ช่างภาพบันทึกภาพจรวดขณะบินขึ้นระยะใกล้ได้อย่างไร สอนการทำ Remote Camera

เชื่อว่าหลายคนที่ติดตามการปล่อยจรวด หรือข่าวสารในวงการอวกาศ เราน่าจะเคยเห็นภาพจรวดบินขึ้นในระยะใกล้ ซึ่งดูจากมุมกล้องแล้วเราจะพบว่าภาพนั้นถูกถ่ายจากระยะเพียงแค่ไม่กี่เมตรจากฐานปล่อยเพียงเท่านั้น ภาพเหล่านี้อาจจะไม่ได้ดูแปลกใหม่ เพราะเราก็เห็นผ่านตากันเป็นเรื่องปกติ แต่เคยสงสัยหรือเปล่าว่า ใครเป็นคนถ่ายภาพเหล่านี้ หรือกล้องที่ใช้ในการถ่ายภาพเหล่านี้เป็นกล้องแบบไหนกันแน่ เหมือนกับกล้องถ่ายภาพที่เราใช้กันในชีวิตประจำวันหรือเปล่า

Falcon 9 ในภารกิจ DART ที่มา – SpaceX
การปล่อย Falcon 9 ภารกิจ CRS-26 ที่มา – SpaceX
Falcon 9 ภารกิจส่งดาวเทียม SES-18 และ 19 ที่มา – SpaceX
การปล่อยดาวเทียม Starlink จากฐาน LC-39A ที่มา – SpaceX

คำตอบแรกก็คือ การถ่ายภาพเหล่านี้ ไม่ได้มีช่างภาพมาคอยกดชัตเตอร์เหมือนกับการถ่ายภาพแบบปกติ เนื่องจากระยะใกล้ขนาดนี้เสี่ยงต่ออันตรายจากทั้งเสียงแรงขับจากเครื่องยนต์จรวดมาก แต่จะใช้เทคนิคที่เรียกว่าการทำ “Remote Camera” หรือการถ่ายภาพระยะไกลแทน ส่วนคำตอบที่สองก็คือ กล้องที่ใช้ถ่ายภาพเหล่านี้ก็คือกล้อง DSLR หรือ Mirrorless ธรรมดาทั่วไปแบบที่เราใช้ในชีวิตประจำวันนี่แหละ แล้วแต่ความถนัดของช่างภาพแต่ละคน

คำถามก็คือแล้วเทคนิคการทำ Remote Camera ที่ว่านี้เขาทำกันอย่างไร และอะไรคือความลับเบื้องหลังที่น้อยคนที่จะรู้ในการถ่ายภาพเหล่านี้ บทความนี้ทีมงานจะมาเล่าให้ฟังกัน

เราถ่ายภาพจรวดระยะใกล้ได้อย่างไร

ในการปล่อยจรวดนั้น จะต้องมีการกันคนออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัยและถึงแม้การปล่อยจรวดแบบปกติอาจจะไม่สามารถฆ่าเราได้แม้เราจะยืนอยู่ในระยะใกล้ แต่หากเกิดเหตุไม่คาดคิด เช่น จรวดระเบิดทั้งบนฐานปล่อยหรือกลางอากาศยังไงก็ตายแน่ ๆ ดังนั้นหากจรวดเริ่มกระบวนการเติมเชื้อเพลิงแล้วทุกคนจะต้องออกจากบริเวณฐานปล่อยหมด (ส่วนในภารกิจที่มีลูกเรือ ลูกเรือและผู้ช่วยจะได้รับการซักซ้อมการอพยพฉุกเฉิน อ่านได้ในบทความ – Emergency Egress แผนการอพยพออกจากฐานปล่อยหากเกิดเหตุฉุกเฉิน) การกันพื้นที่ในการปล่อยนั้น อาจอยู่ที่ระยะ 5-7 กิโลเมตรเลยทีเดียว ดังนั้นหากต้องการถ่ายภาพในระยะใกล้ทางที่เราจะทำได้ก็คือการตั้งกล้องทิ้งเอาไว้

การชมการปล่อยจรวดจากบริเวณ Press Site ซึ่งอยู่ห่างจากฐานปล่อยเป็นระยะทาง 7 กิโลเมตร ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า Remote Camera ไม่ได้หมายความว่าการสั่งการกล้องระยะไกล เนื่องจากบริเวณฐานปล่อยจรวดนั้นจะเป็นพื้นที่หวงห้ามพิเศษ ช่างภาพจากสำนักต่าง ๆ รวมถึงนักข่าว จะไม่ได้รับอนุญาตให้วางหรือติดตั้งอุปกรณ์ใด ๆ ที่ส่งสัญญาณวิทยุ หรือคลื่นความถี่ในรูปแบบใด หนึ่งคือป้องกันการรบกวนกับการทำงานของจรวด (หลักการเดียวกับที่เรามักจะถูกบอกให้ปิดโทรศัพท์ขณะเครื่องบินขึ้นหรือลง) และสองคือป้องกันไม่ให้มีการถ่ายทอดสดการปล่อยจากบริเวณฐานปล่อยออกมา

ดังนั้นกล้องที่ตั้งทิ้งไว้จะต้องรู้ว่า มันจะต้องลั่นชัตเตอร์ตอนไหน เพื่อบันทึกภาพในวินาทีที่จรวดบินขึ้นจากฐานปล่อย และอะไรที่จะเป็นตัวบ่งบอกว่ามันจะต้องลั่นชัตเตอร์ตอนนี้ คำตอบก็คือ “เสียง” นั่นเอง

เสียงจากการปล่อยจรวดนั้นดังมาก ๆ อยู่แล้ว นี่คือตัวแปรสำคัญที่บ่งบอกว่าจรวดได้ถูกปล่อยขึ้นแล้ว หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเราไม่ตั้งเวลาถ่ายเอา คำตอบก็คือในบางครั้งการปล่อยจรวดอาจถูกเลื่อนออกไปได้ และช่างภาพก็คงไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าไปรีเซ็ตกล้องหากการปล่อยถูกเลื่อนออกไปในหลักนาทีหรือชั่วโมง การลั่นชัตเตอร์ผ่านเสียงจึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดนั่นเอง

อุปกรณ์สำหรับสั่งกล้องให้ลั่นชัตเตอร์ผ่านเสียง

คำถามต่อมาคือกล้องถ่ายภาพปกติทั่ว ๆ ไป จะรู้ได้อย่างไรว่าต้องบันทึกภาพแล้ว นี่จึงเป็นที่มาของอุปกรณ์ที่ชื่อว่า MIOPS Smart+ Camera Trigger อุปกรณ์ตัวนี้เป็นกล่องอเนกประสงค์ที่เชื่อมต่อเข้ากับกล้องถ่ายภาพของเราผ่านช่อง “ต่อสายลั่นชัตเตอร์” ซึ่งถ้าใครเป็นสายถ่ายภาพแบบ Long Exposure ก็คงจะคุ้นชินกับการสั่งถ่ายภาพด้วยการกดจากรีโมตเป็นอย่างดี หลักการทำงานของ MIOPS Smart+ ก็คือ มันจะมีเซ็นเซอร์หลากหลายรูปแบบ ทั้งเสียง แสง หรือการตั้งเวลา ที่จะช่วยให้เราบันทึกภาพในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ อย่างกรณีการถ่ายภาพจรวด เราจะตั้งให้ MIOPS นั้น ถ่ายภาพหากได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากสภาพแวดล้อมในตอนนั้น และตัว MIOPS จะสั่งการตัวกล้องให้ถ่ายภาพผ่านสายที่เชื่อมต่อเข้ากับตัวกล้องผ่านช่องต่อสายลั่นชัตเตอร์นั่นเอง

อุปกรณ์ MIOPS Smart+ ที่ทีมงานใช้ ซึ่งจำเป็นตั้งสั่งซื้อจากต่างประเทศ เท่าที่ทราบยังไม่มีตัวแทนจำหน่ายในไทย ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

MIOPS Smart+ นั้นมีราคาตลาดอยู่ที่ 259 เหรียญ สหรัฐฯ หรือประมาณ 8,700 บาท ถือว่าค่อนข้างแพงเลยทีเดียว แต่ก็เป็นไอเทมชิ้นสำคัญที่คนถ่ายภาพจรวดด้วยเทคนิค Remote Camera จำเป็นจะต้องมี และนี่ก็เป็นวิธีการที่ง่ายและน่าเชื่อถือที่สุดด้วย ในบางครั้งช่างภาพสายถ่ายจรวดจำเป็นต้องมี MIOPS Smart+ ไว้ในครอบครองหลายตัว เพื่อใช้ถ่ายภาพในจุดที่แตกต่างกันออกไป หรือสำรองกรณีฉุกเฉิน ทั้งนี้ก็แล้วแต่ความรวยของแต่ละท่าน

สำหรับวิธีการตั้งค่าและข้อจำกัดในการถ่ายต่าง ๆ เราจะพูดถึงในหัวข้อถัดไป เมื่อเราลองลงสนามจริงเพื่อบันทึกภาพจรวดกัน

สรุปทุกเรื่องที่ควรรู้ในการตั้งกล้องถ่ายภาพจรวด

ต้องบอกก่อนว่า ไม่ใช่ว่าใครอยู่ดี ๆ ก็จะเข้าไปตั้งกล้องเพื่อถ่ายจรวดได้ แต่จำเป็นต้องเป็นสื่อ หรือช่างภาพที่ได้รับการทำ Media Accreditation จาก NASA (หรือผู้ให้บริการปล่อยจรวด เช่น SpaceX หรือ United Launch Alliance) ที่จะสามารถเข้าไปได้ ซึ่งทีมงานเองก็ได้เป็น Accredited Media ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2024 ทำให้มีสิทธิ์เข้าไปถ่ายภาพ ณ ฐานปล่อยได้ (อธิบายกระบวนการไว้ในบทความ เล่าประสบการณ์การทำข่าวปล่อย Falcon 9 ในฐานะสื่อของ NASA)

คุณคิดว่าการเป็นช่างภาพถ่ายจรวด หรือนักข่าวสายอวกาศ จะต้องมีทักษะอะไรบ้าง ทักษะการรอคอยหากการปล่อยจรวดถูกเลื่อน ทักษะการเขียนข่าวอย่างรวดเร็ว หรืออื่น ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่นักข่าวสายอวกาศพูดตรงกันว่าระทึกเร้าใจ ก็คือการตั้งกล้อง Remote Camera นี่แหละ Loren Grush อดีตนักข่าวอวกาศแห่ง The Verge ที่ปัจจุบันเขียนอยู่ที่ Bloomberg ได้เคยเล่าประสบการณ์ถ่ายภาพจรวดในบทความ The technology, sweat, and anxiety that goes into shooting a Falcon Heavy rocket launch บอกว่ามันคือประสบการณ์ที่น่ากระวนกระวายมากว่ากล้องจะสามารถถ่ายภาพได้หรือไม่ และนี่คือเหตุผลว่าทำไม

  • อย่างแรกคือเรื่องเวลา ปกติ NASA จะอนุญาตให้ช่างภาพเข้าไปตั้งกล้องที่ประมาณ 24 ชั่วโมง จนถึง 3-4 ชั่วโมงก่อนการปล่อย แล้วแต่ภารกิจ ดังนั้นจงมั่นใจว่าแบตเตอร์รีของกล้องคุณจะไม่หมดเสียก่อน ซึ่งสบายใจได้ ปกติกล้องถ่ายภาพหากเปิดไว้ในโหมด Standby แบตควรจะอยู่ได้นานหลายวัน แต่ถ้าจรวดเลื่อนปล่อย ก็ตัวใครตัวมัน แต่ไม่ต้องกังวลไป หากจรวดเลื่อนปล่อยนาน เราจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปเปลี่ยนแบตกล้อง หรือรีเซ็ตอุปกรณ์ ทั้งนี้แล้วแต่กรณีไป
  • เลือกมุมที่จะถ่ายให้ดี ปกติ NASA จะบอกล่วงหน้าว่าจะมีจุดตั้งกล้องกี่จุด ตรงไหนบ้าง และในการไปตั้งกล้องทุกคนจะไปพร้อมกัน และมีเวลาแต่ละจุดเพียงแค่ประมาณ 10-15 นาทีเท่านั้น
  • ขาตั้งกล้อง ควรยึดให้มั่นคง บางทีลม ณ ฐานปล่อยอาจแรงมาก ๆ หรือหากตั้งกล้องระยะใกล้อาจได้รับผลกระทบจากแรงขับของเครื่องยนต์จรวด ดังนั้นให้หาอะไรถ่วงขาไว้ หรือบางคนเลือกที่จะยึดสมอบกไว้กับพื้นเลยทีเดียว
  • ควรใช้ถุงพลาสติกคลุมกล้องเพื่อป้องกันฝน น้ำค้าง หรือเศษดิน เศษฝุ่น อะไรก็แล้วแต่ที่อาจทำอันตรายต่อกล้อง ช่างภาพสายถ่ายจรวดมืออาชีพบางคน อาจเลือกใช้กล่องโลหะที่ทำขึ้นพิเศษเพื่องานนี้โดยเฉพาะเช่นกัน
ช่างภาพจากหลากหลายสำนักกำลังตั้งกล้อง Remote Camera เพื่อบันทึกเที่ยวบิน Starliner Crew Flight Test ที่มา – NASA/Joel Kowsky

และที่สำคัญ เทคนิคการถ่ายภาพของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นมุมกล้อง การใช้ Settings ของกล้อง หรือแม้กระทั่งการตั้งค่า Sensitivty ของ MIOPS เป็นสิ่งที่ต้องลองผิดลองถูก ซึ่งในบทความนี้ทีมงานอาจจะแชร์ในมุมมองของตัวเอง แต่ก็อยากให้ลองศึกษาจากช่างภาพคนอื่น ๆ ด้วย เพราะของพวกนี้เป็นศาสตร์และศิลป์ที่ไม่มีผิดถูก

ถ้าพร้อมแล้วก็ติดตามทีมงานมาเตรียมถ่ายภาพจรวด้วยกันได้เลย

ถ่ายภาพจรวด Atlas V บินขึ้นจากฐานปล่อย SLC-41

ภารกิจแรกที่เราจะมาลุยกัน ก็คือการถ่ายภาพการบินขึ้นของจรวด Atlas V และยาน Starliner ในเที่ยวบิน Crew Flight Test ซึ่งวันที่เราเข้าไปถ่ายเป็นความพยายามการปล่อยยาน Starliner ครั้งแรก ที่หลายคนรู้ผลกันแล้วว่าการปล่อยถูกเลื่อนออกไป แต่ที่เราจะพูดถึงการปล่อยในครั้งนี้กัน เพราะมันมีจุดที่น่าสนใจหลายจุดเลยทีเดียว

อย่างแรก โดยปกตินักข่าวต่างประเทศ (Forign National) จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพื้นที่ของกองทัพอวกาศฯ และการปล่อยรอบนี้เป็นการปล่อยจากฐานที่ตั้งอยู่ในฝั่งกองทัพฯ ทำให้เราไม่สามารถเข้าไปตั้งกล้องที่ฐานปล่อยได้ แต่ NASA ก็หาวิธีเลี่ยงกฎดังกล่าว และให้เราเข้าไปตั้งกล้อง ณ จุดที่เรียกว่า Universal Camera Site 3 (UCS-3) ซึ่งอยู่ห่างจากฐานปล่อยไปประมาณ 1,200 เมตร โดยจุดนี้เป็นหนึ่งในจุดที่ NASA จะตั้งกล้องถ่ายตัวจรวดเพื่อการถ่ายทอดสด (จุด UCS จะกระจายอยู่ทั่วบริเวณฐานปล่อย)

กล้องของทีมงาน ณ จุด Universal Camera Site 3 และฐานปล่อย SLC-41 ที่มีจรวด Atlas V เตรียมถูกปล่อยขึ้น ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

ในรอบนี้ ทีมงานใช้กล้อง Sony A6400 และเลนส์ FE 50mm F1.8 และคลุมกล้องด้วยถุงพลาสติก แต่จะเอาตัว MIOPS ไว้ด้านนอกถุงเนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงที่อาจมีฝนตก และไม่ต้องการให้ MIOPS สั่งลั่นชัตเตอร์จากเสียงฝนตกลงในถุงพลาสติก ซึ่งจะทำให้เม็มของกล้องเต็มอย่างรวดเร็ว และใช้งานแบตเตอร์รี่ของกล้องเกิดความจำเป็น ทีมงานมักจะเลือกใช้ขาตั้งกล้องขนาดเล็ก อย่างในภาพจะเป็นขาตั้ง Small Rig รุ่น VT-20 ซึ่งง่ายต่อการพกพาขึ้นเครื่องบิน

กล้องของช่างภาพสำนักอื่น ๆ ในภาพนี้คือ AFP เตรียมถ่ายการบินขึ้นจากจุด UCS-3 เช่นกัน – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

และเทคนิคของทีมงานที่ใช้ตลอดก็คือ ตั้งค่าระยะโฟกัสเป็นแบบ Manual เสมอ แต่ใช้โหมดถ่ายภาพเป็นโหมด Auto เพื่อให้กล้องเลือกปรับค่าแสงและความสว่างเอง (เราแค่จะบันทึกภาพเฉย ๆ ยังไม่ได้ถ่ายแบบ Long Exposure จึงเป็นการตั้งค่าที่ปลอดภัยที่สุดก่อน) ตั้งการถ่ายภาพให้เป็นแบบต่อเนื่อง Continuous Shooting (ถ่ายแบบรัวไปหลาย ๆ ภาพ) และที่สำคัญ อย่าลืมตั้งให้ถ่ายภาพแบบไฟล์ RAW เสมอ เพื่อปรับแก้แสงในภายหลัง Sensitivity ของ MIOPS ถูกตั้งไว้อยู่ที่ 45

เราจะเห็นว่ามุมที่ทีมงานเล็งนั้นจะเหลือส่วนหัวด้านบนไว้เยอะหน่อย เนื่องจากเสียงกว่าจะใช้เวลาเดินทางมายังกล้อง จรวดก็อาจบินขึ้นจากฐานปล่อยแล้ว ทำให้เราเหลือเผื่อ Crop ดีกว่าถ่ายภาพจรวดหัวขาด

ภาพที่ถูกบันทึกขณะจรวด Falcon 9 จากฐานข้าง ๆ บินขึ้น ถูกนำมาเรียงกัน ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

แต่อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่าในรอบนี้การปล่อยถูกเลื่อนออกไป ทำให้เราไม่ได้บันทึกภาพ Atlas V บินขึ้น แต่เราก็ได้ผ่านบทพิสูจน์แล้วว่ากล้องของเราใช้งานได้ เนื่องจากในวันเดียวกันนั้น มีการปล่อยจรวด Falcon 9 จากฐานปล่อย SLC-40 ข้าง ๆ และกล้องของเราก็สามารถบันทึกภาพตรงกับเวลาดังกล่าว แม้จะไม่ได้เห็น Falcon 9 บินขึ้นเพราะไม่ได้หันกล้องไปทางนั้น แต่ก็ถือว่าทำให้การตั้งกล้อง Remote Camera ครั้งแรกนั้นเป็นเหมือนกับการซ้อมไปในตัว

ถ่ายภาพจรวด Falcon Heavy จากมุมมหาชนของ SpaceX

ในเดือนมิถุนายน 2024 ทีมงานก็ได้มีโอกาสเดินทางไปยัง NASA Kennedy Space Center เพื่อบันทึกภาพการปล่อยจรวด Falcon Heavy ในภารกิจ GOES-U ซึ่งในรอบนี้ นอกจากจะได้รับการสนับสนุนเป็นคอนเทนต์ร่วมกับทาง BT Beartai แล้วก็เรียกได้ว่าน่าตื่นเต้นมาก ๆ เพราะจรวด Falcon Heavy เป็นจรวดหนักของ SpaceX ที่ในหนึ่งปีจะมีการปล่อยไม่กี่ครั้ง ทำให้รอบนี้ไม่พลาดที่จะตั้ง Remote Camera เพื่อบันทึกวินาทีที่จรวดบินขึ้น

และแน่นอนว่า จรวด Falcon Heavy นั้นจะบินขึ้นจากฐานปล่อย LC-39A ใน NASA Kennedy Space Center ทำให้ไม่ติดข้อจำกัดเหมือนกับจากในฐานทัพอวกาศฯ ทีมงานจึงสามารถตั้งกล้อง ณ จุดไหนก็ได้ของฐานปล่อย ซึ่ง NASA ได้วางจุดตั้งกล้องเอาไว้ 3 จุดได้แก่

มุมกล้องจากบริเวณ Beach Road จะเห็นจรวด Booster ทั้งสามท่อนชัดเจน ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth
มุมกล้องจากบริเวณ Perimeter Road จะอยู่ใกล้กับตัวจรวดมากที่สุด ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth
มุมกล้องจากบริเวณ Crawler Way เรียกได้ว่าเป็นมุมมหาชน ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth
จรวด Falcon Heavy เมื่อมองจาก Press Site ที่ห่างออกไป 7 กิโลเมตร ที่มา – Nattanon Dungsunenarn
  • บริเวณ Beach Road ซึ่งเป็นถนนริมชายหาดบนถนนรอบนอกฐานปล่อย ห่างจากฐานปล่อยประมาณ​ 600 เมตร จุดนี้เราจะเห็นตัวจรวดชัดเจนสวยงาม
  • บริเวณวงนอกของถนนรอบฐานปล่อย Perimeter Road ห่างจากฐานปล่อยประมาณ 700 เมตร มุมนี้เราจะเห็นเครื่องยนต์จรวดโดยไม่มีอะไรบัง
  • บริเวณ Crawler Way ซึ่งมุมนี้เราจะเห็นจรวดบินขึ้นโดยมีโรงเก็บจรวดของ SpaceX อยู่เบื้องหน้า ทีมงานเรียกมุมนี้ว่ามุมมหาชน เนื่องจากเรามักจะเห็นกันในภาพ Official ต่าง ๆ ของ SpaceX ห่างจากฐานปล่อยประมาณ 700 เมตร

แต่ก่อนจะขึ้นรถไปยังจุดต่าง ๆ เนื่องจากบริเวณเหล่านี้อยู่ใกล้ฐานปล่อยมาก NASA จึงจำเป็นต้องมีการตรวจอุปกรณ์อย่างละเอียด โดยจะมีสุนัขตำรวจ K-9 มาดมหาวัตถุระเบิดที่อาจซุกซ่อนมากับอุปกรณ์กล้องของเราได้ ช่างภาพทุกคนจะต้องเอาอุปกรณ์มาวางกองรวมกันเป็นแถว แล้วให้สุนัข K-9 ดมทีละชุด ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้ขึ้นรถได้

อุปกรณ์ต่าง ๆ จะต้องถูกตรวจอย่างละเอียดจาก NASA ก่อนจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นรถที่ NASA จัดเตรียมไว้ไปยังจุดตั้งกล้อง ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth/BT

สำหรับการปล่อย Falcon Heavy ภารกิจนี้จะเกิดขึ้นเวลาประมาณ 5 โมงเย็น แต่ทาง NASA ให้เราเข้ามาตั้งกล้องช่วงประมาณตี 5 จนถึง 7 โมงเช้าของวันปล่อย ทำให้กล้องของเราจะต้องอยู่ด้วยตัวเองเป็นเวลากว่า 12 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งก็ถือว่าโชคดีมาก ๆ เพราะแบตเตอร์รี่กล้องยังไงก็เหลือ ๆ สำหรับกรณีนี้

ในรอบนี้ก็เช่นเคย เราเลือกที่จะคลุมอุปกรณ์กล้องเต็มรูปแบบด้วยถุงพลาสติก และเอาอุปกรณ์ MIOPS ของเรามัดไว้กับบริเวณขาตั้งแทนการใส่ไว้ที่จุด Cold Shoe บนหัวกล้องเพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ถูกสั่งถ่ายจากเสียงฝนหากเกิดฝนตก ซึ่งในรอบ

ทีมงานขณะกำลังคลุมกล้องด้วยถุงพลาสติก จากบริเวณ Crawler Way ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth/BT

สำหรับอุปกรณ์ที่ทีมงานเลือกใช้ในภารกิจนี้นั้นก็ได้แก่ กล้อง Sony A6400 เช่นเดิม กับเลนส์ FE 24-105mm F4 G OSS ใช้ขาตั้งตัวเดิม ใช้ Settings ของกล้องเหมือนเดิมทุกประการ ได้แก่บันทึกไฟล์แบบ RAW และใช้โหมดโฟกัสแบบ Manual และการถ่ายภาพแบบ Continuous Shooting และใช้ระยะซูมอยู่ที่ 57 mm และ Sensitivity ของ MIOPS ถูกตั้งไว้อยู่ที่ 45

และนี่ก็คือภาพที่ทีมงานสามารถถ่ายได้จากภารกิจ Falcon Heavy ปล่อยดาวเทียม GOES-U ในรอบนี้ ผ่านมุมมหาชนที่เหมือนภาพถ่าย Official มาก ๆ

จรวด Falcon Heavy บินขึ้นโดยด้านหน้าคืออาคารโรงเก็บจรวดของ SpaceX ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth/BT

โดยค่าที่ระบบอัตโนมัติของกล้องเลือกถ่ายให้เรานั้นก็ได้แก่ ISO 100 ƒ4.5 ความเร็วชัตเตอร์ 1/3200s โดยกล้องของเราได้บันทึกภาพออกมา 26 ภาพด้วยกัน และภาพที่เราเห็นด้านบนก็คือเฟรมแรกที่กล้องบันทึกไว้ได้ เนื่องจากเราอยู่ห่างจากฐานปล่อย 700 เมตร ทำให้เสียงใช้เวลาเดินทางพอสมควร จริง ๆ ก็แอบฉิวเฉียดมากที่จะเกือบได้ภาพจรวดหัวขาด

รวมภาพทุกเฟรมที่กล้องสามารถถ่ายได้ จะเห็นว่าจรวดบินขึ้นไปค่อนข้างสูงทำให้มีเฟรมเดียวที่จรวดทั้งลำอยู่ในภาพทั้งหมด ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

ก็เรียกได้ว่าในรอบนี้ เราได้ภาพจรวดก็จริง แต่ก็ได้มาเพียงแค่ภาพเดียวเท่านั้น โชคดีที่เราเลือกใช้ระยะการซูมอยู่ที่ 57 มิลลิเมตร ทำให้ภาพออกมาค่อนข้างกว้างและยังคงเก็บรายละเอียดทั้งหมดได้อย่างสวยงาม

ทั้งหมดนี้ที่เล่ามาจะสังเกตว่ายิ่งช่วงเวลาตั้งกล้องอยู่ใกล้กับเวลาปล่อยจรวดมากแค่ไหน ก็อุปสรรคหรือตัวแปรต่าง ๆ ก็จะยิ่งง่ายขึ้น เพราะไม่ต้องเจอกับสภาพอากาศ ฝนตก นกบินชนกล้อง หรืออะไรก็ตามแต่ที่จะทำให้เราพลาดช็อตสำคัญไปนั่นเอง

ถ่ายภาพ Falcon Heavy อีกครั้งจากระยะใกล้ที่สุด

ตุลาคม 2024 NASA และ SpaceX มีแผนส่งยานอวกาศ Europa Clipper เดินทางสู่ดาวพฤหัสบดีฯ ด้วยจรวด Falcon Heavy ทำให้เราได้เดินทางกลับมายัง NASA Kennedy Space Center อีกครั้ง และในรอบนี้เราก็ได้วางแผนการถ่ายภาพในมุมที่ต่างออกไปจากครั้งก่อน

ครั้งนี้โชคดีมาก ๆ เมื่อ NASA ให้เราตั้งกล้องเวลา 7 โมงเช้า เพื่อถ่ายภาพจรวดบินขึ้นตอนเที่ยงตรง 12 นาฬิกา ทำให้มีเวลาจากการตั้งกล้องจนถึงได้ถ่ายแค่ 5 ชั่วโมงเท่านั้นเป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุดที่เราเจอมา ที่สำคัญท้องฟ้าปลอดโปร่ง ไม่มีแววของเมฆฝนเนื่องจากพายุเฮอริเคนเพิ่งพัดผ่านไปแค่ไม่กี่วันก่อน ทำให้อาจเรียกได้ว่าเป็น Perfect Condition ของการทำ Camera Remote เลยก็ว่าได้

มุมที่เราเลือกถ่ายในรอบนี้ ห่างจากตัวจรวดเพียงแค่ 400 เมตรเท่านั้น

สำหรับมุมการถ่าย รอบนี้ก็จะใกล้เคียงกว่ารอบก่อน เว้นแต่ว่าในบริเวณที่เป็น Perimeter Road นั้น NASA อนุญาตให้เราตั้งกล้องติดกับรั้วของฐานปล่อย ทำให้เรามีระยะห่างระหว่างกล้องกับตัวจรวดเพียงแค่ 400 เมตรเท่านั้น เป็นระยะที่ดีมาก ๆ สำหรับการถ่ายภาพจรวดขณะที่ยังบินขึ้นจากฐานไม่สูงมากนัก แน่นอนว่าเราเลือกตั้งกล่องในจุดนี้

กล้องทุกตัวจับจ้องไปที่จรวด Falcon Heavy แต่รอบนี้เราจะไม่ได้ถ่ายในมุมนี้ ที่า – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

และด้วยสถานการณ์ที่ Perfect ขนาดนี้ ทีมงานเลือกที่จะ “ไม่คลุมกล้อง” ด้วยซ้ำ เนื่องจากไม่มีโอกาสฝนตก และเป็นการถ่ายภาพในช่วงกลางวันจึงไม่อยากให้กล้องนั้น Overheat จากความร้อน และก็ถือว่าเป็นการลองของไปในตัวว่าถ้าเราไม่คลุมกล้องจะเกิดอะไรขึ้น

อุปกรณ์ในรอบนี้เราใช้เป็น Sony A6400 เช่นเดิม (น่าจะพอเดาทางออกแล้วว่าเลือกใช้กล้องตัวถูก ถ้าพังจะได้ไม่เสียดายมากนัก) เลนส์เป็น FE 28-70mm F3.5-5.6 OSS และถูกตั้งระยะไว้อยู่ที่ 42 mm และแน่นอน Sensitivity ของ MIOPS ถูกตั้งไว้อยู่ที่ 45 ทุกอย่างคล้ายเดิม ถ่ายด้วยโหมด Continuous Shooting และนี่คือภาพที่เราได้

ไอเดียของการถ่ายภาพรอบนี้คืออยากให้เห็นเบื้องหลังการทำงานของทีมช่างภาพจากสื่อแต่ละสำนัก จึงมีการตั้งกล้องวางเอาไว้หลังกล้องของสำนักอื่น ๆ อีกที

ภาพถ่ายจรวด Falcon Heavy บินขึ้นโดยมีกล้องของช่างภาพสำนักอื่น ๆ อยู่เบื้องหน้า ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

เราจะเห็นว่าในรอบนี้ เราสามารถถ่ายภาพจรวดบินขึ้นจากฐานได้ไม่สูงมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะเราสามารถเล่นกับการ Crop ภาพได้เยอะ ในรอบนี้กล้องเราถ่ายภาพได้ทั้งหมด 46 เฟรมด้วยกัน ถือว่ามากที่สุดเท่าที่ลองถ่ายมา ซึ่งเราสามารถหยิบแต่ละเฟรมที่ได้มาลอง Crop เพื่อเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกันไปได้

Falcon Heavy บินขึ้นพ้นจากฐานปล่อย ภาพนี้ได้จากการ Crop ภาพมุมกว้างเดิม ยิ่งกล้องมีเซนเซอร์ที่ใหญ่ ก็จะยิ่งได้ภาพที่มีหลากหลายมุมมอง ภาพนี้ถ้าเป็นกล้อง Full Frame จะเจ๋งมาก ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

เห็นได้ชัดว่า ยิ่งถ่ายใกล้เราจะยิ่งเก็บเรื่องราวมาเล่าได้เยอะกว่าการถ่ายจากระยะไกล และหากเรานำเอาภาพทั้งหมดที่ถ่ายได้ มารวมกับเป็นภาพเคลื่อนไหวเหมือนกับการถ่ายภาพครั้งก่อน ๆ ภาพที่ได้ก็จะประมาณนี้

รวมภาพถ่ายทั้งหมด 46 เฟรมที่ได้จากการตั้งกล้องถ่ายภาพในรอบ Falcon Heavy ปล่อย Europa Clipper ที่มา – Nattanon Dungsunenarn/Spaceth

เราจะสังเกตว่าที่เราลองถ่ายกันมา 3 รอบนั้น จะมีกระบวนการ วิธีคิด ต่าง ๆ ที่ค่อนข้างคล้ายกัน ดังนั้นยิ่งเราทำหลายรอบเราก็จะยิ่งมีประสบการณ์และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีขึ้น แต่ก็ต้องบอกว่าทั้งสามรอบที่เราเจอมานั้น “ค่อนข้างง่าย” ทีมงานเองก็ยังไม่เคยต้องถ่ายภาพในช่วงกลางคืน หรือตั้งกล้องไว้ในช่วงฝนตก ก็คงต้องรอโอกาสถัด ๆ ไปว่าเราจะเจอโจทย์ยากกันอีกในเที่ยวบินไหน

สรุปองค์ความรู้ที่ควรมีสำหรับการถ่ายภาพ Remote Camera

สิ่งสำคัญในการถ่ายภาพปล่อยจรวดนั้นก็อาจจะไม่ได้ต่างจากการถ่ายภาพอย่างอื่นมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการ ซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อม เพื่อให้เวลาลงหน้างานจริงพลาดน้อยที่สุด แล้วเราจะซ้อมอย่างไร เพราะแถวบ้านเราก็ไม่ได้มีการปล่อยจรวด คำว่าซ้อมในที่นี้หมายถึงการใช้งานกล้องและอุปกรณ์ใช้ชินมือ รวมถึงการถอดประกอบอุปกรณ์ต่าง ๆ ขาตั้งกล้อง การถอดเปลี่ยนเลนส์ หรือการคลุมกล้อง ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องพื้นฐานแต่พอเราไปอยู่หน้างานจริง ที่มีเวลาจำกัด มันจะต้องมีอะไรบางอย่างพลาดเสมอ ดังนั้นสิ่งสำคัญเลยคือสติ ถามตัวเองบ่อย ๆ Manual Focus หรือยัง ตั้งค่าแบบที่ตัวเองต้องการหรือยัง หรือที่สำคัญ “ลืมเปิดกล้อง” “ลืมเปิด MIOPS หรือเปล่า” ถ้าไม่มั่นใจ ตอนอยู่หน้างานแล้วยังมีเวลาให้รีบวิ่งไปเช็ค อย่าเชื่อใจตัวเองขนาดนั้น

Scott Schilke ช่างภาพสายถ่ายจรวดที่ช่วยเหลือผมในการถ่ายครั้งแรกสอนผมไว้ว่า เวลาอยู่หน้างานแล้วเจออะไรผิดพลาด “ให้ขอความช่วยเหลือคนอื่นเสมอ” เป็นเรื่องปกติที่ช่างภาพสายถ่ายจรวดทุกคนจะช่วยเหลือกัน ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เสียหาย ลืมของสำคัญ (เช่น แบตเตอร์รีกล้อง เมมโมรีการ์ด เป็นต้น) แต่ให้ขอความช่วยเหลือตอนที่เขา Setup อุปกรณ์เสร็จแล้ว และเริ่มทำอย่างอื่นเช่น หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป เพราะบางทีคนอื่นเขาก็อาจจะกำลังฉิบหายเหมือนกับเราอยู่เหมือนกัน (ฮา)

และเมื่อเราฝึกฝนไปเรื่อย ๆ เราก็จะสามารถเล่นกับเทคนิคต่าง ๆ ได้ ยกตัวอย่างเทคนิคที่ยากขึ้นมาก็เช่น การถ่ายภาพแบบใกล้ ๆ ด้วยเลนส์แบบ Tele ซึ่งจะทำให้เราซูมเข้าไปเป็นรายละเอียดของเครื่องยนต์จรวดและเปลวไฟที่กำลังพุ่งออกมา ซึ่งการจะทำแบบนี้ได้นั้นก็คงต้องถ่ายมุมกว้างให้รอดก่อน

การถ่ายภาพรายละเอียดของเปลวไฟที่พุ่งออกจากเครื่องยนต์ Falcon Heavy ที่มา – SpaceX
การถ่ายภาพแบบนี้้ต้องอาศัยการตั้ง Settings ของกล้องให้เหมาะสม แบบนี้จะตั้ง Auto ไม่ได้แล้ว ที่มา – SpaceX

หรือแม้กระทั่งการนำเอาเทคนิคการถ่ายแบบ Long Exposure หรือการเปิดชัตเตอร์ไว้นานหลายวินาที ซึ่งปกติจะถ่ายภาพจรวดให้เป็นเส้นจากระยะไกล มาถ่ายในระยะใกล้ดูบ้างก็จะทำให้เราได้ภาพที่สวยงามออกมาดังเช่นตัวอย่างด้านล่างนี้ ซึ่งเราก็จะต้องวางแผนว่าเวลาที่ใช้จะกี่วินาที Settings ที่ใช้จะต้องเป็นแบบไหน ต้องใส่ Filter หรือไม่มีค่า ND อยู่ที่เท่าไหร่

การนำเทคนิค Long Exposure มาใช้ประกอบกับการทำ Remote Camera ที่มา – SpaceX

และอีกสิ่งหนึ่งที่ทีมงานใช้ในการฝึกก็คือ ใช้การ “อ่าน” ภาพถ่ายของคนอื่นที่มีประสบการณ์มากกว่าเรา ว่าเขาใช้เทคนิคแบบไหน ตั้งกล้องมุมไหน แบบไหน แล้วพยายามทำความเข้าใจว่าถ้าเราจะถ่ายภาพแบบนี้บ้างเราต้องรู้อะไร ตั้ง Settings แบบไหน หรือใช้อุปกรณ์แบบใด ยิ่งเราเห็นภาพตัวอย่างเยอะ เราก็จะยิ่งเห็นโอกาสและความเป็นไปได้ และที่สำคัญเลยก็คืออย่ากลัวที่จะถามเพื่อน ๆ ช่างภาพที่มีประสบการณ์มากกว่าเรา เพราะจริง ๆ ในโลกนี้ ช่างภาพสายถ่ายจรวดมันก็มีไม่เยอะมากนัก แล้วหลาย ๆ คนก็แทบจะรู้จักกันหมด

และที่สำคัญที่ทีมงานทำบทความนี้ขึ้นก็เพื่ออยากจะสร้างแรงบันดาลใจ และบอกถึงความเป็นไปได้ว่าการอยากเป็นช่างภาพสายถ่ายจรวด เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และถ้าเราทำงานมากพอ มีเป้าหมายชัดเจน เราก็จะได้มาอยู่ในแวดวงของนักข่าวสายอวกาศระดับโลกได้ และได้กลายเป็น Accredited Media ที่สามารถเดินเข้ามาตั้งกล้อง ณ ฐานปล่อยได้แบบที่ทีมงานสเปซทีเอชกลายเป็นสื่อไทยเจ้าแรกที่ได้เข้ามาทำสิ่งนี้


เนื้อหาแถม รู้หรือไม่ Bill Ingalls ช่างภาพของ NASA เคยลงภาพกล้อง Cannon ของเขาละลายขณะที่ถ่ายจรวด Falcon 9 ทำภารกิจ Iridium Next โดยบินขึ้นจากฐานปล่อยในฐานทัพอวกาศ Vandanberg ในรัฐแคลิฟอร์เนีย หลายคนอาจจะเข้าใจว่ากล้องของเขานั้นละลายจากความร้อนของเครื่องยนต์จรวด แต่ที่จริงแล้ว กล้องของเขานั้นละลายจากไฟที่เกิดจากเครื่องยนต์ที่ไหม้หญ้าแล้วลามมาที่กล้องของเขาต่างหาก

กล้อง Remote Camera ที่ถูกทำลายจากไฟไหม้ในบริเวณฐานปล่อย ที่มา – NASA/Bill Ingalls

จากระยะปกติที่เราตั้ง Remote Camera กันแล้ว ที่อยู่ประมาณ 200-700 เมตร ระยะห่างนี้ไม่สามารถทำให้กล้องละลายได้ แต่กล้องอาจเสียหายจากปัจจัยแวดล้อม ทำให้โอกาสที่กล้องจะเสียหายจากการตั้ง Remote Camera นั้นอาจขึ้นอยู่กับบุญกรรมที่ท่านทำมา


หวังว่าบทความนี้จะแชร์ความรู้ให้กับทุกท่านได้ไม่มากก็น้อย

เรียบเรียงโดย ทีมงาน Spaceth.co

Technologist, Journalist, Designer, Developer - 21, I believe in anti-disciplinary. Proud to a small footprint in the universe. For Carl Sagan.