเคราะห์ในสมัยก่อนนั้นถูกนิยามว่าอย่างไรกันบ้าง จนกระทั่งการมาของคำนิยาม IAU ที่หั่นชื่อดาวพลูโตทิ้งไปในปี 2006 ที่ผ่านมา
ดาวเคราะห์ทั้ง 7 แห่งโบราณกาล
คำว่า Planet หรือดาวเคราะห์นั้นมีที่มาจากภาษากรีกคำว่า asters planetai ที่มีความหมายคือ “นักพเนจร” เนื่องจากเมื่อสังเกตดูในท้องฟ้ายามค่ำคืนแล้วนั้น เราจะเห็นดาวเคราะห์เคลื่อนที่ไปในขณะที่ดาวดวงอื่น ๆ ดูเหมือนอยู่กับที่ และนั่นก็คือสมัยที่เราเชื่อว่าโลกคือศูนย์กลางของจักรวาล ทุกอย่างบนท้องฟ้านั้นโคจรอยู่รอบโลก ซึ่งแปลว่าในสมัยนั้นจะมีดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 7 ดวง ได้แก่ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, ดาวอังคาร, ดาวพุธ, ดาวพฤหัส, ดาวศุกร์และดาวเสาร์
เห็นรูปแบบนั่นแล้วใช่มั้ย ที่มาของวันในแต่ละอาทิตย์ก็มาจากชื่อดาวเคราะห์นี่แหละ ซึ่งมนุษย์เรานั้นนับว่ามีดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 7 ดวงมาจนถึงปี 1543 เมื่อ Nicolaus Copernicus เผยแพร่หลักฐานทางคณิตศาสตร์ของเขาว่าดวงอาทิตย์นั้นเป็นศูนย์กลางของจักรวาล (ระบบสุริยะในปัจจุบัน) ที่ซึ่งดาวเคราะห์ทั้ง 6 ดวงต่างโคจรอยู่รอบนั่นเอง
ดาวเคราะห์ 23 ดวง
ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปเมื่อนักดาราศาสตร์สามารถคิดค้นและประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ขึ้นมา นับตั้งแต่เมื่อกาลิเลโอส่องกล้องขึ้นไปมองดวงจันทร์กาลิเลียนทั้ง 4 ของดาวพฤหัส แถมยังได้ค้นพบดาวเนปจูนโดยไม่ได้ตั้งใจอีกด้วย และนั่นก็ตัดดวงจันทร์ออกจากการเป็นดาวเคราะห์ไปโดยปริยาย ซึ่งนับจากนั้นกล้องโทรทรรศน์ก็ได้พัฒนาคุณภาพมากยิ่งขึ้น จนนำไปสู่การค้นพบดาวยูเรนัส เซเรส และเนปจูนได้สำเร็จ
จะเห็นว่าในปัจจุบันดาวเคราะห์ทุกดวงยังคงอยู่เหมือนเดิม ยกเว้นก็เพียงแค่เซเรส ซึ่ง ณ ตอนที่ถูกค้นพบเมื่อปี 1801 นั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นดาวเคราะห์ที่ไขปริศนาว่ามีอะไรอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส และนั่นก็นำไปสู่การค้นพบอีก 14 ดวงอยู่ในบริเวณเดียวกัน เมื่อเป็นแบบนี้แล้วนักดาราศาสตร์เลยได้เริ่มการจำแนกดาวเคราะห์น้อยออกจากดาวเคราะห์นับตั้งแต่ปี 1851 เป็นต้นมา
การมาร่วมก๊วนของพลูโต
ปี 1930 ซึ่งนักดาราศาสตร์กำลังตามหา Planet X กันอยู่นั้น Clyde Tombaugh ก็ได้มองเห็นจุดเล็ก ๆ เคลื่อนที่ระหว่างสองภาพที่เขาถ่ายขึ้นมาในวันที่ 23 และ 29 มกราคม นั่นก็คือการค้นพบดาวพลูโต วัตถุที่ขาดหายไปจากระบบสุริยะในตอนนั้น
ในช่วงที่ดาวพลูโตเพิ่งถูกค้นพบนั้น นักดาราศาสตร์คาดการณ์กันว่าพลูโตนั้นมีขนาดใหญ่กว่าดาวพุธ มีมวลพอ ๆ กับโลกของเรา และยานวอยาเจอร์ 1 ก็เคยเกือบได้ไปสำรวจดาวพลูโตตั้งแต่ปี 1986 มาแล้ว การสำรวจจากโลกโดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลนั้นก็ยังทำได้เต็มที่แค่พอแยกสีบนพื้นผิวของดาวเท่านั้น จนกระทั่งการปล่อยยาน New Horizons ออกเดินทางไปสำรวจในช่วงต้นปี 2006
ทีนี้ปัญหาของดาวพลูโตก็คือมันแตกต่างจากดาวเคราะห์ชั้นนอก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นดาวเคราะห์แก๊สกันทั้งสิ้น กอร์ปกับการค้นพบวัตถุโพ้นดาวเนปจูนที่มีจำนวนมากยิ่งขึ้นนับตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมา และหลายคนก็คาดการณ์กันว่าดาวพลูโตจะสูญเสียสถานะการเป็นดาวเคราะห์ไปไม่ต่างกับเซเรส
แต่แล้วสิ่งที่หลายคนคาดการณ์กันไว้ก็กำลังจะเกิดขึ้นจริง เมื่อในปี 2005 นักดาราศาสตร์ประกาศการค้นพบอีริส วัตถุโพ้นดาวเนปจูนที่มีขนาดใหญ่กว่าพลูโต แน่นอนว่านี่เป็นเหมือนการลากพลูโตมาตบกลางสี่แยกเลยทีเดียว และปลุกคำถามที่ว่า “ดาวพลูโตสมควรเป็นดาวเคราะห์หรือไม่” ให้กลับมาดุเดือดอีกครั้ง
คำนิยามดาวเคราะห์ของ IAU
การถกเถียงอนาคตของดาวพลูโตและวัตถุอื่น ๆ ในระบบสุริยะได้ถูกนำมาพูดคุยกันที่ IAU
The IAU therefore resolves that planets and other bodies in our Solar System, except satellites, be defined into three distinct categories in the following way:
(1) A “planet”1 is a celestial body that: (a) is in orbit around the Sun, (b) has sufficient mass for its self-gravity to overcome rigid body forces so that it assumes a hydrostatic equilibrium (nearly round) shape, and (c) has cleared the neighbourhood around its orbit.
(2) A “dwarf planet” is a celestial body that: (a) is in orbit around the Sun, (b) has sufficient mass for its self-gravity to overcome rigid body forces so that it assumes a hydrostatic equilibrium (nearly round) shape2, (c) has not cleared the neighbourhood around its orbit, and (d) is not a satellite.
(3) All other objects3, except satellites, orbiting the Sun shall be referred to collectively as “Small Solar System Bodies”.
Footnotes:
1 The eight planets are: Mercury, Venus, Earth, Mars, Jupiter, Saturn, Uranus, and Neptune.
2 An IAU process will be established to assign borderline objects into either “dwarf planet” and other categories.
3 These currently include most of the Solar System asteroids, most Trans-Neptunian Objects (TNOs), comets, and other small b
ซึ่งสามารถสรุปออกมาได้ว่าดาวเคราะห์นั้นต้องเป็นไปตามกฏต่อไปนี้
- โคจรรอบดวงอาทิตย์
- มีมวลมากพอที่แรงโน้มถ่วงจะทำให้มันอยู่ในรูปใกล้เคียงกับทรงกลมได้
- Clear the orbit หรือก็คือไม่มีวัตถุอื่นอยู่วงโคจรเดียวกัน
โดยนอกจากนี้ก็ยังได้แยกดาวเคราะห์แคระออกจากดาวเคราะห์อย่างชัดเจน และให้ดาวพลูโตเป็นต้นแบบของวัตถุโพ้นดาวเนปจูนชนิดใหม่ที่ชื่อว่า Plutoids อันได้แก่พลูโต, เฮาเมอา (Haumea), มาคีมาคี (Makemake) และอีริส
ทีนี้เมื่อมีคำนิยามขึ้นมาแล้ว ก็มีนักดาราศาสตร์พบช่องโหว่ในคำนิยามนี้ขึ้นมามากมาย เช่น
คำนิยามที่ไม่ได้ช่วยอะไร
“คำนิยามของ IAU นั้นถูกอิงตามแนวคิดที่ไม่มีใครเขาใช้กันในงานวิจัยแล้ว” คือคำพูดของ Philip Metzger ผู้ทำการวิจัยที่ชี้ว่าดาวพลูโตสมควรได้เป็นดาวเคราะห์อีกครั้ง “และคำนิยามนี้กำลังจะฆ่าวัตถุที่มีความซับซ้อนทางธรณีวิทยาเป็นอันดับสองในระบบสุริยะออกจากการเป็นดาวเคราะห์ออกไป” “มีมากกว่าร้อยตัวอย่างที่นักดาราศาสตร์ใช้คำว่าดาวเคราะห์ที่ไม่เป็นไปตามนิยามของ IAU เหตุผลน่ะหรอ มันสมเหตุสมผลและเป็นประโยชน์กับพวกเขามากกว่า”
Metzger ยังได้พูดถึงปัญหาเรื่องการ Clear the orbit ว่ามีความกำกวมอย่างยิ่ง และถ้าเอาตามความหมายของมันอย่างจริงจังแล้วนั้น ก็ไม่เหลือดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอีกเลย เพราะไม่มีดวงไหนที่สามารถ Clear the orbit ได้เลยแบบจริงจัง
Alan Stern นักวิจัยหลักในภารกิจ New Horizons ที่ไปสำรวจดาวพลูโตเองยังไม่ชอบคำนิยามนี้เลย เขาบอกว่ามีนักดาราศาสตร์ไม่ถึง 5% เท่านั้นที่โหวตเลือกให้เป็นแบบนี้ หมายความว่าคำตัดสินนั้นไม่ได้มาจากความเห็นของนักดาราศาสตร์ทั่วโลก ซึ่งเอาจริง ๆ เขาก็ควรโกรธอยู่นะ เพราะอยู่ดี ๆ ดันมาโหวตดาวพลูโตทิ้งในระหว่างที่ยาน New Horizons กำลังเดินทางไปดาวพลูโตสักงั้น
ดาวเคราะห์ที่ไม่ใช่ดาวเคราะห์
นี่ไม่ใช่ชื่อเพลงของวง getsunova นะ (ฮา) แต่บรรดาดาวเคราะห์นอกระบบหรือ Exoplanet นั้นไม่ถูกเรียกว่าเป็นดาวเคราะห์ นั่นก็เพราะมันไม่ได้โคจรรอบดวงอาทิตย์ตามที่ข้อ 1 ในคำนิยามของ IAU ระบุเอาไว้
ส่วนเหตุผลที่ดาวเคราะห์นอกระบบถูกทอดทิ้งไว้น่ะหรอ เพราะ IAU บอกว่าแค่นิยามดาวเคราะห์ในระบบสุริยะนั้นก็ยากพอแล้ว ก็เลยหั่นชื่อพวกนี้ทิ้งออกให้หมดไปเลย และนั่นหมายความว่าดาวเคราะห์นอกระบบทั้ง 3,823 ดวงไม่ใช่ดาวเคราะห์ไปโดยปริยาย
นิยามที่ดีกว่านั้น
Metzger ได้บอกว่าเราไม่ควรตัดสินดาวเคราะห์จากวงโคจรของมัน เนื่องจากมันไม่คงที่และจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และแค่ 2 ข้อแรกที่บอกว่าโคจรรอบดวงอาทิตย์กับสามารถรักษาสภาพของมันให้ใกล้เคียงกับทรงกลมได้นั้นก็เพียงพอที่จะใช้เรียกดาวเคราะห์กันแล้ว
และหากเป็นเช่นนั้นเราอาจจะได้เห็นตัวเลขของดาวเคราะห์พุ่งไปถึงหลักร้อยดวงเลยทีเดียว ซึ่งปัญหาก็จะมาเกิดกับคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ที่ต้องท่องจำกันใหม่ และการท่องชื่อดาวเคราะห์ก็จะท้าทายไม่ต่างจากการท่องชื่อตารางธาตุนั่นเอง (ฮา)
ส่วนตัวผู้เขียนนั้นเห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่านิยามของดาวเคราะห์นั้นค่อนข้างมีปัญหา และก็คงจะดีกว่าถ้าเรามีดาวเคราะห์มากขึ้น ซึ่งหากตัวเลขพุ่งไปถึงหลักร้อยดวงจริง ๆ นั้นเราสามารถแบ่งดาวเคราะห์ออกมาเป็นกลุ่มย่อย ๆ ได้ เหมือนกับที่ BNK48 มีสมาชิก 52 คน แต่ก็แบ่งสมาชิกออกเป็นทีมต่าง ๆ เป็นต้น
ส่วนในตอนนี้ดาวเคราะห์ก็ยังคงมีอยู่ 8 ดวงต่อไป หากอ้างอิงตามคำนิยามของ IAU นะ
เรียบเรียงโดยทีมงาน SPACETH.CO
อ้างอิง:
การประชุมกำหนดนิยาม “ดาวเคราะห์” | สมาคมดาราศาสตร์ไทย
New research suggest Pluto should be reclassified as a planet | Phys.org
Pluto Demoted: No Longer a Planet in Highly Controversial Definition | SPACE.COM